25 พ.ค. 2023 เวลา 14:04 • ไลฟ์สไตล์

ช๊อปยังไง ให้ปังปุริเย่

ทุกวันนี้ความสะดวก สบายจากการซื้อสินค้าออนไลน์ แล้วมาส่งถึงหน้าบ้าน คงสามารถเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของใครหลายๆ คนไปแล้ว อาจจะแตกต่างกันไปตามสัดส่วน มาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความชอบ ประเภทสินค้า ไลฟ์สไตล์ และเงินในกระเป๋า  ของแต่ละคน
ผมเองก็ชื่นชอบในเลือกซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำ และจากประสบการณ์ที่ลองผิด ลองถูกมาหลายปี หลากหลายสินค้า ราคาตั้งแต่หลักบาท จนไปถึงหลักหมื่น เลยอยากมาแชร์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนนักช๊อปทั้งหลาย เผื่อจะได้นำไปประยุกต์ รวมถึงรู้เท่าทัน เลห์กล กลโกง ที่บางร้านใช้ รวมถึงทิปของแพลตฟอร์มเจ้าดังๆ เพื่อให้เราได้ของที่ตรงกับความต้องการ ในราคาที่คุ้มค่ามากที่สุด
องค์ประกอบของการช๊อปออนไลน์ ที่ผมรวบรวมไว้ เพื่อใช้พิจรณาเมื่อเรามีความต้องการในการซื้อของสักชิ้นนึงมีดังนี้ครับ
1. ราคาสินค้า โดยปกติ เราจะสามารถเช็คราคาคร่าวๆ จากพี่กู้ของเราได้เลย ก็จะขึ้นรายการสินค้าที่เรากำลังสนใจมาให้ โดยรายการส่วนใหญ่ ก็จะสามารถคลิ๊กเข้าไปที่แพลตฟอร์มช๊อปปิ้งนั้นๆ ได้เลย ในไทยตอนนี้ ค่ายใหญ่ๆ ที่ยังอยู่ก็จะมีค่าย L และ S น่าเสียดายที่ค่าย J มายกเลิกไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ และจากการเช็คราคาสินค้าของผมที่ผ่านมา พบว่าราคาสินค้าโดยรวมส่วนใหญ่ ค่าย S ราคาถูกกว่า ค่าย L หรืออาจจะราคาไล่เลี่ยกัน แต่ค่าย S มาชนะเอาตรงการใช้งานคูปองค่าส่งฟรี ที่ผมพบว่าใช้ได้กับสินค้ามากประเภทกว่า
2. ประเภทสินค้าบางพวกที่ควรได้ลองจากหน้าร้านก่อนการซื้อ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พบว่าสินค้าที่มักจะพบปัญหาบ่อยๆ คือสินค้าพวกรองเท้า และเสื้อผ้า ที่อาจจะมีขนาดที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างที่ระบุ ทำให้เมื่อสั่งมา ก็จะพบว่า ไม่หลวมไป ก็คับไป ดังนั้น ถ้ามีทางเลือก ก็ควรไปลองที่ร้าน
กรณีที่มีหน้าร้าน เพื่อให้ทราบขนาดที่แท้จริง หรือถ้าเป็นพวกสินค้าจีนที่ไม่มีตัวเทียบให้ลอง ก็คงต้องเสี่ยงดวงกันดู ซึ่งผมมีแชร์วิธีการแก้ปัญหาหากสินค้าที่เราได้มานั้น มีขนาด หรือไซส์ที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินเปล่า ในข้อที่ 6
3. คุณภาพของสินค้า การอ่านรีวิวของสินค้าตัวที่เรากำลังสนใจอยู่นั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถได้สินค้าที่มีคุณภาพดีได้ โดยการไล่ดูเฉพาะกลุ่มดาวน้อยๆ 1 - 3 ดาว หากเป็นสินค้าที่มีปัญหาด้านคุณภาพจริงๆ เราจะพบคนที่เคยซื้อไปก่อนหน้า เข้ามารีวิวตรงนี้ และสามารถใช้ข้อมูลตรงนี้ในการตัดสินใจเบื้องต้นได้
