21 พ.ค. 2023 เวลา 16:29 • บันเทิง

Ultraman : Final Season เส้นแบ่งระหว่าง "ฮีโร่" กับ "ภัยพิบัติ"

คำเตือนจากหน่วยวิทยะ!!ขณะนี้ได้มีเอเลี่ยนนิรนามจำนวนมากออกอาละวาดสำแดงฤทธิ์กันไปทั่วบทความนี้จึงมีไว้สำหรับคนที่ได้ดู“Ultraman : Final Season”มาครบ จบทุกตอนแล้วเท่านั้นเพื่อให้ได้ดื่มด่ำกันแบบเต็มอรรถรสสดทุกอารมณ์เสมือนได้ดูอีก
ยังจำโมเม้นต์ ณ ตอนนั้นได้อยู่ตอนที่รู้ว่าเรื่องราวของอุลตร้าแมนฮีโร่ยักษ์แห่งแสงเจ้าเก่ากำลังจะถูกนำมาตีความเล่าใหม่ในแบบฉบับอนิเมะของ Netflix ซึ่งต่อยอดมาจากมังงะเดิมที่เคยตีพิมพ์ไปก่อนหน้านี้แล้วก็รู้สึกเนื้อเต้น ใจดีดสั่นระรัวอย่างบอกไม่ถูกเสมือนกลับไปเป็นเด็กเฉกเช่นวันเก่าๆแม้จะรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นคนละไทม์ไลน์จากฉบับ Live Action ในวันแรกฉายเมื่อ17 ก.ค. 2509 (1966) ถึงตอนสุดท้ายวันที่ 9 เม.ย. 2510 (1967)
ผ่านไปเป็นเวลาหลายสิบปีนับจากที่อุลตร้าแมนพ่ายแพ้ให้กับมังกรอวกาศ“เซ็ตต้อน (Zetton)”ศัตรูที่แข็งแกร่งและร้ายกาจที่สุดท่ามกลางความเสียหายที่ลุกโชนส่งผลต่อชาวเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังเสร็จสิ้นภารกิจอุลตร้าแมนก็ได้บินไปพร้อม “Zoffy”มุ่งหน้าสู่ Nebula M78 บ้านเกิดอันไกลโพ้นขณะที่ “Shin Hayata (ชิน ฮายาตะ)”ชายหนุ่มจิตใจงามผู้เป็นร่างสถิตของอุลตร้าฯจะกลับมาแบบไร้ความทรงจำเมื่อครั้งเขาและยักษ์แห่งแสงเคยร่วมสู้มาด้วยกันโดยลาออกมารับตำแหน่งในรัฐบาลใช้ชีวิตปกติ
จนถึงวันที่พบว่า “Shinjiro Hayata (ชินจิโร่ ฮายาตะ)”ลูกชายคนเดียวของเขาได้โตขึ้นมามีพลังพิเศษเหนือมนุษย์จาก “ยีนส์อุลตร้า”ที่ส่งต่อมายังรุ่นสู่รุ่น เสมือนเป็นคำสาปกลายเป็นต้องใช้ชีวิตสองด้านทั้งการเป็นคนปกติและฮีโร่ผู้ต้องคอยปกปักษ์พิทักษ์โลกจากภัยร้ายซ่อนเร้นของบรรดาเอเลี่ยนและสัตว์ประหลาดที่แฝงซ่อนตัวอยู่เนียนๆในสังคมมนุษย์ รอคอยโอกาสแสดงออกคล้ายเป็นสัญญาณบอกว่าภัยแห่งมนุษยชาติยังไม่จบไปจากเหตุการณ์ในอดีต
ในรูปแบบที่เปลี่ยนจากยักษ์แห่งแสงผู้สูงตระหง่านเทียมฟ้ามาเป็นนักรบที่ตัวเท่ามนุษย์มีพลังในยีนส์พร้อมเสริมสมรรถนะด้วยชุดเกราะไฮเทค จนหลายคนบอกว่าเหมือนกำลังดูอุลตร้าแมนในเวอร์ชั่นไอรอนแมนอยู่ดูไม่ใช่ฮีโร่ที่พวกเราคุ้นเคยมาก่อน
ทว่านั่นก็มิอาจลดทอนมนต์เสน่ห์แห่งความคลาสสิคในยุคเก่าๆเปรียบได้กับอาหารจานใหม่ที่คลุกเคล้าไปด้วยวัตถุดิบดั้งเดิมอยู่ไม่เคยเปลี่ยนยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหล่านั้นอยู่
ดูไปมันก็แปลกใหม่ไม่หยอกเมื่อได้เหล่าอุลตร้าแมนและเหล่าเอเลี่ยน-สัตว์ประหลาดยุคโชวะชุดเดิมได้รับการปรับดีไซน์ใหม่บางคนมีชื่อเดิมแบบตรงไปตรงมาหรือบางคนมากับชื่อใหม่แต่ยังคงไว้ซึ่งคำที่สื่อถึงชื่อเก่าเท่และชวนคิดถึงไปอีกแบบ
พร้อมเรื่องราวที่ขยายภาพในมุมกว้างขึ้น บดขยี้ลึกยิ่งขึ้นถึงสันดานมนุษย์และเอเลี่ยนที่ต่างมีตัวตน แนวคิด และเป้าหมายต่างกันไปตามบริบทของตัวเอง
บทความเทียบอุลตร้าแมนสองรุ่นที่ผมเคยเขียนเมื่อปี' 62
ยังจำความรู้สึกแรกเมื่อครั้งยังเขียนบทความเทียบความต่างระหว่างอุลตร้าแมนทั้งสองรุ่นเมื่อปี 62 ได้ดีมาตอนนี้ได้เดินทางมาถึงซีซั่นสุดท้ายก็แอบเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอารมณ์ทั้งอิ่มเอมและใจหายไม่อยากให้จบเลย
