24 พ.ค. 2023 เวลา 06:23 • กีฬา

ย้อนคดีเหยียดผิวในตำนาน ซัวเรซ - เอฟร่า วันที่หงส์ปกป้องคนผิด

คดีเหยียดผิวอันลือลั่นของพรีเมียร์ลีก เกิดขึ้นเมื่อหลุยส์ ซัวเรซ ไปเรียกพาทริก เอฟร่า ว่าเป็นไอ้ดำ (Negro) แต่ความน่าสนใจยิ่งกว่านั้น อยู่ที่ สโมสรลิเวอร์พูลออกมาซัพพอร์ทซัวเรซเต็มตัวอีกต่างหาก
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคม 2011 เกมพรีเมียร์ลีก ระหว่างลิเวอร์พูล กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่แอนฟิลด์
เอฟร่ารับหน้าที่ประกบซัวเรซ มีจังหวะไล่แซะ ไล่ฟาวล์ตลอดทั้งเกม จนซัวเรซหงุดหงิดอัดเอฟร่าคืนไป 1 ดอก ซึ่งพอเอฟร่าโดนเตะปั๊บ เขาหันขวับไปหาซัวเรซแล้วถามว่า มาเตะกันทำไม ซัวเรซตอบคืนไปว่า "Por Que? Negro" (แล้วจะทำไมล่ะไอ้ดำ)
1
เอฟร่าเมื่อได้ยินก็โมโห แล้วถามกลับทันทีว่า "แกลองพูดกับฉันแบบนั้นอีกครั้งสิ ฉันจะต่อยหน้าแก" พอซัวเรซเห็นว่าเอฟร่าจุดติด เลยยั่วกลับไปว่า "ฉันไม่พูดกับคนดำ"
1
เอฟร่าเดือดสุดๆ แล้วพูดกลับมาว่า "โอเค ฉันจะต่อยแกจริงๆ แล้ว" ซัวเรซตอบกลับไปว่า "โอเค ไอ้ดำ ไอ้ดำ ไอ้ดำ"
1
พอมีประเด็น เกี่ยวกับสีผิวแบบนี้ ทำให้กลายเป็นเรื่องทันที เอฟร่าไปฟ้องผู้ตัดสินว่าซัวเรซเหยียดผิว หลังจบเกมจึงมีกระบวนการสอบสวนกันใหญ่โตมากๆ
จริงๆ เหตุการณ์นี้ ไม่มีกล้องวงจรปิดแม้แต่มุมเดียวที่จับภาพได้ว่า ซัวเรซพูดคำว่า "Negro" ดังนั้นถ้าซัวเรซ ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้พูด เขาก็จะไม่โดนลงโทษแน่นอน เพราะไม่มีหลักฐาน คือจะเป็นแค่คำกล่าวอ้างของเอฟร่าเฉยๆ
แต่ประเด็นคือตัวซัวเรซ ยอมรับกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษตรงๆ เลยว่า "เขาพูดจริง" เพราะไม่เข้าใจว่า Negro (ไอ้ดำ) มันผิดยังไง ก็เอฟร่า ผิวดำจริงๆ นี่นา
1
ซัวเรซอธิบายว่า "ที่อุรกวัย เราใช้คำศัพท์อะไรสักอย่างในการเรียกถึงอีกคนเสมอ มีคำว่า Guapo ไว้เรียกคนหล่อ , Gordo ไว้เรียกคนอ้วน , Flaco ไว้เรียกคนผอม, Rubio ไว้เรียกคนผมบลอนด์ ,การเรียกว่า Negro ของผม ไม่ใช่คำดูหมิ่นสีผิว แต่เป็นการเรียกอีกคน จากลักษณะภายนอกแค่นั้น"
"ภรรยาของผม บางครั้งก็เรียกผมว่า ไอ้ดำ หรือในอเมริกาใต้ เราจะเห็นนักฟุตบอลหลายคน มีฉายาว่า El Negro รวมถึงนักเตะที่คนอุรุกวัยรักมากที่สุดคนหนึ่ง อ็อบดูลิโอ วาเลร่า ก็มีฉายาว่า El Negro Jefe"
1
ซัวเรซ พยายามจะบอกว่า วัฒนธรรมของคนอเมริกาใต้ สามารถพูดถึงรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ โดยไม่ได้เป็นการเหยียดผิวเสมอไป ก็คนผิวดำ เรียก ไอ้ดำ ไม่ได้หรอ?
