Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย
•
ติดตาม
15 พ.ค. 2023 เวลา 11:12 • ท่องเที่ยว
เมื่อยมาก กับทริปรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ที่ยกกระเป๋า 9 ครั้ง
เนื่องจากมีภารกิจต้องแวะไปเมืองเชียงรุ้ง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา และนครคุนหมิง มณฑลยูนาน ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
เมืองเชียงรุ้ง
จึงทำให้เกิดความคิด และสนใจที่จะลองเดินทางด้วยเส้นทางใหม่เอี่ยมคือ รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว หรือสายเวียงจันทน์-คุนหมิง ซึ่งผ่านเชียงรุ้งด้วยพอดี
วัดแห่งหนึ่งในเมืองเชียงรุ้ง
จึงตัดสินใจลองเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงในช่วงขาไป แล้วจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวขากลับจากคุนหมิงมาลงที่สุวรรณภูมิ
วัดอีกแห่งของเมืองเชียงรุ้ง
เราเริ่มต้นทริปนี้ ด้วยการบินออกจากสุวรรณภูมิโดยสายการบินไทยสมายล์ ไปลงที่นครเวียงจันทน์
เที่ยวบิน WE 570 เวลา 11.05 น. ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินนานาชาติวัดไต นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
มีภารกิจเต็มเหยียดในช่วงบ่ายที่นครเวียงจันทน์ จึงต้องนอนค้างแรมหนึ่งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นตี 5 เพื่อมาทานอาหารเช้าตอน 6 โมง แล้วรีบเดินทางไปสถานีรถไฟความเร็วสูงของนครเวียงจันทน์
1
สถานีรถไฟนครเวียงจันทน์
ซึ่งจะออกเดินทางเวลา 8.08 น. ด้วยขบวนรถ D 888 ไม่แน่ใจว่าทำไมเลขแปดเยอะนัก เดาว่าแปดเป็นเลขมงคลของคนจีน ไม่ทราบว่าข้อสันนิษฐานนี้จะถูกต้องหรือไม่
1
ได้รับคำเตือนมาก่อนแล้วว่า อย่าจัดกระเป๋าหรือสัมภาระให้หนักมากนัก เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องยกขึ้นยกลงตลอดการเดินทางหลายครั้ง
ภายในสถานีรถไฟนครเวียงจันทน์
และยังต้องมีการลากกระเป๋าเป็นระยะทางไกล รวมทั้งอาจต้องขึ้น-ลงบนพื้นต่างระดับในแต่ละสถานีด้วย
แต่ก็นึกไม่ถึงว่า จะต้องยกหลายครั้งมากมาย นับดูแล้วรวม 9 ครั้งด้วยกัน จนกลุ่มของผู้เขียนปวดเมื่อยทั้งแขนและหัวไหล่ไปตามตามกัน
2
เริ่มต้นกันที่สถานีรถไฟความเร็วสูงนครเวียงจันทน์ ด้านหน้าสถานียังใหม่เอี่ยมมาก ต้นไม้เพิ่งจะนำมาลง
เรายกกระเป๋าจากรถบัส ลากไปยังตัวสถานี จัดเป็นการยกกระเป๋าครั้งที่ 1
ยกและลากกระเป๋าครั้งที่หนึ่ง
จากนั้น เมื่อเข้าสู่ตัวสถานี ก็จะพบบรรยากาศที่ทันสมัย ใหม่เอี่ยม กว้างขวาง และเย็นฉ่ำ เป็นที่น่าประทับใจ
แล้วก็ต้องยกกระเป๋าเพื่อส่งเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ นับเป็นการยกครั้งที่ 2 ของทริปนี้ แล้วไปผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)
ที่วางกระเป๋าเหนือศีรษะ
รอจนถึงเวลารถไฟออก ก็ต้องลากกระเป๋าไปที่ชานชลา เมื่อขึ้นรถไฟแล้ว จะต้องยกกระเป๋าใบใหญ่ไปใส่ชั้นวางของท้ายโบกี้ให้เรียบร้อย จัดเป็นการยกกระเป๋าเป็นครั้งที่ 3