กับเนื้อหาที่ยังคงดีกรีเข้มข้นเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือการพาเราเข้าไปสำรวจตัวตนและการเติบโตของตัวละครพร้อมสะท้อนนิยามแท้จริงของ “Ultraman”ว่าจริงๆ แล้วเขาดำรงอยู่ ต่อสู้เพื่ออะไรไม่ใช่แค่ฮีโร่ผู้มาปราบอธรรมแล้วบินขึ้นฟ้าจบตอนแบบในอดีตแต่มีการเติบโต เรียนรู้ และเข้าใจบางอย่างทำเอาผมถึงกับต้องกดไป 12 ตอนรวดเพื่อไม่ให้พลาดโดนสปอยล์แม้แต่ฉากเดียว
จุดนี้เลยอยากชวนให้ทุกคนชูกำปั้นขึ้นฟ้า แล้วโอบรับชุดอุลตร้าระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มที่ใช้ความรู้สึกทั้งหมดที่มีมาดื่มด่ำเรื่องราวระหว่างทางของอีกหนึ่งจักรวาลอุลตร้าแมนอย่างเต็มหัวใจ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฮีโร่ผู้นี้ เปลี่ยนจากนักรบแสนดีสู่ผู้ร้ายในสายตาคนทั้งโลก…?
1. “อดีต-ปัจจุบัน” ล้วนเป็นพลังให้เราก้าวต่อไป
"Kotaro" กับชะตาชีวิตที่พลิกผันในอเมริกา
- ในอุลตร้าแมนจักรวาลนี้ เรียกได้ว่ามีตัวละครมากมายที่มีปมอดีตฝังใจ ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับมา ทั้ง “Kotaro” ที่ไม่อาจช่วยเดฟเพื่อนรักให้รอดพ้นเงื้อมมือ Alien Druz
ทั้ง “Hokuto Seiji” เด็กหนุ่มผู้เติบโตมากับความแค้นและความเจ็บปวดเมื่อต้องเสียพ่อและแม่ไปจากเหตุเครื่องบินตกด้วยฝีมือเจ้า Ace Killer ซ้ำร้ายยังต้องทนเห็น “Yuko Minami” เพื่อนรักผู้เป็นความหวังเดียวในชีวิตที่แม้จะรอดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเช่นกัน แต่ก็ต้องอยู่บนโลกอย่างทุกข์ทน สิ้นหวัง เมื่อมนุษย์มักหวาดกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้
"Sayama Rena" ไอดอลสาวผู้เชื่อมั่นในอุลตร้าแมน
จนเหล่าเอเลี่ยนพากันอยู่ยาก ถูกนำไปวิจัย ทำการทดลองต่างๆ ไม่มีสิทธิ์ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ รวมถึง “Sayama Rena” ที่ต้องกำพร้าแม่ จากเหตุปะทะระหว่างอุลตร้าแมนและเซ็ตต้อน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พูดคุยกัน โตมาเป็นไอดอลสาวสวยท่ามกลางสปอร์ตไลต์สาดส่องและเสียงเชียร์จากแฟนคลับรอบกาย ลึกๆ แล้วข้างในเธอก็ยังปวดร้าวอยู่ดี
จริงอยู่ที่อดีตเหล่านี้ได้ทิ้งร่องรอยแผลลึกในใจทุกคน ชนิดที่นึกถึงทีไรก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดขึ้นมา ทว่ามันก็ยังคงเป็นพลังสำคัญให้พวกเขาก้าวต่อไปให้ดีกว่าเดิม ทาโร่ได้กลายมาเป็นนักรบคนที่ 6 และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยวิทยะที่อเมริกา ก่อนจะมารวมทีมที่ญี่ปุ่น พร้อมค่อยๆ ค้นหาและเรียนรู้ความหมายของการเป็น “อุลตร้าแมน” ที่แท้จริงไปกับภารกิจ พยายามขบคิดและให้โอกาสชินจิโร่ เชื่อใจพวกพ้องจนถึงที่สุด แม้จะต้องปรับเปลี่ยนวิธีมาใช้ไม้แข็งดูบ้าง แต่ก็นับว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้
เพลิงแค้นของ "Hokuto" ที่อยากจะสู้เพื่อยูโกะ
โฮคุโตะที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อจะล้างแค้น โดยมีแรงบันดาลใจในการสร้างโลกที่ยูโกะและเหล่าเอเลี่ยนสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขจริงๆ คอยโอบกอดดูแลหัวใจอันบริสุทธิ์ของเธอต่อไป และได้รู้ว่าปัจจุบันเขาเองก็ยังมีครอบครัว มีที่ที่เรียกว่า “บ้าน” รอเปิดประตูต้อนรับ รอฟังคำขานบอกว่ากลับมาแล้วครับ ผ่านสายตาที่อบอุ่นของ “Yapool” พ่อบุญธรรมที่ดูแลเขาเสมอมาจนถึงวันนี้