แต่ในมุมของคนอังกฤษ และคนฝรั่งเศสอย่างเอฟร่า คุณไม่สามารถพูดถึงเรื่อง รูปลักษณ์ สีผิว เชื้อชาติ กับผู้เล่นอีกฝ่ายได้ มันเข้าข่าย Racism
ความตั้งใจของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ คืออยากให้ "เลิกพูด" ถึงสีผิว หรือเชื้อชาติไปเลย ไม่งั้นก็ต้องมานั่งตีความอีกว่า จะสื่อแบบนั้น จะสื่อแบบนี้ ไม่พูดเลยแต่แรกก็จบ
นี่คือเหตุผลที่ซัวเรซ โดนเอฟเอ สั่งแบน 8 นัด และปรับเงิน 40,000 ปอนด์
พอโดนแบน ซัวเรซผิดหวังมาก เขาให้สัมภาษณ์ว่า "คุณจะเรียกผมว่า จอมพุ่ง ,จอมกัด หรือไอ้ปากมาก เรียกยังไงก็ได้ แต่เรียกผมว่า พวกเหยียดผิวเนี่ยนะ มันทำร้ายจิตใจของผมมาก เพราะเป็นการกล่าวหาในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็น คือผมไม่ใช่พวกเหยียดผิว ตลอดการเล่นฟุตบอลของผม มีเพื่อนนักเตะที่เป็นผิวดำมากมาย และผมไม่เคยเจอข้อกล่าวหาแบบนี้มาก่อนในชีวิต"
นี่เป็นแนวคิดของฟุตบอลอังกฤษ ที่เข้มงวดกับการเหยียดผิว มันไม่สำคัญว่าคุณจะมีเจตนาอะไร หรือที่ประเทศของคุณคิดแบบไหน แต่ในพรีเมียร์ลีกแห่งนี้ การพูดถึงสีผิวคนอื่น ไม่สามารถทำได้
การโดนแบน และโดนปรับเงิน เป็นราคาที่ซัวเรซ ต้องจ่าย เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมของฟุตบอลอังกฤษ
พอมีเคสของซัวเรซ นักเตะจากอเมริกาใต้ หรือจากที่ไหนๆ ก็ตาม ถ้าจะมาเล่นในพรีเมียร์ลีก คุณต้องเรียนรู้โดยอัตโนมัติเลยว่า คุณจะพูดเรื่องสีผิว หรือสัญชาติไม่ได้ ไม่งั้นก็โดนลงโทษสถานหนักแบบนี้
และไม่ใช่แค่นักเตะเท่านั้นที่เรียนรู้ พอเวลาผ่านไป แฟนบอลเองก็คงๆ ลดการ Chant การร้องเพลงแซวที่เหยียดเชื้อชาติ ด่าพ่อล่อแม่ลงไปด้วย เช่น เมื่อก่อน แฟนสเปอร์สเคยร้องเพลงด่าเอ็มมานูแอล อเดบายอร์ ตอนเล่นให้อาร์เซน่อลว่า "Your dad washes elephants and your mother's a whore" (พ่อมึงอาบน้ำให้ช้าง ส่วนแม่มึงก็เป็นกะหรี่)
3
คือคนอังกฤษครั้งหนึ่งจะดูหมิ่นคนแอฟริกาว่า ยังขี่ข้าง ผู้หญิงก็ขายตัว เป็นการเหมารวมเลย แต่ในยุคปัจจุบันนี้การ Chant แบบนี้ไม่มีแล้วในพรีเมียร์ลีก
------------------------
Fact ที่เกิดขึ้นของเรื่องนี้ คือ ซัวเรซ พูดจริงแน่ แต่เจตนาเบื้องหลังคืออะไรนั้น เขาอาจจะอยากแค่ "กล่าวถึง" หรืออยาก "จงใจเหยียด" เรื่องนี้เราไม่รู้คำตอบที่แท้จริง
แต่แค่พูดก็ถือว่าผิดแล้ว จึงเป็นที่มาของโทษแบน 8 นัดนั่นเอง ซึ่งพอซัวเรซโดนโทษแบนปั๊บ ฝั่งลิเวอร์พูลแทนที่จะก้มหน้ายอมรับ แต่กลับ Take Action สนับสนุนหลุยส์ ซัวเรซ กันอย่างเปิดเผย เช่น
1