เมื่ออยู่บนรถไฟแล้ว ซึ่งมี 8 โบกี้ เราจองรถไฟชั้นหนึ่งหรือเฟิร์สคลาสไว้ซึ่งมีเพียงโบกี้เดียว ผู้โดยสารมีเพียงครึ่งเดียวของจำนวนที่นั่ง ทำให้พวกเรานั่งกันอย่างสะดวกสบายมาก
ที่นั่งกว้างขวางและนุ่มสบายของชั้นหนึ่ง
ที่เหลือเป็นรถไฟชั้นสอง เป็นจิตวิทยาที่ดีมากคือ มีแค่ชั้นหนึ่งและชั้นสอง ไม่มีชั้นสามหรือชั้นประหยัด
ภายในโบกี้ของรถไฟชั้นหนึ่ง จะมีบรรยากาศที่หรูดูดีพอสมควร ที่นั่งเป็นแบบชั้นธุรกิจของเครื่องบิน
ภายในโบกี้รถไฟชั้นหนึ่ง
มีแถวละเพียง 4 ที่นั่ง ข้างซ้าย 2 ที่นั่ง ข้างขวา 2 ที่นั่ง
ภายในโบกี้รถไฟชั้นสอง
ซึ่งจะแตกต่างกับรถไฟชั้นสอง ซึ่งจะมีแถวละ 5 ที่นั่ง ด้านหนึ่งเป็น 2 ที่นั่งและอีกด้านหนึ่ง 3 ที่นั่ง เก้าอี้ก็จะมีขนาดเล็กกว่าในที่นั่งของเฟิร์สคลาส
ในโบกี้รถไฟชั้นหนึ่งนี้ กว้างขวางสะดวกสบาย มีปลั๊กต่างๆให้เสียบหรือชาร์จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ มือถือ หรืออุปกรณ์อื่นๆ
เบาะเก้าอี้ก็เป็นผ้านุ่มหนา สีฟ้าสดใส สะอาดมาก อาจเพราะยังใหม่มาก มีส่วนหนุนที่ศีรษะให้เอนพักได้สบายด้วย
มีชั้นวางของเหนือศีรษะ และในท้ายของโบกี้จะมีที่วางกระเป๋าขนาดใหญ่ ซึ่งเราจะต้องยกขึ้นไปวางให้เรียบร้อย
ห้องน้ำแบบชักโครก
ในเรื่องห้องน้ำ มีทั้งหัวโบกี้และท้ายโบกี้ ที่น่าสนใจมากคือ ส่วนที่เป็นหัวโบกี้ห้องน้ำจะเป็นแบบชักโครก ส่วนด้านท้ายโบกี้จะเป็นห้องน้ำแบบนั่งยอง
1
ห้องน้ำแบบนั่งยอง
ทั้งที่อุปกรณ์ภายในห้องน้ำนั้น ดูดีในระดับแบบชั้นหนึ่ง
คาดว่าเพื่อจะรองรับผู้โดยสารจีน ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ที่ส่วนหนึ่งอาจยังนิยมนั่งยองๆ
1
ขนาดไปดูงานที่สถาบันวิจัยวัคซีนของจีนที่คุนหมิง ซึ่งหรูหรามาก เมื่อเข้าไปใช้ห้องน้ำของผู้ชาย ในจำนวน 6 ห้อง เป็นชักโครกเพียงหนึ่งห้อง และเป็นห้องนั่งยองถึง 5 ห้องด้วยกัน
1
ส่วนหัวรถไฟความเร็วสูง
รถไฟความเร็วสูงเส้นทางนี้อยู่ในช่วงทดลอง จึงมีเพียงวันละ 2 ขบวน ความเร็วที่ใช้ก็สูงปานกลางคือ 160-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ถ้าเป็นรถไฟความเร็วสูงที่เมืองใหญ่เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ความเร็วจะอยู่ที่ระดับ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อออกเดินทางมาได้ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงสถานีวังเวียง ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างวังเวง มีคนใช้บริการไม่มากนัก
เรานั่งรออยู่บนรถไม่กี่นาที รถก็เคลื่อนขบวนต่อไป อีกประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา ก็มาถึงสถานีหลวงพระบาง สถานีนี้ค่อยมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาพอสมควร
ป้ายสถานีหลวงพระบาง
สังเกตดูส่วนใหญ่เป็นคนจีน มีคนลาวน้อยมาก
