19 พ.ค. 2023 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Black Knight เมื่อคนรวยเท่านั้นที่มีสิทธิครอบครองอากาศบริสุทธิ์

ในปี 2071 เมื่อโลกประสบปัญหามลพิษทางอากาศจนผู้คนจำเป็นต้องพึ่งพาหน้ากากกรองอากาศเพื่อช่วยหายใจ มีเพียงมนุษย์แค่ 1% เท่านั้นที่สามารถรอดมาได้ ทำให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นทางสังคมอย่างเข้มงวด มีการแจกจ่ายออกซิเจนกันในปริมาณมากน้อยตามชนชั้นทางสังคม…
โชคดีที่เรื่องราวทั้งหมดข้างบน เป็นเพียงเรื่องสมมติในซีรีส์ Black Knight เท่านั้น แต่จากสถานการณ์ฝุ่นมลพิษในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ก็ไม่แน่ว่าอนาคตตามที่ซีรีส์เรื่องนี้เคยจินตนาการไว้ ก็อาจเกิดขึ้นมาจริงๆ ในสักวันหนึ่งก็ได้ ในโลกที่อากาศบริสุทธิ์นั้นมีราคาที่ต้องจ่าย และคนจนต้องตายเพราะไม่มีเงินซื้ออากาศหายใจ
📌 มลพิษทางอากาศ…คนสร้างไม่ได้รับ คนรับไม่ได้สร้าง
มลพิษทางอากาศ ถือเป็นภัยเงียบอย่างหนึ่ง ทางองค์การอนามัยโลกประมาณว่าทุกวันนี้ 9 ใน 10 คน หายใจเอาอากาศที่มีมลพิษเข้าไป ทำให้มีคนตายกว่า 7 ล้านคนต่อปี
แม้ว่าหลายๆ ประเทศพยายามออกมาตรการเพื่อลดการปล่อยมลพิษ แต่ต้องยอมรับว่ามีความจริงอันน่าหดหู่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างหนึ่งคือ คนกลุ่มที่ปล่อยมลพิษมากที่สุด กลับเป็นคนที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้ปล่อยมลพิษมากเท่าคนกลุ่มแรก กลับต้องมารับผลที่เกิดขึ้น เพียงเพราะไม่มีเงินมากพอจะป้องกัน
มลพิษทางอากาศ จึงยิ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้วให้หนักกว่าเดิม จากงานวิจัยขององค์การอนามัยโลก ชี้ให้เห็นว่า 90% ของคนที่ตายจากมลพิษทางอากาศ เป็นชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง
ในขณะที่คนที่สามารถเข้าถึงอากาศบริสุทธิ์ได้นั้นกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงที่อยู่ด้านบนของพีระมิดเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ คือ อากาศบริสุทธิ์มีราคาที่ต้องจ่าย หากใครไม่มีเงินจ่าย ก็ต้องจ่ายเวลาในชีวิตที่สั้นลงเรื่อยๆ
ในระดับโลก กลุ่มประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงทั้ง 36 ประเทศ มีประเทศที่เปราะบางน้อยที่สุดต่อผลกระทบจาก Climate change ถึง 20 ประเทศ ในขณะที่ 11 จาก 17 ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด กลับเป็นกลุ่มที่เปราะบางมากที่สุดต่อผลกระทบจาก Climate change
ถ้าเราเรามาดูข้อมูลในสหรัฐฯ จะเห็นได้ชัดถึงเส้นแบ่งระหว่างเชื้อชาติกับมลพิษทางอากาศ งานวิจัยชี้ว่าคนอเมริกันผิวขาวเป็นกลุ่มที่ปล่อยมลพิษมากที่สุด แต่กลับได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศน้อยกว่า 17% เมื่อเทียบกับการบริโภคของพวกเขา
ในทางกลับกัน คนผิวดำและกลุ่ม Hispanic ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากกว่า 56% และ 63% เมื่อเปรียบเทียบกับการบริโภคของพวกเขา ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เป็นเช่นนี้ ก็มาจากการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ และแหล่งกำเนิดมลพิษที่มักจะตั้งอยู่ใกล้ชุมชนชายขอบในอดีตมากกว่า พวกเขาก็เลยต้องรับผลกระทบจากมลพิษไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ หลายๆ ประเทศ ก็ไม่สามารถเข้าถึงอากาศบริสุทธิ์ได้ เช่น ในประเทศแถบแอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา ที่กลุ่มคนรายได้น้อยยังต้องใช้เชื้อเพลิงแข็ง (Solid fuel) เช่น ฟืน ถ่านหิน ในการให้ความอบอุ่น แสงสว่าง และใช้ทำอาหาร ทำให้มีอัตราของมลพิษสูง
2 ใน 3 ของเด็กในภูมิภาคเหล่านั้นเติบโตมาโดยพึ่งพาเชื้อเพลิงแข็ง ซึ่งผลกระทบจากการใช้พลังงานเหล่านี้ คือการที่คนต้องมาตายก่อนวัยอันควรจากโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง โรคปอด และมะเร็ง
📌 ยังเหลือเวลาอีกแค่ไหน ก่อนที่เราต้องซื้ออากาศหายใจ
ที่ผ่านมา ทุกคนก็พยายามพูดอยู่เสมอว่า เราจำเป็นจะต้องจัดการปัญหาทางสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม
ทั้งภาคบุคคลและภาคสถาบัน ต่างก็พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการโปรโมทให้คนเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เช่น การหันมาใช้ขนส่งสาธารณะ การลดใช้ถุงพลาสติกใช้แล้วทิ้ง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้คน จำเป็นจะต้องควบคู่ไปกับความร่วมมือในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และลดภาระอันไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นจากมลภาวะทางอากาศสำหรับคนที่อยู่ระดับล่างของสังคมด้วย
ภาคประชาชนควรจะร่วมมือกันผลักดันให้เกิดแนวคิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้รัฐบาลมีความรับผิดชอบต่อคุณภาพอากาศตามบ้านเรือนที่ประชาชนใช้หายใจอยู่ทุกวัน
ใขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นต้องออกกฎระเบียบกับบริษัทพลังงาน เพื่อจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อปี พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือบ้านที่ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าและพลังงาน
ในภาพใหญ่ระดับนานาชาติ ประเทศที่ร่ำรวยและมีการปล่อยคาร์บอนในปริมาณมากๆ ก็จะเป็นจำต้องช่วยเหลือประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดด้วยเช่นกัน ..การได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกาย เป็นสิทธิของมนุษย์ทุกคน และไม่ควรมีใครต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งอากาศบริสุทธิ์
หากยังไม่มีความคืบหน้า และผลักดันให้เกิดความเสมอภาคกัน ในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ก็คงจะมีเพียงคนร่ำรวยเท่านั้นที่จะถือสิทธิ์ทางเศรษฐกิจในการหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ และภายในปี 2050 อากาศบริสุทธิ์ก็คงจะกลายเป็นสกุลเงินใหม่ของโลกอย่างแท้จริง…
ผู้เขียน: ชนาภา มานะเพ็ญศิริ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference:
โฆษณา