เรนะที่พอได้รู้ความจริงเรื่องแม่จากปากพ่อ ว่าจริงๆ แล้ว แม่เธอเป็นเอเลี่ยน และเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายจากศึกสุดท้ายของยักษ์แห่งแสงจริงๆ แต่มากกว่านั้นคือถึงแม่จะบาดเจ็บหนักเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจรักที่มีต่อเธอได้เลย ยังคงมุ่งมั่นที่จะให้กำเนิดเทพธิดาตัวน้อยต่อไปจนฝืนร่างกาย และจากไปเมื่อเธอเกิดมา
เรนะกับชุดเกราะแมรี่หรือเจ้าแม่อุลตร้า
ยิ่งทำให้รู้ว่าแม่เสียสละมากเพียงใด จึงหมดความคาใจ ก้าวออกไปพร้อมปัจจุบันในฐานะนักรบแห่งแสงคนที่ 4 ยอมรับตัวตนในแบบที่ตัวเองเป็นอย่างแท้จริงและร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เคียงหัวใจพวกชินจิโร่ไปจนสุดทาง
2. ฮีโร่คือคนเคยพลาดแล้วเรียนรู้
ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาดหรอก แต่สำคัญตรงที่ว่าพลาดแล้วเราได้เรียนรู้อะไร ทำยังไงให้มันดีกว่าเดิมมากกว่า อย่างพ่อของเรนะที่กุมความลับของแม่มาทั้งชีวิต เพราะกลัวลูกจะมีปม รับไม่ได้กับเรื่องราวจริงๆ เลยโทษว่าเป็นความผิดของ
อุลตร้าแมนทั้งหมด พอถึงเวลาได้เปิดใจกันจริงๆ ถึงได้รู้ว่าเขาคิดผิดที่ปลูกฝังลูกด้วยความจริงด้านเดียว เลยยอมรับตรงๆ ว่าพ่อก็ผิดเอง และยอมรับในสิ่งที่ลูกถูกลิขิตมาให้เป็น (นักรบอุลตร้า) แบบไม่ปิดกั้นใดๆ อีกต่อไป
ส่วนชิน ฮายาตะเอง หลังจบศึกสุดท้ายกับเซ็ตต้อนจนเป็นเหตุให้มีผู้เคราะห์ร้ายมากมาย เขาเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รุดเข้าไปเยี่ยมทุกคนที่ รพ. อยู่บ่อยๆ ในมุมมองของหน่วยวิทยะผู้พิทักษ์โลก แต่ไม่อาจดูแลผู้คนได้อย่างที่ควรจะเป็น เลยมาขอโทษขอโพยจากใจจริง จนกว่าพวกเขาจะหายดีกันหมด รวมถึงแม่ของเรนะเองที่ฮายาตะลงทุนโค้งคำนับด้วยความรู้สึกผิดสุดๆ แต่นอกจากเธอจะไม่โทษเขาเลยแม้แต่น้อย ยังรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ผ่านความรู้สึกที่สัมผัสได้จากฮีโร่คนนี้ พร้อมประโยคที่เธอบอกไว้อย่างตราตรึงใจในความทรงจำตลอดมา
เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะคุณฮายาตะ คุณช่วยเป็นตัวเองแบบนี้ตลอดไปทีนะคะ
แม่เรนะ
ทำให้เห็นว่าฮีโร่ไม่ใช่พระเจ้าหรอก เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนเหมือนเราๆ นี่แหละ เมื่อเขากล้าที่จะก้าวออกมาทำบางอย่างเพื่อความสุขของผู้อื่น แน่นอนว่ามันไม่มีทางสุขสมหวังได้ดั่งใจทุกคนไปซะหมด หนำซ้ำพลาดมาย่อมเจ็บตัวหนักกว่าด้วยความเป็นคนสาธารณะ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับเขาคือไม่ใช่ว่าเคย “พลาดอะไร” แต่เมื่อพลาดแล้วจะ “ทำยังไง” ต่อให้ดีกว่าเดิมมากกว่า นั่นต่างหากคือบุคคลที่น่ายึดเป็นแบบอย่างของการเรียนรู้ชีวิตและพยายามพัฒนาต่อให้ดีที่สุด ณ ขณะนั้น
3. “สื่อ” คือเครื่องมือและอาวุธฆ่าคน
เมื่อพวกเขาคือกระบอกเสียงของประชาชนในการนำเสนอเรื่องราว ข่าวสารแบะแนวคิดต่างๆ ออกไปในวงกว้าง แน่นอนถ้าเป็นสื่อน้ำดีย่อมสามารถมอบคุณค่าบางอย่างออกไปเป็นประโยชน์และแรงบันดาลใจกับผู้คนได้ แต่ถ้าสื่อชั่วร้าย ย่อมเต็มไปด้วยความหิวกระหายในยอดตัวเลข ตีไข่ ใส่สี หรือให้พื้นที่แหล่งข่าวบางคนมาสร้างประเด็นร้อนชวนขบ
คือทำยังไงก็ได้ให้คนแห่มาดู โน้มน้าว ชักจูงใจให้รู้สึกไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ ยิ่งในปัจจุบันที่โลกไปเร็วกว่าหัวใจ อยากรู้อะไรก็รู้ได้แค่ปลายนิ้วสัมผัสจอ หรือต่อให้ไม่กดเข้าไปดู ก็พร้อมจะมีใครต่อใครคาบข่าวมาบอกเราอยู่ดี
ซึ่งอุลตร้าแมนภาคสุดท้ายได้สอดแทรกประเด็นนี้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ เมื่อชินจิโร่เกิดคุ้มคลั่ง ควบคุมพลังไม่ได้ ทำอะไรไปไม่รู้เรื่อง เห็นนิมิตประหลาดจากเซ็ตต้อนยักษ์จนหลอนไปหมด เกิดเป็นช่องโหว่รูเบ้อเร่อให้เกิดการตั้งคำถามว่าอุลตร้าแมนยุคใหม่นี้คือฮีโร่หรือภัยพิบัติที่พร้อมลุยแบบไม่แคร์ผลกระทบรอบข้างเลยสักนิด
แบบนี้ยิ่งเปิดทางให้สื่อได้ขยี้สับๆ สร้าง Impact ให้สังคมแบบกระเพื่อมเป็นวงกว้างอย่างรุนแรง โดยได้ทำการเชิญ “ศ.โอทานิ มาซัตสึงุ” จาก ม.เทโตะ ผู้ได้ทำการศึกษาปัญหาต่างๆ ของอุลตร้าแมนและเอเลี่ยนต่างๆ มาเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือเกลียดยักษ์แห่งแสงเข้ากระดูกดำ
แน่นอนเมื่อสื่อตั้งต้นเรื่องนี้ด้วย “Hater” ผู้ไม่สนับสนุนการดำรงอยู่ของอุลตร้าแมน + ภาพความรุนแรงที่ชินจิโร่ได้สร้างความเสียหายให้กับผู้คนและเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เว้นแม้แต่วันพิธีฟื้นฟูเมืองก็ไม่เว้นให้ ก็ไม่แปลกที่กระแสลบจะยิ่งลุกโชนหนัก
เพราะทุกคนเห็นแล้วว่าการมีอยู่ของยักษ์แห่งแสงเวอร์ชั่นชุดเกราะดูจะทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่า มีผู้คนบาดเจ็บ เสียทรัพย์สินกันไปแบบไม่ได้ทำอะไรผิด กลายเป็นจุดพลิกตาลปัตรให้ชีวิตของชายหนุ่มเลือดร้อนดิ่งลงเหวสุดๆ ยิ่งพยายามจะแก้กลับยิ่งแย่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนคุณอิเดะจากหน่วยวิทยะถึงกับสั่งห้ามทำภารกิจ และบอกให้พวกโมโรโบชิและทาโร่ตามมาจับควบคุมความประพฤติไว้ก่อน
กรณีนี้ทำเอานึกถึงฮีโร่อีกค่ายอย่าง “Spider-man” ที่ไม่ว่าเขาจะเคยทำดีมามากมายแค่ไหน หรือพยายามอีกเท่าไหร่ หากพลาดหรือพอมีประเด็นให้ยุแยงขึ้นมาเป็นต้องโดนไม่หยุด จากฝีปากของ “Jonah Jameson” หัวหน้าบรรณาธิการของ นสพ. Daily Bugle ที่เกลียดขี้หน้าไอ้แมงมุมราวกับเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน พร้อมจะพาดหัวด่าเจ็บๆ ซ้ำไม่ให้ได้ผุดได้เกิด
อย่างเมื่อครั้งปีเตอร์ทำพลาดใน No Way Home เมื่อหัวใจอันบริสุทธ์ของเขาที่อยากช่วยผู้อื่นกระทั่งตัวร้ายที่หลงข้าม Multiverse มาในนี้ จนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ สูญเสียป้าเมย์ไปอย่างไม่มีวันกลับ พอเป็นแบบนั้นเจ โจนาห์ เจมสันเลยสับไม่ยั้งว่าที่ไหนที่สไปดี้ไป ก็มีแต่ความบรรลัย ตายกันไปหมด นำเสนอข่าวด้านเดียวให้ผู้คนยิ่งเกลียดชังและหมดหวังในตัวฮีโร่นักไต่ ชนิดที่เขาไม่อาจได้พูดความจริงฝั่งตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าแม้แต่ฮีโร่เองก็สามารถกลายเป็น “เหยื่อ” และ “เครื่องมือ” ของสื่อชั่วในการทำมาหากินได้ ขอเพียงสบโอกาสสร้างเรื่องเรียกยอด ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ว่าฮีโร่หรือใครก็ตาม ไม่มีใครควรต้องมาเจอการใส่ไฟอะไรแบบนี้เลย พลาดแล้วให้พื้นที่ออกมาคุยสองฝ่าย เสนอความจริงให้หมด แล้วปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ น่าเสียดายที่ทำได้แค่คิด,,,
4. “อุลตร้าแมน” ความยุติธรรมที่ถูกยัดเยียด?
การควบคุมตัวเองไม่ได้ของชินจิโร่ยิ่งกระตุ้นให้สังคมตั้งคำถาม
จากประเด็นข้างต้นที่ผมเพิ่งได้เล่าไป นี่คือประเด็นที่ ศ.โอทานิ พยายามกระพือสร้าง Impact ให้สังคมมาตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเอาจริงๆ ถึงเขาจะไม่ได้ถูก แต่ก็ไม่ได้ผิดไปซะหมด เพราะหากมองตามชีวิตจริงที่เราอยู่กันด้วยกรอบแห่งกฎหมายและศีลธรรม(อันเปราะบาง)คอยโอบอุ้มไว้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการที่บัญญัติอยู่เสมอ ไม่มีใครอยู่เหนือไปกว่านั้น
ทุกคนต้องเคารพมันอย่างเท่าเทียม ขณะที่ยังมีประชาชนตาดำๆ อีกมากมายที่เขาเดือดร้อน โดนกดขี่ข่มเหงแบบสู้ไม่ได้ พยายามเล่นตามเกมส์แล้วก็ยังไม่ช่วย โดนอำนาจมืดใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายพลิกลิ้นตะแคงขวาซ้ายเอาเปรียบได้ตลอด คนดีโดนกด คนเลวลอยนวลตลอด จนกลายเป็นคำถามว่าแล้วจะมีสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นเสือกระดาษทำไมหนอ?
มันเลยมีหนังมีซีรีส์มากมายที่เขาสร้าง “ฮีโร่” มาเป็นศาลเตี้ยคอยตัดสินพิพากษาอย่างที่ควรจะเป็น มองมุมหนึ่ง แน่ล่ะว่าการกระทำของพวกเขาย่อมได้ใจผู้คนอย่างเรา ทว่ามันก็เป็นช่องโหว่งามๆ ให้ทางนั้นเล่นกลับ
เพราะมันไม่มีมาตรฐานกลางที่กำหนดกรอบการทำงานของฮีโร่ว่าต้องเป็นประมาณไหน แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเหตุการณ์นั่นนี่ควรตัดสินไปตามมุมของคุณตามนั้น ทั้งที่มันมาจากความคิดคนๆ เดียวหรือคนเฉพาะกลุ่มจริงๆ
ตัวอย่างบาดแผลฮีโร่ที่วันด้าเคยทำพลาดเมื่อครั้งร่วมทีมใหม่ๆ
ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับที่เคยเกิดกับ “The Avengers” มาแล้วใน Captain America: Civil War ในภารกิจจับกุมรัมโลว์ หัวโจกไฮดร้าที่ลากอส ประเทศไนจีเรีย แล้ว Wanda พยายามช่วยชีวิตกัปตันจากระเบิดพลีชีพของมัน แต่คุมพลังไม่อยู่ สร้างความเสียหายรอบด้าน ผู้คนเดือดร้อน เจ็บล้มตายกันไปหมด เลยเป็นเหตุให้นายพลรอสส์ต้องร่าง “สนธิสัญญาโซโคเวีย” ขึ้นมาควบคุมความประพฤติและตีกรอบการทำงานพวกเขา
เช่นกันกับกรณีของชินจิโร่ หน่วยวิทยะเองก็ผิดเต็มๆ ที่ไม่สามารถควบคุมดูแลคนของตัวเองได้อย่างใกล้ชิดมากพอ ไม่ได้คุยปรับความเข้าใจ รับรู้ปัญหากันอย่างที่ควร โมโรโบชิที่ยังมองเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ทาโร่ที่เพิ่งเข้ามาประจำการที่ญี่ปุ่นก็ยังใหม่ ยังไม่แน่ใจกับสถานการณ์ตรงหน้า แม้แต่ฮายาตะเองก็ตามที่ไม่ได้เปิดใจคุยกับลูกมากพอ จะเห็นได้ว่าพวกเขาแทบไม่มีคำว่าทีมเวิร์คอยู่เลย
“Mephisto” หรือ "Mefilas" อีกหนึ่งคู่ปรับตัวฉกาจของอุลตร้าแมน
ยิ่งเป็นการเปิดช่องให้ตัวร้ายอย่าง “Mephisto” เล่นงาน ใช้พวกเขาเป็นเบี้ยในกระดานหมากอย่างแยบยลและร้ายกาจที่สุด เพื่อให้ผู้คนมองอุลตร้าแมนเป็นภัยพิบัติ สะสมนานความผิดหวัง หวาดกลัวกันนานเข้าก็แปรสภาพจากฮีโร่เป็นซีโร่ที่ตายไปจากใจผู้คน แล้วอาศัย “Alien Zarab” ที่แปลงร่างปลอมตัวเป็นคนอื่นได้ ไปฉีกแผลเรื่องทีมเวิร์คที่เปราะบางอยู่แล้วให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนที่ Baron Zemo เคยทำทีม Avengers แตกสลายกันเองในทีม
ข้อสรุปตรงนี้ยากเหลือเกินที่จะสรุป เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แตกต่างกันไปตามบริบทของสังคมแต่ละแห่ง ถ้าที่ตรงนั้นมันสุดโต่งจนต้องมีฮีโร่มาช่วยเป็นศาลเตี้ยแล้วยอมรับในผลที่ตามมากันได้ก็จบ แต่ถ้าไม่ก็ต้องร่วมกันหาทางออกว่าแบบไหนจะดีที่สุด เสี่ยงและมีโอกาสเสียหายน้อยที่สุด นั่นคงเป็นคำตอบ
5. การก้าวข้ามไปอีกขั้น คือการยอมรับด้าน “สว่างและมืด”
อีกหนึ่งประเด็นที่ซีรีส์ได้พยายามสื่อมาตลอดคือการที่ชินจิโร่ต้องพยายามต่อสู้กับความขัดแย้งภายในใจ และตัวตนด้านมืดที่ซ่อนเร้นมากับพลังมหาศาล แต่ยากที่จะควบคุมได้จนอาจกลืนกินความเป็นตัวเองไป มากกว่านั้นคืออาจเผลอทำร้ายคนที่ตัวเองรักอย่างไร้สติครอบครอง
เมื่อเห็นจุดอ่อนชัดเจนแบบนั้นเมฟิสโต้จึงพยายามเปิดแผลเจ้าเด็กหนุ่มออกมาอย่างเต็มที่ ทำยังไงก็ได้ให้เขาปรี๊ดแตก คุ้มคลั่ง จำต้องยอมระเบิดพลังออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ใจกลัวมากว่าตัวเองจะกลายเป็น “ยักษ์แห่งแสง” ขึ้นมาจริงๆ แบบยุคพ่อ กลายเป็นยิ่งเข้าทางแผนมัน ยอมตายเพื่อดูดซับพลังงานลำแสงสเปเซี่ยมมาคืนชีพเซตต้อน สนองเป้าหมายของ “Edo” เอเลี่ยนสายพันธุ์เดียวกันที่แทรกซึมเข้ามาเป็นทีมบริหารของหน่วยวิทยะ เพื่อจะกำจัดอุลตร้าแมนทั้งหลายให้หายไป เผ่าพันธุ์มากมายทั่วจักรวาลก็จะอยู่ได้อย่างไร้กังวล
การกลับมาของ Last Boss อย่างเซ็ตต้อนก็ยังคงสร้าง Impact ได้ไม่เคยเปลี่ยน เมื่อมันเคยได้ชื่อว่าเป็นศัตรูที่ร้ายที่สุด ซึ่งเคยโค่นอุลตร้าแมนได้อย่างราบคาบ กลายเป็นของแสลงที่สร้างความหวาดหวั่นส่งต่อมาถึงรุ่นลูกอย่างชินจิโร่จนถึงขั้นเก็บเอามาฝัน เห็นเป็นนิมิตหลอน
ยิ่งต้องมาสู้กันจริงๆ ยิ่งสั่นคลอน พยายามแค่ไหนก็สู้ไม่ได้ เพราะเขาพ่ายไปแล้วตั้งแต่เริ่มกลัว คิดไว้ก่อนแล้วว่ามันยากจะสู้ เป็นศัตรูที่ไม่มีทางชนะได้ พอโดนลำแสงสาดกลางลำตัวบาดเจ็บสาหัส ก็เหมือนได้ตกผลึกเข้าสู่ภวังค์ความคิดกับตัวเองอีกครั้ง ขัดแย้งในตัวไปมา
ทั้งการเสียความเชื่อมั่น ใจหนึ่งก็ไม่เข้าใจว่าเป็นยักษ์แห่งแสงแท้ๆ ก็ยังคงพ่าย อีกใจก็เห็นต่างว่าก็นั่นมันเซ็ตต้อน พ่อก็โดนมันเล่นงานไปแล้ว ตัดมาอีกทีก็กลัวตันเองเหลือเกิน ว่าถ้าระเบิดพลังไปกว่านี้จะไม่ใช่ตัวเราอีกต่อไป แต่ถ้าเรายอมแพ้ ใครจะสู้ล่ะ อีกเสียงก็ค้านว่าไม่มีใครชนะทั้งนั้นแหละ ผู้คนรอบข้างต่างก็สับสนไม่รู้จะซ้ำเติมฮีโร่ผู้สร้างความเดือดร้อนหรือเอาใจช่วยในคุณธรรมความตั้งใจจริงดี
"Ultraman" แบบ type C ได้คืนชีพในเวอร์ชั่นอนิเมะแล้ว
จนเมื่อพวกเขาประสานเสียงเป็นหนึ่งเดียว ชินจิโรก็รับรู้ได้ถึงพลังหลายสายที่รวมเข้าด้วยกัน นั่นจึงช่วยปลุกเขาตื่นจากภวังค์ ได้เรียนรู้และเข้าใจว่าฮีโร่นั้นไม่จำเป็นต้องดีครบสมบูรณ์แบบ มีเพียงด้านสว่างขาวไปหมด หากแต่ต้องคอยโอบ อ้าแขนรับทั้งด้านมืดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อให้ทุกอย่างมันสมดุลเฉกเช่นสรรพสิ่งที่มีทั้งขาวและดำ ดีและเสีย แตกต่างปะปนกันไป นั่นเลยช่วยให้เขาสามารถปลดล็อคชุดเกราะ Ultimate กลายเป็นอุลตร้าแมนที่แท้จริง กางตำราเข้าใส่ Edo อย่างเต็มกำลัง
จะเป็นยักษ์แห่งแสงรึเอเลี่ยนก็ไม่สำคัญหรอก ชั้นคืออุลตร้าแมน! ปณิธานของคนบนดาวดวงนี้ คือความถูกต้องของดาวดวงนี้เช่นกัน
ชินจิโร่
6. งานฮีโร่เป็นงานที่ต้องเตรียมใจพร้อม
อย่างที่เกริ่นไปในข้อต่างๆ ด้านบนนี้ครับว่าบทบาทของฮีโร่ในความเป็นบุคคลสาธารณะที่ใครต่อใครจับตามอง ต้องแลกมาด้วยอะไรมากกว่าที่ใครคิด ตั้งแต่ชีวิตส่วนตัวที่ไม่เหมือนเดิม เพิ่มเติมด้วยความคาดหวังรอบด้านที่มีแต่จะสูงขึ้นมา ทำดีอยู่แล้วก็แล้วไปเท่าทุน พลาดมาเตรียมรับแรงกระแทกหนักๆ ได้เลย เหมือนกรณีของวันด้าที่ผมเขียนเล่าไปในข้อ 4 นับเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุดว่าต่อให้เป็นฮีโร่ ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาเก่งรอบด้าน ไม่มีทางพลาด
This job...We try to save as many people as we can. Sometimes that doesn't mean everybody, but, if we can't find a way to live with that, Next time... maybe nobody can be saved: งานฮีโร่น่ะ คือการที่เราพยายามช่วยคนให้ได้มากสุด ซึ่งบางทีก็ไม่ได้ทุกคน ถ้าไม่หัดยอมรับตรงนี้ ก็อาจช่วยไม่ได้เลยสักคน
Captain America
ชินจิโร่เองก็เช่นกัน การมาเป็นอุลตร้าแมนเขาเองก็ต้องรับกับความกดดันตรงนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นทุกครั้งที่พลาดก็จะเป็นเด็กน้อยนอยด์กับคำวิจารณ์และโมเม้นต์แย่ๆ แบบนี้ ทั้งที่สู้เอาเหตุการณ์เหล่านั้นมาเป็นพลัง เป็นบทเรียนให้ก้าวต่อไปให้ไกลกว่าเดิมดีกว่า มืออาชีพ ทำเต็มที่ที่สุด ยอมรับผล เรียนรู้แล้วไปต่อ นั่นต่างหากนิยามของ “อุลตร้าแมน” นิยามแห่งฮีโร่ที่แท้จริง
นักรบทั้ง 5+1 รวมพลังกันสู้จนสุดหัวใจ
ก่อนที่ชินจิโร่และพรรคพวกทั้ง 5 จะประสานใจเป็นหนึ่งเดียว ร่วมกันต้านพลังของ Edo และโค่นมันได้สำเร็จ ในที่สุดอุลตร้าแมนก็สามารถล้างตาเซ็ตต้อนได้แล้ว จากที่ก่อนหน้านี้ Ultraman Jack เคยแก้แค้นให้ตอนปราบเซ็ตต้อนรุ่น 2 หรือในจักรวาล Shin Ultraman ก็นับว่าเขาพยายามจนเอาชนะมันได้
เดินทางมาถึงซีซั่นสุดท้ายก็ทำเอาผมแอบใจหายเหมือนกันจากวันนั้นที่ตื่นเต้นลิงโลดมาวันนี้รู้สึกราวกับได้เติบโตไปกับตัวละครที่เรารักอีกหนึ่งกลุ่มแม้จะแอบเสียดายอยู่หลายจุดเริ่มจากเจ้าชินจิโร่นี่แหละที่ผ่านมา 3 ซีซั่นแล้วกลับไม่ได้เรียนรู้ เติบโตมากเท่าทีควรจะเป็นยังคงเป็นไอ้หนุ่มเลือดร้อนที่ทุกคนต้องคอยดูแล เก็บกวาดแก้ปัญหาให้ตลอดอยู่