ขบวนรถจอดเพียงไม่กี่นาที ก็วิ่งต่อไปที่ชายแดน ใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมงก็มาถึงสถานีบ่อเต็น
ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ชายแดนลาวติดกับจีน จุดนี้เราต้องยกกระเป๋าลงมาจากที่เก็บบนรถไฟ
ลากกระเป๋ามารอเข้าคิว
แม้สุดท้าย เราก็จะต้องกลับมาขึ้นรถไฟขบวนเดิมก็ตาม มาขึ้นโบกี้เดิม และที่นั่งเดิม
การยกกระเป๋าลงครั้งนี้ จึงเป็นครั้งที่ 4 แล้วก็ต้องลากกระเป๋าไปไกลพอสมควร
เมื่อผ่านด่านนี้ของลาว ก็จะถูกปฏิบัติเหมือนกับกำลังจะออกจากประเทศลาวที่เรียกว่า Departure คือต้องทั้งเอกซเรย์ ทั้งผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วทำการเช็คอิน
ตรงจุดเอกซเรย์นี้ ก็ถือว่าเป็นการยกกระเป๋าขึ้นเครื่องเอ็กซเรย์เป็นครั้งที่ 5
อีกมุมของการลากกระเป๋า
แม้สถานีจะดูใหม่สะอาดกว้างขวางอุปกรณ์ต่างๆดูทันสมัย แต่กระบวนการจริงๆแล้ว จะเสียเวลามากพอสมควร
ด่านตรวจคนเข้าเมือง จะดูพาสปอร์ตอย่างละเอียดมาก เห็นเอานิ้วมือชี้ทีละตัวอักษร ดูเทียบกับข้อมูลที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
แล้วนามสกุลของพวกเราที่เป็นภาษาอังกฤษนั้น มันสั้นกันที่ไหน ก็เลยกินเวลากันน่าดู
1
ห้องโถงที่โออ่ากว้างขวาง
เมื่อผ่านมาแล้ว ก็จะเข้ามาสู่โถงใหญ่เพื่อจะนั่งรอ เพราะทางการเค้าได้เผื่อเหลือเผื่อขาด เวลาจะกลับขึ้นรถไฟใหม่ จะต้องใช้เวลาอยู่ที่สถานีบ่อเต็นนานถึงชั่วโมงครึ่ง ถึงจะกลับขึ้นไปบนรถไฟใหม่อีกครั้ง
ร้านค้าปลอดภาษี
บริเวณโถงที่รอนี้ จะมีร้านดิวตี้ฟรีหนึ่งร้าน และมีซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกหนึ่งร้าน ซึ่งข้างในมีแต่ของจีนเกือบทั้งหมด มีของไทยปนเพียงเล็กน้อย
ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต
ได้ลองซื้อชานมไข่มุกดู พบว่ารสชาติถือว่าใช้ได้ ในราคา 30 บาท
ชานมไข่มุกราคา 30 บาท
เค้กเล็กๆหนึ่งชิ้น ราคา 40 บาท กลัวว่าจะไม่อิ่ม แล้วก็ไม่แน่ใจว่ารสชาติของเค้กดีหรือไม่ ก็เลยซื้อยูโรคัสตาร์ดเค้กของไทยมาหนึ่งกล่อง ราคา125 บาท เพื่อความมั่นใจว่าจะอร่อยแน่นอน
2
หลังจากนั่งทานไปได้ 30 นาที ก็ถูกเรียกให้ไปขึ้นรถไฟได้
ลาก แล้ว รอ
พวกเราก็ลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟ แล้วยกกระเป๋าใหญ่ขึ้นที่เก็บกระเป๋าเป็นครั้งที่ 6
1
ส่วนกระเป๋าเล็กหรือ Carry on ก็เอาไว้ที่วางของเหนือศรีษะได้
นั่งไปได้อีกอึดใจเดียว ราว 12 นาที ก็ข้ามเขตแดนลาว เข้าสู่ประเทศจีน คือสถานีบ่อหาน
ก็ต้องยกกระเป๋าทั้งใหญ่และเล็กลงมาอีกครั้ง เพื่อลงจากรถไฟไปที่สถานี นับเป็นครั้งที่ 7
1
และจะต้องปฏิบัติตัว เหมือนเป็นผู้โดยสารขาเข้า (Arrival) ของประเทศจีนคือ จะต้องผ่านเอ็กซเรย์ ผ่านตรวจคนเข้าเมือง
ตรงด่านตรวจคนเข้าเมืองจีน ซึ่งดูทันสมัยและทำงานกระฉับกระเฉงกว่าฝั่งลาว
แต่เราก็โชคไม่ดี เพราะดูจะเป็นการฝึกเจ้าหน้าที่ใหม่ โดยสังเกตว่าทุกช่องที่ตรวจเอกสารพาสปอร์ต จะมีเจ้าหน้าที่เด็กๆ นั่งทำงานทุกช่อง