1) ใส่เสื้อสนับสนุนซัวเรซ
วันที่ 20 ธันวาคม 2011 พอสมาคมฟุตบอลอังกฤษประกาศโทษแบนและปรับเงินซัวเรซ วันรุ่งขึ้น 21 ธันวาคม ลิเวอร์พูลมีโปรแกรมลงเล่นพรีเมียร์ลีก โดยไปเยือนวีแกน แอธเลติก ที่สนามดีดับเบิ้ลยู สเตเดี้ยม
สโมสรลิเวอร์พูลทั้งทีม เช่น เจมี่ คาร์ราเกอร์, เดิร์ก เคาท์, มักซี่ โรดริเกวซ, มาร์ติน สเคอร์เทล ฯลฯ ทุกคนใส่เสื้อยืดสีขาวในช่วงวอร์มอัพ ด้านหน้าเป็นรูปซัวเรซทำท่าดีใจ ส่วนด้านหลังเป็นชื่อซัวเรซกับหมายเลข 7 ความหมายคือ นักเตะทั้งทีมซัพพอร์ทซัวเรซเต็มที่ ในเรื่องที่เกิดขึ้น
เกล็น จอห์นสัน แบ็กขวาหงส์แดงตอนนั้น กล่าวว่า ""ผมจะสนับสนุนใครก็ได้ ที่ผมอยากทำ เมื่อไหร่ก็ได้ที่ผมต้องการ มีเหตุผลเป็นสิบๆ ข้อ ที่ผมจะยืนเคียงข้างหลุยส์ ซัวเรซ"
เปเป้ เรน่า ผู้รักษาประตูลิเวอร์พูล บอกว่า "เสื้อยืดนี้ เป็นสิ่งเล็กน้อยที่เราทำเพื่อเขาได้ เพราะว่าเขาเป็นคนน่ารัก การโดนแบน 8 นัด ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่ายุติธรรมเลย"
2- คำพูดปริศนาของเคนนี่ ดัลกลิช
ดัลกลิช ให้สัมภาษณ์อย่างกำกวมว่า "มีหลายเรื่องที่ผมอยากจะพูด มีหลายสิ่งที่ผมอยากจะบอก แต่ผมไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในปัญหา เรารู้ว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ได้อยู่ในรายงาน แต่ผมไม่อยากมีปัญหาก็เลยขอยุติเรื่องแค่นี้"
คำพูดของดัลกลิชแบบนี้ ไม่ช่วยอะไร นอกจากจะทำให้สังคมคิดว่า ลิเวอร์พูลให้ท้ายซัวเรซ ไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และอีกอย่างถ้าหากมีข้อมูลอะไรที่จะทำให้ซัวเรซพ้นผิดได้ ทำไมลิเวอร์พูลไม่ยอมอุทธรณ์โทษแบน 8 นัดล่ะ
1
3- ประท้วงให้ลงโทษเอฟร่าบ้าง
หลังจากซัวเรซโดนแบนแล้ว ลิเวอร์พูลออกแถลงการณ์ว่า ทำไมพาทริซ เอฟร่า ที่เป็นคนเริ่มชนวน ถึงไม่โดนลงโทษบ้าง ในแถลงการณ์ไม่มีถ้อยคำใดๆ ที่จะกล่าวโทษนักเตะทีมตัวเองแม้แต่นิด
4- แฟนหงส์แดงทำแบนเนอร์ด่าเอฟเอ
แฟนลิเวอร์พูลบนสแตนด์ ต่างชูธงชาติอุรุกวัย และเขียนแบนเนอร์ว่า "สมาคมฟุตบอลอังกฤษ คือองค์กรคอรัปชั่นสุดอัปยศ" โจมตีเอฟเอว่าจงใจเล่นงานลิเวอร์พูลเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ซัวเรซก็บอกไปแล้วว่าเขาไม่มีเจตนาจะเหยียดผิวด้วยซ้ำ
------------------------
คือถ้าเราเข้าใจคาแรคเตอร์ของสโมสรลิเวอร์พูล กับประโยค You'll never walk alone ก็จะนึกออก ว่าทำไมพวกเขาถึงซัพพอร์ทหลุยส์ ซัวเรซกันขนาดนั้น
หลักคิดคือ ถ้าคุณคือพรรคพวกของเราแล้ว เป็นครอบครัวหงส์แดงล่ะก็ เราจะปกป้องคุณอย่างถึงที่สุด
ในเคสนี้ ลิเวอร์พูลเองก็โดนสังคมด่าเยอะเหมือนกันว่า แล้วมันควรปกป้องไหม? ซัวเรซพูดถึงสีผิวของคนอื่นแบบนั้น ไม่สำคัญว่าเขาจะมีเจตนาอะไร แต่มันผิดแน่ๆ ที่พูดออกมา ดังนั้นคุณควรจะลงโทษซ้ำต่างหาก หรือถ้าไม่ซ้ำ ก็อยู่เงียบๆ ไป ไม่ใช่ปกป้องกันสุดลิ่มขนาดนี้
2
คนนอกที่ไม่เกี่ยวกับลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างโอลิวิเยร์ แบร์กนาร์ด นักเตะของนิวคาสเซิล แสดงความเห็นว่า "ผมไม่คิดว่ามันเข้าท่าที่จะใส่เสื้อยืดสนับสนุนซัวเรซ ผมเข้าใจว่าสโมสรต้องยืนอยู่ข้างเดียวกับนักเตะตัวเอง แต่ในสังคมแห่งนี้ เรายอมรับการเหยียดผิวไม่ได้ มันแปลกนะที่จะสนับสนุนนักเตะที่ใช้คำพูดเหยียดเชื้อชาติแบบนั้น"
ในมุมของหงส์แดง ณ เวลานั้น อารมณ์ของความอยากปกป้องคนของตัวเอง มันแรงกล้ามากๆ ก็เลยแสดงออกแบบนั้น
แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะ พอซัวเรซย้ายทีมออกไป และเมื่อทุกคน เข้าใจความรุนแรงของการเหยียดผิวมากขึ้น ฝั่งลิเวอร์พูลเองก็เริ่มรู้สึกเสียใจ กับการกระทำของตัวเอง
เจมี่ คาร์ราเกอร์ หนึ่งคนที่ใส่เสื้อซัพพอร์ทซัวเรซ กล่าวขอโทษเอฟร่า โดยบอกว่า มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
1
ขณะที่จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมหงส์แดงคนปัจจุบันกล่าวว่า "มองย้อนกลับไปตอนนี้ ผมไม่คิดว่าทุกคนในสโมสรเราจัดการเรื่องนี้ได้ดี คือในมุมของนักเตะความคิดของเราคือให้กำลังใจหลยุส์ และอยากปกป้องเขา แต่เราไม่ได้คิดถึงพาทริซเลย"
"นี่คือความผิดพลาดตั้งแต่หัวยันหาง ถ้ามีใครอยากจะกล่าวโทษผม ผมยินดีรับผิดเต็มที่ ผู้คนอาจจะบอกว่า 'มาขอโทษตอนนี้สายไปหรือเปล่า' แต่ผมคิดว่า แม้จะสายไป ก็ดีกว่าไม่เคยสำนึกเสียใจเลยสักครั้ง"
4
จริงๆ แล้วในเรื่องนี้ ก็เป็นกรณีศึกษาที่ดีว่า การเป็นพวกเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนกันทุกเรื่อง อะไรที่ผิดก็ไม่ต้องให้ท้ายกัน คือถ้าไม่อยากซ้ำ ก็อยู่เฉยๆ ได้
1
ด้วยอารมณ์ ด้วยแรงเชียร์ เราอาจจะเผลอซัพพอร์ทฝั่งตัวเองโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าถอยออกมาหนึ่งก้าว อาจจะเห็นภาพใหญ่ขึ้น ว่าคนของฝั่งเรา ก็อาจทำผิดได้เหมือนกัน
1
สิ่งสำคัญก็อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ ว่าจะกล้ายอมรับหรือไม่ถ้าคนที่เราเชียร์ทำความผิด หรือว่าจะสนับสนุนกันไปจนสุดทาง โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
1
#SUAREZEVRARACISM
โฆษณา