หากพบว่ารีวิวพวกดาวน้อยๆ มีจำนวนมาก และตำหนิไปในทิศทางเดียวกัน ก็ควรหาสินค้าแบบเดียวกันจากร้านอื่นแทน หรือหากรีวิวดาวน้อยๆ แทบไม่มี หรือมี แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับขนส่ง ให้ลองไปอ่านรีวิวที่มีคะแนนสูงๆ 4 - 5 ดาวว่าสินค้าตัวจริง หน้าตาเป็นยังไง ตรงกับที่เราอยากได้หรือไม่อีกที
4. ค่าจัดส่งสินค้า เลือกสินค้าตัวเดียวกัน จากหลายๆ ร้าน แล้วลองเทียบดูค่าส่ง เพราะสินค้าตัวเดียวกัน จากคนละร้าน บางร้านอาจไม่คิดค่าส่ง หรือคิดถูกกว่าอีกร้าน ตรงนี้ จะทำให้เราสามารถเปรียบเทียบ และประหยัดเงินค่าส่งไปได้หลายบาทอยู่
5. คูปองต่างๆ ทุกวันนี้จะมีคูปองหลักๆ คือ คูปองส่งฟรี (สูงสุดไม่เกิน 30 บาท) และคูปองส่วนลด 10% - 25% (แล้วแต่เทศกาล ส่วนใหญ่จะสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท) ซึ่งหากเราสามารถซื้อสินค้าโดยนำคูปองเหล่านี้มาใช้งานร่วมได้ ก็จะสามารถประหยัดเงินเราไปได้มาก โดยปัจจัยที่ผมนำมาคำนวณคือ หากคูปองส่วนลดนั้น มีมูลค่ามากกว่าการส่งฟรี ผมจะเลือกคูปองส่วนลดแทน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกสินค้าที่มีราคามากกว่า 200 บาทขึ้นไป ต่ำกว่านี้เลือกใช้คูปองส่งฟรีจะคุ้มกว่า
6. การคืนสินค้า ในการซื้อสินค้านั้น บางครั้งเราอาจจะเจอแจ๊คพอตที่สินค้าไม่ดี หรือไม่เหมือนกับที่ลงไว้ หรือเลวร้ายสุดคือ ได้ของปลอมมาเลย จริงๆ แล้ว ในแพลตฟอร์มช๊อปปิ้งออนไลน์เจ้าดังๆ นั้น เราสามารถคืนสินค้าได้ทุกอย่างหากไม่ใช่อย่างที่โฆษณา หรือไม่ได้มาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น โดยทางค่าย S จะมีกฏเหล็กคือ ห้ามทำรับสินค้าก่อนการเช็ค และตรวจสอบสินค้า เราควรแกะกล่อง และนำสินค้ามาทดสอบให้เรียบร้อยก่อนทำรับสินค้าเสมอ เพราะหากเราทำรับสินค้าแล้ว อำนาจการต่อรอง หรือสิทธิ์ในการคืนสินค้า จะหมดไปทันที
และผมแนะนำว่า หากเป็นไปได้ควรใช้งานสินค้าชิ้นนั้นๆ ซ้ำๆ จนกว่าจะมั่นใจว่ามันสามารถใช้งานได้ดีจริงๆ (กรณีเป็นพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสินค้าพวกกลไกต่างๆ) ระหว่างนี้ควรเก็บกล่อง หรือหีบห่อที่บรรจุสินค้ามาส่งเอาไว้ด้วยเผื่อเอาไว้ใส่ตอนส่งกลับ ทดสอบจนมั่นใจ แล้วค่อยทำรับสินค้า หากไม่มั่นใจ ควรขยายเวลาในการรับสินค้าโดยเราจะได้รับวันเพิ่มอีก 3 วันสำหรับการทดสอบสินค้า
สำหรับค่าย L เท่าที่จำได้จะไม่ต้องมีเรื่องของการรับสินค้าเป็นเงื่อนไข แต่หากสินค้ามีปัญหา สามารถทำเรื่องคืนสินค้า ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้เช่นกัน
โดยเราต้องระบุสาเหตุที่ต้องการคืน และรูปถ่าย รวมถึงวีดีโอของสินค้า ที่แสดงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวสินค้าตามสาเหตุที่เราได้ระบุไป และนำสินค้าแพคกลับใส่หีบห่อที่ส่งมา โดยค่าย S สามารถนำไปดรอปที่เคอรี่ หรือ Big-C mini ส่วนของค่าย L สามารถนำไปดรอปที่ 7-Eleven โดยต้องแสดง QR Code เพื่อให้ทางร้านที่เรานำสินค้าไปคืน ยิงรับ และออกเอกสารให้
กรณีใดบ้างที่เรา สามารถคืนขอคืนเงินโดยไม่ต้องคืนสินค้า อันนี้สอบถามน้องที่รู้จักมาว่า กรณีพบปัญหาจากตัวสินค้าเองจริงๆ เราสามารถปฏิเสธการนำสินค้าไปคืน ด้วยเหตุผลว่า ไม่สะดวกได้ด้วย (อันนี้ไม่เคยลอง เพราะส่วนใหญ่ส่งคืนร้านโดยนำไปดรอปไว้) และกับสินค้าบางประเภทที่เป็นพวกส่งมาจากต่างประเทศ พวกนี้ ทางแพลตฟอร์มจะเป็นคนพิจรณาจากข้อมูลที่เรายื่นเรื่องไปว่าสมเหตุ สมผลหรือไม่ และเราจะได้เงินคืน โดยไม่ต้องคืนสินค้าเช่นกัน (อันนี้เคยลองด้วยตัวเองมาแล้ว)
ในส่วนของทิปการใช้งานอื่นๆ ที่น่าสนใจของแพลตฟอร์ม S ที่ผมทำอยู่ และน่าสนใจมีดังนี้ครับ
- การเช็คอินทุกวัน โดยทางค่าย S จะให้เป็น Coin ที่มีมูลค่าเท่ากับเงินบาท โดยหากเช็คอินวันแรก จะได้ 10 สต. ส่วนวันถัดๆ มา จะได้ 20 สต. เมื่อเช็คอินครบเจ็ดวัน จะได้ 50 สต. และจะวนกลับมาเป็น 10 สต. และ 20 สต. และ 50 สต. เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งผมว่าง่ายกว่าการรีวิวที่ต้องเขียน (พิมพ์) ให้ครบ 150 ตัวอักษร และต้องถ่ายรูป และวีดีโอ เพื่อให้ได้ 50 สต. (คคหสต นะครับ)
- การเปิดกล่องของขวัญ อันนี้เปิดได้ประมาณวันละ 2 ครั้ง จะมีทั้งได้เป็น Coin 10 สต. หรือนานๆ ทีจะมี 30 สต. และจะมีเป็นพวกคูปองส่วนลด ที่ผมไม่เคยได้ใช้ เพราะไม่ตรงกับความต้องการ
- การเทียบสินค้าโดยหาจากสินค้าที่คล้ายกันในหน้ารถเข็น เมื่อเราเลือกสินค้าใส่รถเข็นแล้ว เราสามารถกดแก้ไข และจะพบกับปุ่ม "ใกล้เคียง" โดยเมื่อเรากดเข้าไป ระบบก็จะหาสินค้าอย่างเดียวกันจากร้านอื่นๆ เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบให้ เป็นโอกาสให้เราสามารถหาสินค้าแบบเดียวกัน ที่มีราคาถูกว่าที่เราเลือกมาได้ ทำให้ประหยัดเงินตรงนี้ได้เช่นกัน
เป็นยังไงบ้างครับ สำหรับบทความจากประสบการณ์ตรงของผมที่นำมาแชร์กันในวันนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับขาช๊อปกัน ไม่มากก็น้อยนะครับ
หากใครมีเคล็ดลับอะไรที่อยากมาช่วยกันแชร์เพิ่มเติม สามารถนำมาลงไว้ในคอมเม้นท์ได้นะครับ ถือว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกัน และกัน เราจะได้ ช๊อปปิ้งให้คุ้มค่าเงินมากที่สุดกันครับ
โฆษณา