โดยมีเจ้าหน้าที่อาวุโส ยืนคุมอยู่ข้างหลัง คอยสอนงาน ก็เลยเสียเวลาไปพอๆกับฝั่งลาว
ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตทำนองเดียวกัน
เมื่อผ่านตม.แล้ว ก็เข้าไปนั่งรอในโถงใหญ่ของสถานีบ่อหาน ซึ่งรูปร่างหน้าตาแบบเดียวกับฝั่งลาวเป๊ะ น่าจะเป็นเพราะนี่คือการลงทุนของนักธุรกิจจีนทั้งสองสถานี
ประมาณ 30 นาที ก็ถูกเรียกให้ขึ้นรถไฟ พวกเราก็ต้องลากกระเป๋าทั้งใบใหญ่ใบเล็กเป็นระยะทางยาวพอสมควร เพื่อไปขึ้นรถไฟขบวนเดิม
แล้วก็ยกเก็บกระเป๋าแบบเดิม เหมือนการรีเพลย์เทป ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว เรียกว่าหลับตาทำก็ยังได้
1
นับเป็นการยกกระเป๋าเป็นครั้งที่ 8
1
ถ้าเรานั่งไปคุนหมิงปลายทาง จะใช้เวลาอีก 4 ชั่วโมงครึ่ง แต่เราจะไปลงที่เชียงรุ้ง ซึ่งใช้เวลาอีกเพียง 1 ชั่วโมง
นกยูงสัญลักษณ์ของเมืองเชียงรุ้ง
เชียงรุ้งนี้ อยู่ในเขตปกครองตนเอง สิบสองปันนา มีชาวไทลื้ออาศัยเป็นประชากรหลัก
ภาษาบางคำคล้ายกับภาษาไทย ล้านนาภาคเหนือ ชุดประจำเผ่าของเค้า ก็เหมือนชุดคนไทยมากๆเลย หน้าตาก็คล้ายคนไทย ไม่เหมือนคนจีน มีประชากรอยู่ราว 1 ล้านคน
1
สาวเชียงรุ้งกับชุดประจำเผ่า
ขบวนรถไฟความเร็วสูง 8 โบกี้นี้ จะมีหนึ่งโบกี้ที่เป็นตู้เสบียง แต่เนื่องจากความไม่พร้อม ในฝั่งลาวจะไม่มีอาหารเลย
ส่วนในฝั่งเขตแดนจีน จะมีเพียงเครื่องดื่มกับของว่างเล็กๆน้อยๆ จึงควรเตรียมอาหารมื้อหลักขึ้นไปทาน หรือทานตอนอยู่ที่สถานีข้างล่าง
หนุ่มสาวจีนนิยมแต่งชุดเชียงรุ้งมาถ่ายภาพ
ที่เชียงรุ้งนี้ เราก็ต้องยกกระเป๋าลงและลากไปที่ชานชลาสถานี นับเป็นการยกกระเป๋าครั้งที่ 9 ในทริปนี้
2
ตลอดระยะเวลาของการนั่งรถไฟ ก็ตั้งใจว่าคงจะมีโอกาสได้ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ทั้งสองข้างทาง เพราะเราเดินทางตั้งแต่เช้าจรดเย็น คือออกจากนครเวียงจันทน์ 8.08 น. ถึงเมืองเชียงรุ้ง 16.30 น.
แต่แล้วก็ต้องผิดหวังอย่างมาก ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์เกือบไม่ได้เลย เพราะนอกจากจะต้องระมัดระวังเรื่องเงาสะท้อนของกระจกแล้ว
ภาพวิวข้างทางที่พอถ่ายได้บ้าง
ยังเข้าอุโมงค์แบบถี่ยิบ และในอุโมงค์นี้มืดสนิทจริงๆ
อุโมงค์ถี่ยิบขนาดไหน ลองมาดูตัวเลขกัน
ตลอดเส้นทางในฝั่งลาว จากเวียงจันทน์มาถึงสถานีบ่อเต็น ระยะทาง 422 กิโลเมตร มีอุโมงค์มากถึง 75 แห่ง กินระยะทาง 198 กิโลเมตร
1
และมีส่วนที่เป็นสะพาน 167 แห่ง คิดเป็น 67 กิโลเมตร รวมเส้นทางที่เป็นอุโมงค์และสะพานนั้น มากถึง 64%
1
อีกหนึ่งวิวข้างทาง
โดยอุโมงค์ที่ยาวสุด มีความยาวถึง 7.5 กิโลเมตร
1
ส่วนรถไฟที่อยู่ในประเทศจีน จะมีความยาว 613 กิโลเมตร มีอุโมงค์ รวมทั้งสิ้น 93 แห่ง กินความยาวถึง 398 กิโลเมตร สะพานอีก 136 แห่งกินระยะทาง 50 กิโลเมตร คิดเป็นระยะของอุโมงค์และสะพานรวมกันถึง 87.3%
โดยมีอุโมงค์ที่ยาวที่สุดยาวถึง 17.5 กิโลเมตร ส่วนสะพานนั้น ก็มีสะพานที่สูงที่สุดในโลกคือ ตอม่อสูงถึง 154 เมตร เทียบเท่ากับตึกความสูง 54 ชั้น