ดูแล้วก็นึกถึงปีเตอร์ พาร์คเกอร์ในจักรวาล MCU ไม่มีผิดอันนั้นผ่านมาทั้งหนังเดี่ยวตัวเองทั้งแจมกัปตันและอเวนเจอร์สก็ยังคิดอะไรเป็นเด็กๆจนเข็ดหลาบใน No Way Home(และหวังว่าภาค 4 จะโตจริงๆ สักที)
กลับมาที่อุลตร้าแมนอีกหลายจุดต้องติติงก็คงเป็นเฉลี่ยแอร์ไทม์ตัวละครที่ไม่ดีเอาเสียเลยคนบทเยอะก็เยอะมากๆ คนบทน้อยก็น้อยลงอย่างน่าใจหาย เช่น โมโรโบชิและตอนถึงเวลารวมพลกันสู้ก็เหมือนจับปูใส่กระด้งแบบดื้อๆ บางตัวนึกจะโผล่ก็โผล่มาประมาณว่าเฮ้ยกูมาแล้วนะอย่างแจ็คนี่ชัดสุดเลย
อีกทั้งด้วยความที่มีแค่ 12 ตอนพอใกล้จบแล้วเลยต้องรีบหาทางลงก็เลยลงไปทั้งอย่างนั้นยิ่งกว่ารถไฟตีลังกาทำให้ความเข้มข้นระหว่างมิตรภาพของทีมอุลตร้าและกระแสต่อต้านฮีโร่ที่พลิกมาเชียร์เอาดื้อๆทั้งที่ประเด็นต่างๆ เหล่านี้มันยังขยี้ให้ละเอียดน่าติดตามได้อีกมาก
อย่างไรก็ดี มุมดีๆ ก็มีให้ชมด้วยเด่นสุดเลยคือแม่สาว “Valkyrie”ตัวร้ายสุดเซ็กซี่ขยี้ใจมากๆทำเอาอยากจิเป็นทาโร่แล้วแผดเผาลุกโชติช่วงไปกับเธอตอนเด็กอยากเป็นฮีโร่ตอนโตยอมศิโรราบให้ตัวร้ายแซ่บ ฮ่าานอกจากนี้ก็เป็นเทคนิค แสง สี กราฟิกที่ทำออกมาได้เนียนตายิ่งขึ้นไม่สะดุดมากเท่าสองซีซั่นแรกและการเผยให้เห็นถึง “Side Stories”ที่นำมาขยายเพิ่มจากจักรวาลหลักของอุลตร้าแมนรุ่นแรกอย่างฉากที่ชิน ฮายาตะมาเยี่ยมแม่ของเรนะก็เป็นโมเม้นต์ที่น่ารักชวนยิ้มไม่หุบ
รวมถึงการหยอด Ester Egg ต่างๆเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต้นฉบับทั้งเสียงและท่าแปลงร่างของเหล่านักรบฉากต่างๆ ที่คนเคยดูเวอร์ชั่นเดิมมาเห็นแล้วจะแอบคิดถึงไม่มากก็น้อยทั้งตัวร้ายอย่างเมฟิสโต้ที่ยังคงปั่นประสาทเก่งแบบเดียวกับเมฟิลัส หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจที่อุลตร้าแมนตอนนั้นยังไม่อาจชนะได้(ก่อนจะแก้มือได้ในซีรีส์ Mebius)
เอเลี่ยนซารับที่ป่วนยังไงก็ยังงั้นมารอบนี้กลับตัวได้ก็น่ารักไปอีกแบบและอันนี้ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ชอบการชูประเด็นความเท่าเทียมที่เน้นบทเรนะให้โดดเด่นไม่แพ้ชินจิโร่เลยพอมีนักรบหญิงมาเสริมหยิน-หยางเป็นสายซัพ กางบาเรียให้ทุกคนในทีมก็ดูสมูธเป็น 6 นักรบที่ลงตัวไปอีกแบบจากต้นฉบับ 6 พี่น้องอุลตร้าเดิม
"ชินจิโร่" กับการเรียนรู้ที่จะเติบโตเป็นฮีโร่อย่างแท้จริง
ที่สำคัญคือการพาคนดูอย่างเราๆ ลงลึกไปสำรวจถึงนิยามความหมายของคำว่า “อุลตร้าแมน” อย่างแท้จริงในมุมที่ไม่ใช่แค่ฮีโร่ แต่เป็นแสงแห่งความหวังเป็นความทรงจำและแรงบันดาลใจที่สาดส่องไปถึงผู้คนได้เสมอ
“ชั้นมีแต่จะต้องตามหาเส้นทางของตัวเองต่อไป”
ชินจิโร่
ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะโหดหินหรือยาวไกลแค่ไหนวันนี้เขาและทุกคนต่างก็ได้เติบโตอีกขั้นแล้วล่ะขอบคุณที่มาสร้างความสุขให้พวกเราอีกครั้งนะ “อุลตร้าแมน”
โฆษณา