13 พ.ค. 2023 เวลา 04:07 • สิ่งแวดล้อม

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ขับเคลื่อน ESG

เดินหน้าสร้างสังคมฉุกคิด-ส่งต่อจิตสำนึกเชิงบวก ด้วยแนวคิด “Sustainable Living for Future Lifestyle” เพื่อการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนสู่มิติสังคมที่ดี สิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ ตามหลักบรรษัทภิบาล
บมจ. อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หรือ ILM มุ่งสร้าง Living Lifestyle Mall แห่งอนาคต สู่ความยั่งยืนภายใต้หลัก 3G อย่าง Great Experience, Green Planet, Grow Together ครอบคลุมมิติ ‘สิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล
ด้วยแนวคิด ‘Sustainable Living for Future Lifestyle’ ส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วยการใช้พลังงานสะอาด Solar Roof ควบคู่การขนส่งด้วยรถ EV พร้อมต่อยอดโครงการจัดการขยะอย่างเป็นระบบสู่ชุมชน ตั้งเป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง
พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตด้าน PRODUCTS DESIGN เพิ่มสัดส่วนกลุ่มของใช้ภายในบ้านจากวัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผสานนวัตกรรม-เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อประสบการณ์ช้อปใหม่ที่สะดวกปลอดภัยในทุกการใช้ชีวิต เตรียมยกระดับภูมิปัญญาและหัตถกรรมท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าให้สินค้าร่วมสมัยเป็นสากล ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ต่อยอดการสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
จากความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ควบคู่ไปกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ภายใต้แนวความคิด ‘Sustainable Living for Future Lifestyle’ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อมที่ดี ตามหลักธรรมาภิบาล
โดยบริษัทตระหนักถึงความคาดหวังและผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าในการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างรอบด้าน ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กรในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมที่ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ โดยเฉพาะปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM2.5 รวมถึงอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น เหตุการณ์ไฟป่า ซึ่งในอนาคตอาจจะทวีความรุ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ
บริษัทจึงเร่งเดินหน้าคืนสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยโครงการต่างๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรอบด้าน ตั้งแต่กระบวนการผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ จัดจำหน่าย และขนส่งสินค้า ฯลฯ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ตั้งเป้าประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ Net-Zero หรือสุทธิเป็นศูนย์ ขณะเดียวกันร่วมสร้างรากฐานทางสังคมให้มีความแข็งแกร่ง ตลอดจนดำเนินธุรกิจเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กรอบบรรษัทภิบาล เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเจนเนอเรชั่นต่อไป
ในปี 2566 อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ดำเนินงานด้าน ESG ( ESG: Environment, Social, Governance) ซึ่งยึดแนวคิด ‘Sustainable Living for Future Lifestyle’ สู่การใช้ชีวิตแห่งอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ Great Experience, Green Planet, Grow Together เพื่อประสบการณ์ที่ดีด้วยสินค้าและบริการ มอบความสุข-คุณภาพชีวิตที่ดีให้กับครอบครัว ILM และส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีสู่สังคมที่ยั่งยืน
สำหรับมิติสิ่งแวดล้อม บริษัทเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อเนื่อง โดยดำเนินภายใต้ 3 แกน ดังนี้
1. Energy Saving & Efficiency in Retail Stores เพื่อวางแผนด้านพลังงานระยะยาว โดยปี 2566 มีแผนปรับปรุงระบบปรับอากาศและระบบไฟฟ้าแสงสว่าง สำหรับ ILM ทุกสาขา, Upgrade เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ, ตั้งเป้าลดการใช้ไฟฟ้าในทุกสาขาลงอีก 10% จากฐานปี 2565 ควบคู่โครงการ “Solar Rooftop”
ปัจจุบัน บริษัทติดตั้ง Solar Rooftop ไปแล้ว 24 แห่ง ทั้งสาขาของ ILM คลังสินค้า และโรงงาน (ปี 2565 สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 12,688.80 mWh เพิ่มจากปีก่อน 18.84% ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 6,052.56 ตันคาร์บอนไดออกไซด์) โดยตั้งเป้าติดตั้งเพิ่มสำหรับสาขาที่มีโครงสร้างรองรับและมีความคุ้มค่าในการติดตั้งภายในปี 2570 พร้อมขับเคลื่อน “Green Logistics” โดยเริ่มทดลองการขนส่งพลังงานสะอาดจากรถไฟฟ้า (Electric Vehicles: EVs) รูปแบบ EV Truck (6 ล้อพ่วง), EV (6 ล้อ) รวม7 คัน พร้อม EV Charger ที่คลังสินค้า
โดยในปี 2566 จะเริ่มขนส่ง-กระจายสินค้าจากเส้นทางสายเหนือ-สายอีสาน ได้แก่ นครสวรรค์ พิษณุโลก นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ยังศึกษาข้อมูลในด้านการเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกต้นไม้
2. จัดการขยะอย่างเป็นระบบ (Waste Management) พัฒนาการจัดการขยะแต่ละประเภทให้เกิดประสิทธิภาพ ทั้ง ILM ทุกสาขา, คลังสินค้า, โรงงาน รูปแบบขยะรีไซเคิล ขยะอินทรีย์ ฯลฯ (ปี 2565 การแยกขยะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 6,356.27 ตันคาร์บอนฯ) โดยในปี 2566 ได้ร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ ในการรวบรวมขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ ถ่านไฟ และแบตเตอรี่เก่า ฯลฯ จากคู่ค้าและลูกค้า เพื่อนำไปคัดแยกและกำจัดอย่างถูกวิธี นำร่องการรับขยะอันตราย 2 แห่ง คือ ILM สาขาบางนา, สาขาเกษตร-นวมินทร์
นอกจากนี้ยังต่อยอดโครงการรับที่นอนเก่า (สภาพดี) จากลูกค้าเพื่อส่งต่อมูลนิธิและหน่วยงานที่ต้องการ หรือนำไปจัดการอย่างถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับสิ่งมีชิวิตและสิ่งแวดล้อม
3. ออกแบบผลิตภัณฑ์สู่ความยั่งยืน (Eco-Products design) เพื่อเติมเต็มนิยามของบ้านสู่วิถีแห่งความยั่งยืน โดยเพิ่มไอเทมกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของใช้ภายในบ้านจากวัสดุรีไซเคิล และวัสดุธรรมชาติเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ออกแบบบรรจุภัณฑ์จากกระดาษเพื่อลดการใช้พลาสติก, ลดขนาดแพ็คเกจของกลุ่มที่นอนในรูปแบบบรรจุกล่องให้มีขนาดเล็กลงเพื่อลดเที่ยววิ่งรถขนส่งที่จะทำให้ประหยัดพลังงานและลดมลพิษทางอากาศ
นอกจากนี้ยัง Upcycling พัฒนาไม้จริงเก่ามาดีไซน์เป็นสินค้าใหม่ เช่น เฟอร์นิเจอร์ Dining ไม้สัก เพื่อเพิ่มมูลค่าไม้เก่าและชูเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน และไม่สนับสนุนผลิตภัณฑ์จาก suppliers หรือผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้จะเพิ่มสัดส่วนเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ Younique (Customized Furniture) ประหยัดทรัพยากรในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ให้เป็น 10% ของรายได้เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด ภายในปี 2568
สำหรับ มิติสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืน บริษัทมุ่งยกระดับสุขภาพของลูกค้าด้วยการดีไซน์ฟังก์ชันการใช้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับชุมชน เพื่อสนับสนุนการสร้างรายได้ให้ชุมชน ผ่าน 4 แกนหลัก ได้แก่
1. พัฒนาสินค้าและบริการเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่า (Product and Service Innovation for Better Living) เพื่อตอกย้ำการเป็น Living Lifestyle Mall ครอบคลุมทุกความต้องการรองรับการใช้ชีวิตแห่งอนาคต เช่น ออกแบบสินค้าตามหลักการยศาสตร์ ในปี2566 เพิ่มกลุ่มสินค้า Ergonomic หมวดเก้าอี้-โต๊ะทำงานปรับระดับไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์สำหรับเด็กวัยเรียนและผู้สูงอายุ เป็นต้น
2. ผสานเทคโนโลยีใหม่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ นำเทคโนโลยีทันสมัย ตอบโจทย์ชีวิตสะดวกสบายปลอดภัย และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี กับนวัตกรรม Easy to Clean Fabric Sofa การดีไซน์โซฟาด้วยวัสดุผ้าที่นุ่มอ่อนโยน ปลอดภัย สามารถเช็ดทำความสะอาดง่าย ช่วยป้องกันคราบฝังของสิ่งสกปรก-เชื้อโรค
รวมถึงพัฒนาสินค้าที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำ เช่น หมอน ผ้าห่ม (Cooling Pillow & Blanket) และ ผ้าม่านไม่อมฝุ่น ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยป้องกันและยับยั้งไรฝุ่นและการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรีย ฯลฯ ตามมาตรฐานสากลจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรม Aquashield วัสดุไม้ที่ออกแบบให้ทนความชื้นพิเศษ โดยวางเป้าหมายเพิ่มวัสดุที่ผลิตสินค้าด้วยนวัตกรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัย เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 20% ของ Portfolio สินค้าใหม่ของกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในปี 2568