1
ส่วนอุโมงค์ที่รอดเขตแดนนั้น ยาว 9.68 กิโลเมตร อยู่ในฝั่งลาว 2.51 กิโลเมตร อยู่ในฝั่งจีน 7.17 กิโลเมตร
สรุปคือ ในฝั่งลาว รถไฟวิ่งอยู่ในอุโมงค์มองไม่เห็นอะไรเลย 64%
1
ส่วนฝั่งจีน ก็วิ่งอยู่ในอุโมงค์และสะพานถึง 87.3%
1
มีเวลาให้ถ่ายวิวทิวทัศน์น้อยมาก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ได้พยายามถ่ายวิวทิวทัศน์สองข้างทางมาได้เท่าที่ทำได้
โดยวิธีการก็คือ เตรียมกล้องทุกอย่างให้พร้อมถ่าย เวลาอยู่ในอุโมงค์
พอโผล่พ้นอุโมงค์ ก็ต้องรีบกดชัตเตอร์รัวโดยเร็ว เพราะเผลอเพียงแป๊บเดียว ก็จะเข้าอุโมงค์ใหม่อีกแล้ว
1
อีกมุมของสาวเชียงรุ้ง
กล่าวโดยสรุปในการเดินทางครั้งนี้
รถไฟความเร็วสูงของจีน-ลาว สายเวียงจันทน์-คุนหมิง มีระยะทาง 1035 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่งทั้งสิ้น 7 ชั่วโมง 30 นาที ความเร็วเฉลี่ยทำได้ 138 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
1
อยู่ในอุโมงค์และสะพาน 64-87%
1
สภาพโบกี้รถไฟทั้งภายนอกและภายใน ต้องถือว่าดีมาก ใหม่เอี่ยม กว้างขวางดูดีทีเดียว
แต่การผ่านขั้นตอนทั้งสองฝั่งคือ ลาวและจีน ต้องถือว่ายังไม่พร้อม ยุ่งยากและเสียเวลามาก
เฉพาะตรงด่านชายแดนสองสถานีคือบ่อเต็นและบ่อหาน ต้องใช้เวลาไปมากถึง 3 ชั่วโมง
ทำให้การเดินทางของรถไฟที่ 7 ชั่วโมงครึ่ง กลายเป็น 10 ชั่วโมงครึ่ง
แล้วยังต้องยกกระเป๋าและลากกระเป๋า รวมทั้งสิ้น 9 ครั้งด้วยกัน
จึงไม่เหมาะกับผู้หญิงและผู้สูงอายุ
1
ส่วนความตั้งใจที่จะชมวิวทิวทัศน์เพื่อถ่ายรูป ก็คงทำได้ยาก เพราะเป็นอุโมงค์และสะพานมากถึง 64-87%
1
ส่วนขากลับนั้นก็ไม่มีความยากลำบากแบบรถไฟ เพราะได้จองตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดของการบินไทย บินจากคุนหมิงกลับกรุงเทพ ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 50 นาที ได้รับบริการที่ดีมาก
2
และที่ต้องเรียกว่า Surprise สุดสุด ก็คือเมื่อไปอยู่ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน ที่จองไว้แบบชั้นประหยัด ผู้เขียนได้รับการอัพเกรดเป็นชั้นธุรกิจ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
3
เข้าใจว่าคงเป็นเพราะมีที่นั่งชั้นธุรกิจเหลือว่างอยู่ และผู้เขียนมีบัตรทองของการบินไทย
3
การบินไทยจึงบริหารจัดการ ให้ที่นั่งชั้นธุรกิจกับผู้ที่ถือบัตรทองแต่ซื้อตั๋วชั้นประหยัด
1
ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ก็คงจะได้ใจผู้โดยสารไปมากพอสมควร
หวังว่าพ้นจากโควิดแล้ว การบินไทยจะกลับมามีสถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นต่อไป
2
ทริปนี้ ขาไปจึงถือว่าระหกระเหิน ปวดเมื่อยแขนและไหล่ในการยกกระเป๋าขึ้นลงมากถึง 9 ครั้งด้วยกัน
1
สถานที่เที่ยวเด็ดที่อยากแชร์
therealcheckin
ท่องเที่ยว
4 บันทึก
45
9
17
4
45
9
17
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย