9 พ.ค. 2023 เวลา 13:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

การจัดพอร์ต Core-Satellite Portfolio เวอร์ชันที่เข้าใจง่ายที่สุด !!

📌Core-Satellite Portfolio การจัดพอร์ตการลงทุนที่ใช้ได้กับทุกสภาวะตลาด📌
[ย่อวิชาจัดพอร์ทของผู้จัดการกองทุน นำไปใช้ลงทุนได้อย่างโปร]
วันนี้ #เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมาทบทวนการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite หรือใครที่เป็นมือใหญ่หน่อยก็สามารถศึกษาและทำตามได้เลย
หากต้องการจัดพอร์ตลงทุนระยะยาว และอยากเพิ่มโอกาสในการลงทุนระยะสั้นด้วย ควรจัดพอร์ตอย่างไรดี?
การจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite Portfolio ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การจัดพอร์ตที่ใช้ได้กับการลงทุนทั้งแบบเงินก้อนหรือ DCA รวมทั้งตอบโจทย์สำหรับการลงทุนระยะยาว และเปิดโอกาสให้หาผลตอบแทนเพิ่มเติมในระยะสั้นได้ด้วย
1️⃣ Core-Satellite Portfolio เป็นอย่างไร?
Core-Satellite Portfolio ตีความได้ง่ายๆว่า ในจักรวาลของการลงทุน มีโลกเป็นศูนย์กลาง เป็น Core ของพอร์ตเพื่อความมั่นคงระยะยาว และมีดาวเทียมโคจรอยู่รอบซึ่งนั่นก็คือ Satellite เพื่อเพิ่มผลตอบแทน ซึ่งหลักการนี้มีวิธีการจัดพอร์ตโดยแบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ
(1) Core Portfolio หรือการลงทุนส่วนหลัก โดยมีเป้าหมายในการลงทุนระยะยาว เช่น 5 ปีขึ้นไป โดยจัดสัดส่วนลงทุนใน Passive fund หรือกอง index ในประเทศที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง 2-3 ประเทศ หรือ ภูมิภาค รวมแล้วประมาณ 60-70% แล้วแต่ความชอบและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละคน ซึ่งส่วน Core นี้จะมีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต เรียกได้ว่าส่วนนี้จะโตไปอย่างมั่นคง มีความผันผวนต่ำกว่า Satellite
(2) Satellite Portfolio หรือการลงทุนส่วนเพิ่ม โดยมีเป้าหมายหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มในระยะสั้น-กลาง เช่น 6 เดือน – 3 ปี โดยจัดสัดส่วนลงทุนใน Active fund ประมาณ 30-40% ลงทุนใน 2-4 Sectors หรือธีม ในกลุ่มที่เห็นว่ามีโอกาสทำผลตอบแทนระยะสั้น-กลางได้ หรือเรียกว่าเป็นเทรนด์ของตลาดในช่วงนั้น ๆ ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละคน
จะเห็นว่าในส่วนนี้จะมีการลงทุนกระจุกตัวที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่กระจายความเสี่ยงเท่ากับส่วน Core ดังนั้นความเสี่ยงในส่วน Satellite จึงมีมากกว่า แต่เราคาดหวังผลตอบแทนกลับมาที่สูงขึ้นนั่นเอง
2️⃣ ผลตอบแทนและความเสี่ยง
มีโอกาสได้กำไรส่วนเพิ่มให้พอร์ตเนื่องจากเราแบ่งเงินส่วนเล็กๆ ลงทุนใน Sector หรือ Thematic fund ในขณะที่ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตก็จะไม่สูงจนเกินไป เนื่องจากเรามี Core Portfolio ซึ่งเป็น Passive fund ที่ปกติแล้วจะมีความเสี่ยงเท่ากับตลาดนั่นเอง การเพิ่มส่วน Satellite ใน Sector ที่มี correlation น้อยกับ Core จะช่วยจำกัดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตเราได้
3️⃣ ค่าธรรมเนียมของกองทุน
เนื่องจากส่วน Core นั้นเป็นการลงทุนใน Passive fund ดังนั้นค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะถูก ขณะที่ Satellite เป็น Active fund จะมีค่าธรรมเนียมที่มากกว่า ซึ่งเราเลือกลงทุนในส่วนนี้เพื่อหวังผลตอบแทนส่วนเพิ่ม เราจึงยอมจ่ายค่าธรรมเนียมที่มากกว่านั่นเอง แต่โดยรวมแล้ว Core-Satellite Portfolio ช่วยลดค่าธรรมเนียมจากการลงทุนได้ เนื่องจากเราไม่ได้ลงใน Active fund เพียงอย่างเดียว
4️⃣ สิ่งที่ควรทำหลังจากจัดพอร์ต Core-Satellite Portfolio
การ Rebalance หรือการปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนระหว่าง Core และ Satellite เมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าช่วงไหนพอร์ตส่วน Satellite ทำผลตอบแทนได้ดี และทำให้สัดส่วนของ Satellite เติบโตมากกว่าที่ตั้งไว้ตอนแรก ก็สามารถขายทำกำไรแล้วนำกลับไปไว้ใน Core Portfolio ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากสัดส่วน Satellite ปรับลดลง ก็อาจจะขายส่วน Core มาลงทุนเพิ่มในส่วน Satellite
5️⃣ เมื่อไรที่เราควรขายทำกำไรส่วน Satellite? หรือถ้าหากขาดทุนจะทำอย่างไร?
