5 พ.ค. 2023 เวลา 14:42 • ความคิดเห็น
คงเพราะ รางของมัน ไม่ว่าจะทอดออกไปไกลแค่ไหน ก็ไม่เคยขยับแคบเข้ามาหากันได้ซักทีล่ะมังครับ ฉะนั้น รถไฟ ชายฝั่ง มหาสมุทร เส้นขอบฟ้า (รวมทั้งจดหมายแบบซองด้วย) จึงเป็นสัญลักษณ์ของความ "ห่างไกล" ในแบบที่ผมเข้าใจนะ
.
แต่มันก็เป็น "ความห่างไกล" ที่เฝ้ารอได้นะ (ยกเว้นเส้นขอบฟ้า) ทุกอย่างมีรอบในการกลับมาของตัวมันเอง
.
ฉาก "คิดถึง" ของนิยายรักจึงมักสัมพันธ์กับ การมองท้องฟ้า ทะเล การนั่งริมชายหาด และแน่นอน รถไฟ จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย การเฝ้ารอใครซักคนบนสถานีรถไฟ หรือการโบกมือส่งลาใครซักคนบนสถานีรถไฟ เป็นอะไรที่ตราตรึงใจได้อยู่นะ สถานีจึงเป็นสัญลักษณ์ของการ จากลา และ การกลับมาพบกันใหม่
.
นอกจากนี้ผมยังเห็นว่ารถไฟเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางไกลที่ยาวนาน แต่ก็ต้องมีการรอคอยอีกนั่นแหละ
.
แต่ความหมายเหล่านี้มีขึ้นก็เฉพาะนิยาย(นวนิยาย)ของประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมกันอย่างเข้มข้นแล้ว จนรถไฟถูกนำมาใช้ในการขนส่งสาธารณะของประชาชนทั่วไป และนวนิยายก็พูดถึงเรื่องราวในชีวิตของคนทั่วไป
.
ผมชอบรถไฟนะ แม้จังหวัดผมไม่มีรถไฟแล่นผ่าน โดยส่วนตัวแม้จะไม่มีความรู้เรื่องวิศวกรรมและอย่างอื่น ๆ ที่เกี่ยวอีก ก็ยังเชื่อว่ารถไฟคือการขนส่งที่ถูกที่สุด ประหยัดที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด หากมีการขยายเส้นทางรถไฟไปทั่วประเทศ และมีการเดินรถที่เป็นระบบ รถไฟจะฝึกระเบียบวินัยและนิสัยตรงต่อเวลาให้กับประชาชน รวมทั้งความคิดเกี่ยวกับระเบียบวินัยด้วย
.
ถึงแม้ว่ามันจะน่าเสียดาย ที่ในประเทศเรานั้น รถไฟธรรมดา ๆ นั้นเป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลัง ไม่ทันสมัย ส่วนรถไฟฟ้า ก็กลายเป็น "สัญลักษณ์" ของความเจริญรุ่งเรืองอันสูงส่งเพียงเท่านั้น คือเราเอามันไว้เป็นรถประดับเมืองที่ "เจริญ" รุ่งเรือง แทนที่จะนำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจริง ๆ
.
หากประเทศเราเปลี่ยนระบบการจราจรทางบกมาเป็นระบบรางเสียหมด ผมว่าปัญหาการจราจรติดขัดจะหมดไป เราจะไม่มีคนเมาขับรถบนท้องถนน ดังนั้นปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนจะหมดไป ส่วนอุบัติเหตุจากรถไฟนั้นกำกับควบคุมได้ง่ายกว่า
.
ผมเห็นด้วยกับใครก็ตามที่จะพูดแบบนี้ว่า
หากอยากมอบความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศชาติ สร้างรถไฟให้เธอ
โฆษณา