9 พ.ค. 2023 เวลา 06:47 • บันเทิง
‘ร็อคกี้’ แฟรนไชส์ภาพยนตร์ 51,000 ล้านบาทจากดาราชายตกอับที่มีเงินเหลือในบัญชีไม่ถึง 5,000 บาท
.
เหมือนชีวิตมาถึงทางตัน เมื่อดาราชายวัย 29 ปีนั่งมองดูตัวเลขในบัญชี
.
ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลืออยู่ 3,600 บาท แค่นั้นจริง ๆ
.
ทุกอย่างดูสิ้นหวังไปซะหมด งานก็ไม่คืบหน้า อาชีพการแสดงในฝันก็ไม่กระเตื้อง เงินแค่นี้จะไม่พอจ่ายค่าห้องเช่าซอมซ่อในฮอลลีวูดที่อยู่นี่ด้วยซ้ำ น้องหมาที่อยู่ด้วยก็แทบไม่มีอาหารกินแล้ว บางทีถ้าไม่มีทางออกจริง ๆ อาจจะต้องขายน้องทิ้งด้วย
.
เพื่อปลดปล่อยความเครียดและอยากจะหนีจากปัญหาที่อยู่ตรงหน้า วันที่ 24 มีนาคม 1975 เขาตัดสินใจไปดูการแข่งขันชกมวยรุ่นเฮฟวี่เวทระหว่าง มูฮัมหมัด อาลี (Muhammad Ali) ซึ่งเป็นแชมป์และ ชัค เว็บเนอร์ (Chuck Wepner) ผู้ท้าชิงที่เทียบชื่อชั้นกันแล้วแทบไม่มีคนรู้จัก การแข่งขันครั้งนี้ถือว่าอาลีเป็นต่ออย่างมาก ทุกคนเชื่อว่าคงชนะได้ง่าย ๆ รวมถึงตัวอาลีด้วย
.
แต่ทุกอย่างก็พลิกผัน มีจังหวะหนึ่งที่อาลีถูกชกเข้าบริเวณชายโครงแล้วล่วงลงไปกองกับพื้น มันเป็นจังหวะที่คนจะจำไปตลอดกาล เพราะอย่างที่บอกว่าอาลีถือว่าเป็นนักมวยที่เก่งที่สุดคนหนี่งของโลกในตอนนั้น เว็บเนอร์ผู้ถูกมองว่าไร้ทางสู้กำลังสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดขึ้นแล้ว แม้วันนั้นเว็บเนอร์จะพ่ายแพ้ แต่ก็สู้อย่างสมศักดิ์ศรีถึง 15 ยกก่อนที่อาลีจะน็อกเขาลงได้
.
การชกครั้งนั้นจบไป แต่เรื่องราวของเว็บเนอร์ยังฟังอยู่ในหัวของดาราชายตกอับคนนั้น และนั่นก็คือจังหวะนี้เองที่ตัวละคร Rocky ถือกำเนิดขึ้น เรื่องราวของของนักมวยที่เป็น “เพชรในตม” ที่รอเวลาถูกค้นพบก็ถูกเขียนขึ้นมาหลังจากการแข่งขันในวันนั้น
.
เขากลับไปที่ห้องเช่าเล็ก ๆ ปิดประตูหน้าต่างและเริ่มลงมือเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง ‘Rocky’ ขึ้นมา เขาคิดในหัวในเมื่อไม่สามารถหางานเป็นนักแสดงในบทภาพยนตร์ของคนอื่นได้ ก็เขียนบทภาพยนตร์เพื่อให้ตัวเองเล่นเป็นตัวเองซะเลยก็แล้วกัน
.
สามวันครึ่งต่อมา บทภาพยนตร์ของ Rocky ก็ถูกเขียนขึ้นมา แม้ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนทีหลัง แต่มันคือดราฟต์แรกที่พาเขาไปอยู่บนเส้นทางนักแสดงและแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่สร้างรายได้มากถึง 51,000 ล้านในภายหลัง
.
วันหนึ่งหลังจากที่ล้มเหลวจากการแคสติ้งบทตัวละคร (เหมือนที่เกิดขึ้นเป็นปกติ) ก่อนจะกลับบ้านเขาก็เล่าถึงบทภาพยนตร์ที่เขียนขึ้นให้โปรดิวเซอร์ฟัง ก็เริ่มสนใจแล้วขอให้เขาเอามาให้อ่านทั้งหมด ปรากฏว่าชอบมาก ๆ และเสนอเงิน 850,000 บาทเพื่อซื้อสิทธิ์ของบทภาพยนตร์เรื่องนั้น
.