เราอาจตั้ง Target ไว้ได้ เช่น ถ้าหากกำไร 15% ก็จะขายเข้าส่วน Core หรือถ้าหากขาดทุน 10% ก็จะ cut loss หรือถ้าหากเห็นว่าราคาลดลงมา อยากเข้าซื้อเพิ่มก็ขายส่วน Core มาเพิ่มได้ เป็นต้น
6️⃣ ลงทุนด้วยเงินก้อน และ DCA ทำอย่างไร?
ไม่ว่าจะลงทุนด้วยเงินก้อน หรือ DCA ก็สามารถจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core-Satellite ได้ ซึ่งการจัดส่วน Satellite เราก็อาจต้องมีการรีวิวปรับเปลี่ยน Sector/ธีม ในการลงทุนบ้างในแต่ละช่วง
7️⃣ ตัวอย่าง Core Portfolio (Passive fund)
กลุ่ม US/EU เช่น
K-US500X (S&P500)
SCBEUEQA (Euro Stoxx600)
กลุ่ม China เช่น
K-CHX (A share, A50)
SCBCHAA (A share, CSI300)
กลุ่มหุ้นไทย เช่น
TMB50 (SET50 Index)
SCBSET50 (SET50 Index)
8️⃣ ตัวอย่าง Satellite Portfolio (Active/Sector Focus/Thematic fund)
กลุ่ม Infrastructure เช่น KFINFRA-A, TMBGINFRA
กลุ่ม Health care เช่น BCARE, T-HEALTHCARE
กลุ่มเทคโนโลยี เช่น T-ES-GINNO, PWIN, LH-INNO และ K-CHANGE เป็นต้น
กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เช่น PRINCIPAL-VNEQ (เวียดนาม), B-BHARATA (อินเดีย) เป็นต้น
📍สัดส่วนที่แนะนำไม่ให้ลงในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกิน 25% ของพอร์ททั้งหมด
🎯การจัดสัดส่วนที่เล่ามาข้างต้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคนนะ เช่น นักลงทุนอายุ 52 ปี จะเกษียณในอีก 3 ปีข้างหน้า ก็อาจจะจัดสัดส่วน Core Portfolio 50% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แทนกองทุนหุ้นได้ หรือแบ่ง Core Portfolio 30%, 20% ลงทุนในตราสารหนี้ และ Index fund ตามลำดับก็ได้ 👑
เห็นมั๊ยว่าการจัดพอร์ทแบบ Core-Satellite มีหลักการไม่ยุ่งยากเลย เพียงแค่ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นว่ากองทุนอะไรควรเป็น Core หรือ Satellite เท่านี้เราก็จัดพอร์ตการลงทุนของเราได้แบบโปร
สำหรับโพสต์นี้ ผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว เนื้อหาก็ยังดีอยู่ เรียกว่าคลาสสิคเลยก็ว่าได้ เซฟเก็บไว้เลย 😇
LINETODAY 👉https://today.line.me/th/v2/publisher/10240
1
โฆษณา