3. ยกระดับสินค้าและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ความยั่งยืนรูปแบบ Urban Living โดยโครงการพัฒนาสินค้าร่วมกับกลุ่มชุมชนเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและสร้างรายได้กับชุมชนปี 2566 โดยนำร่องร่วมกับ “กลุ่มใบไม้” ชุมชนคีรีวง จ.นครศรีธรรมราช นำความโดดเด่นจากวิถีชุมชนการรวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์งานศิลป์ที่เรียบง่ายแต่ทรงคุณค่ามีสเน่ห์ จนก่อเกิดภูมิปัญญาหัตถกรรมผ้ามัดย้อมจากธรรมชาติ 100%
โดยบริษัทเข้ามาเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบธรรมชาติมาผสานกับดีไซน์สมัยใหม่ในรูปแบบ Urban Living ซึ่งยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์วิถีชุมชนที่สวยงามจากผ้ามัดย้อมสู่ชุดห้องนอน New Collection “HAPPY VACATION” ทั้งนี้นอกจากจะส่งเสริมการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งยังต่อยอดการสร้างรายได้ ควบคู่กับยกระดับหัตถกรรมท้องถิ่นสู่ความร่วมสมัยระดับสากล
4. ให้คุณค่าและความสำคัญแก่พนักงาน สร้างความเสมอภาพและเท่าเทียมกันกับแรงงานทุกรูปแบบ ใส่ใจดูแลความเป็นสุขและความปลอดภัยของพนักงาน รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างโอกาสด้านการจ้างงานกับกลุ่มเปราะบางในกลุ่มผู้สูงอายุ-ผู้พิการ รวมถึงจ้างงานเถ้าแก่น้อย เพื่อเปิดโอกาสให้ช่างจัดส่ง-ติดตั้งได้เป็นเจ้าของกิจการของตัวเองและสร้างรายได้อีกด้วย
ปัจจุบันเทรนด์ “Sustainability is a top concern for consumers” ผู้บริโภคตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการช้อปสินค้าเพื่อความยั่งยืนอย่างมาก ซึ่งผู้บริโภคจะมองว่าพฤติกรรมการซื้อสินค้ามีผลต่อโลกอย่างไร และจะเลือกซื้อสินค้า,การบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีดีไซน์เรียบง่าย ทนทานใช้งานได้ยาวนาน เพื่อร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและโลก ขณะเดียวกันก็เพื่อปกป้องตัวเองจากผลของภาวะอากาศที่กำลังวิกฤต
บริษัทมีหมวดสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ Dining , Bedroom และ HDI (กลุ่มของใช้ในบ้าน) ล่าสุดได้ร่วมกับ “กลุ่มใบไม้” ชุมชนคีรีวง โดยนำทีมดีไซน์เนอร์ลงพื้นที่เพื่อพัฒนาสินค้าร่วมกับตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้เกิดเป็นชุดห้องนอนคอลเล็คชั่น “HAPPY VACATION”
โดยตีโจทย์จากภาพความสวยงามของท้องทะเลที่โดดเด่นทางภาคใต้ ให้ความรู้สึกสงบเย็น ผ่อนคลาย ด้วยการใช้โทนสีฟ้า-ครามจากท้องฟ้า และโทนสีขาวจากน้ำทะเลและหาดทราย กับงานออกแบบที่ชูความเรียบง่าย ด้วยวัสดุธรรมชาติจากไม้ยางพารา ตกแต่งด้วยผ้ามัดย้อมที่ผ่านกระบวนการทำด้วยมือด้วยสีที่ได้จากพืช-เปลือกผลไม้ธรรมชาติ 100% ซึ่งพร้อมจำหน่ายในไตรมาส 2/2566 นี้
นอกจากนี้บริษัทยังคงดำเนินการตามแผนพัฒนาสินค้าร่วมกับกลุ่มชุมชนเพื่อสร้างรายได้ให้เกิดกับชุมชนภาคต่างๆต่อไป รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง จากการสนับสนุนสินค้าหัตถกรรมชุมชนและคู่ค้า เป็นต้น”
สำหรับ มิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจเติบโตยั่งยืน บริษัทดำเนินการผ่าน 2 แกนหลัก ได้แก่
1. สร้างประสบการณ์ช้อปแก่ลูกค้า (Customer Experience) ด้วยสินค้าและบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า เสมือนครอบครัวเดียวกัน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลและการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลความเป็นส่วนบุคคล PDPA (Digitalization and data privacy)
2. ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ บริษัทได้ยึดมั่นหลักการดำเนินธุรกิจ ภายใต้หลักบรรษัทภิบาลการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซื่อตรง โปร่งใส ไร้การทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาธุรกิจต่อไป
กลุ่มบริษัทมุ่งมั่นเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาด้านความยั่งยืน รวมถึงทบทวนเป้าหมายและแนวทางในการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างรอบด้าน
เราเชื่อในพลังเล็กๆ ที่สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จได้ จึงเร่งสร้างค่านิยมด้านความยั่งยืนให้เกิดขึ้น เริ่มจากภายในองค์กรทั้งเจ้าหน้าที่ พนักงาน ตลอดจนผู้บริหาร ทั้งการปรับแนวความคิดง่ายๆ จากตัวเอง เช่น การลดใช้พลังงานไฟฟ้า-น้ำ-พลาสติก ช่วยกันแยกขยะ แบบที่ตนเองสามารถทำได้ รวมถึงจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับพนักงาน คู่ค้า ลูกค้า รวมถึงกลุ่มชุมชน ฯลฯ เพื่อความยั่งยืนในทุกชีวิตและโลกของเรา
โฆษณา