เขาปฏิเสธครับ
.
เงินจำนวนไม่น้อยเลยถ้าเรานึกถึงสถานการณ์ที่เขาอยู่ เงินจำนวนนั้นจะทำให้เขาสบายไปอีกสักพัก ลดความกดดันและค่อย ๆ หางานใหม่ภายหลังก็ได้
.
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เพราะถ้าซื้อบทไปแล้วโปรดิวเซอร์จะเอาดาราชื่อดังคนไหนก็ได้มาเล่นก็ได้ เขาเขียนบทนี้มาเพื่อให้ตัวเองเล่นเป็นตัวเอง และให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า
.
“ผมเอาบทไปฝังดินหลังบ้านดีกว่าจะให้ใครมาเล่น ผมคงจะเกลียดตัวเองมากถ้าหน้าเงินในตอนนั้น”
.
โปรดิวเซอร์นึกว่าเขาปฏิเสธเพราะเงินมันน้อยไป นึกว่าเป็นเทคนิคการต่อรองราคาเลยให้ข้อเสนอที่มากขึ้นอีกเป็น 3,500,000 บาท เป็น 6,000,000 บาท เป็น 8,500,000 บาท และสุดท้ายสูงถึง 12,000,000 บาท
.
เขายังยืนยันเหมือนเดิม ไม่ขายแต่จะเล่นเอง
.
โปรดิวเซอร์ยังคงยืนยันคำเดิมว่าเรื่องนี้ต้องใช้ดาราชื่อดังเพื่อมาเล่นตัวละครหลัก แต่เขาก็ยังคงยึดมั่นในแนวคิดของตัวเอง ซึ่งก็เหมือนกับเรื่องราวที่ภาพยนตร์ Rocky นำเสนอนั่นก็คือความสำคัญของการทำตามความฝันให้ถึงที่สุดและมีความเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ว่าจะลำบากขนาดไหน
.
สุดท้ายฝ่ายโปรดิวเซอร์ก็ยอมถอย หลังจากเจรจาต่อรองกันเสร็จ เขาได้รับบทเป็นตัวละคร ‘Rocky Balboa’ และได้เงินค่าจ้างเพียง 20,000 เหรียญ แต่มีงบสร้างหนังเรื่องนี้เพียงแค่ 1 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งถ่ายทำด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 28 วัน มันเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เขาต้องเอาคนในครอบครัวมาร่วมงานด้วย ทั้งพ่อ น้องชาย ภรรยาในตอนนั้น (Sasha Czack) และรวมไปถึงน้องหมา ‘Butkus’ ของเขาด้วย
.
ภาพยนตร์เรื่องนั้นกลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำรายได้ทั่วโลกกว่า 225 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 7,680 ล้านบาท พร้อม 3 รางวัลอคาเดมีอวอร์ดส์ในปี 1977 หนึ่งในนั้นคือ ‘ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม’ (Best Picture) อีกด้วย
.
ถึงตอนนี้ทุกคนน่าจะพอเดาได้แล้วว่าดาราผู้ตกอับคนนั้นคือ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) ที่ภายหลังมาก็ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงอย่างมากนั่นเอง
.
ถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกับสตอลโลน ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือไม่ถึง 5 พัน อาชีพการงานก็ไม่ได้มั่นคง หลายคนอาจจะตัดสินใจขายบทภาพยนตร์นั้นไป ปล่อยโอกาสในการเป็นนักแสดงให้กับคนอื่น เอาเงินตรงนั้นไปใช้ให้สบายดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่สำหรับสตอลโลนแล้วสิ่งที่เขาอยากเป็นคือนักแสดง และจะไม่มีทางโยนโอกาสในการได้เล่นในบทที่สร้างขึ้นมาสำหรับตัวเองทิ้งไปให้คนอื่นอย่างแน่นอน แม้ว่าถ้าตอนนั้นตกลงกันไม่ได้แล้วต้องทิ้งบทภาพยนตร์นั้นไปเลยก็ตาม
.
- โสภณ ศุภมั่งมี (บรรณาธิการ aomMONEY)
โฆษณา