26 พ.ค. 2023 เวลา 00:07 • ประวัติศาสตร์

ย่านวัดตองปุหรือวัดชนะสงครามและย่านมัสยิดจักรพงษ์

...พื้นที่ย่านชานพระนครริมคลองคูเมืองหรือคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง จึงเป็นบริเวณย่านเศรษฐกิจและสังคมที่มีทั้งสังคมของชาววังและสังคมของชาวบ้านที่มีความหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นพื้นที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่เริ่มสร้างพระนครพื้นที่บริเวณภายในกำแพงพระนครครั้งสร้างเมื่อรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ และบริเวณสองฝั่งคลองเมืองหรือคลองบางลำภู-โอ่งอ่าง
รอบวัดชนะสงครามจากแนวคลองคูเมืองเดิมไปถึงบางลำพูเป็นแหล่งที่มีชุมชนที่มีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่ก่อนการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ มีชุมชนและขุนนางเชื้อสายมอญตลอดจนขุนนางเชื้อสายจีนที่เป็นขุนนางร่วมสู้รบตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ต่อมาย่านนี้ เมื่อสถาปนากรุงเทพมหานครฯ เป็นเมืองหลวงแทนกรุงธนบุรีจึงเป็นถิ่นฐานของเชื้อพระวงศ์ในพระราชวังบวรสถานมงคล ตลอดแนวทั้งริมฝั่งกำแพงเมือง จากป้อมพระอาทิตย์ ป้อมอิสินธร ต่อเนื่องไปจนถึงป้อมพระสุเมรุที่อยู่ปากคลองเมืองหรือคลองบางลำพู
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีศึกสงครามตลอดช่วงรัชกาล และกวาดต้อนผู้คนเข้ามาเป็นกำลังของรัฐที้เกิดขึ้นใหม่หลังสงครามกับพม่าที่ทำให้ราชธานีกรุงศรีอยุธยาและผู้คนพลเมืองสูญสลายไปสิ้น ชุมชนในกลุ่มเชลยจากสงครามครั้งต่างๆ นั้น แม้ไม่มีบันทึกไว้โดยละเอียดแต่คงหลักฐานร่องรอยจนถึงปัจจุบัน เช่น ชื่อ “คลองโรงไหม”
กล่าวกันว่าเคยมีโรงทอผ้าไหมของกลุ่มคนลาวที่เข้ามาตั้งแต่ครั้งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่ไม่ปรากฏร่องรอยว่ามีชุมชนลาวตั้งอยู่ในบริเวณนี้ นอกจากทางแถบริมคลองหลอดวัดราชบพิธฯ และบริเวณสวนพริกทางทิศเหนือของพระนครที่เป็นย่านวัดอินทรวิหารในปัจจุบัน
คลองโรงไหมนี้เป็นเส้นทางต่อกับคลองรอบวัดชนะสงครามที่คงถมไปหลังช่วง พ.ศ. ๒๔๗๕ ไปแล้วหากตรวจสอบจากแผนที่ในช่วงเวลานั้นและจากข้อมูลสัมภาษณ์ผู้อยู่อาศัยที่ชุมชนมัสยิดจักรพงษ์อายุ ๙๒ ปี ยังกล่าวถึงการซื้อผลไม้จากเรือพายที่เข้ามาขายในคลองดังกล่าว
แต่กล่าวถึงกลุ่มคนมอญแถววัดตองปุหรือวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เดิมชื่อ “วัดกลางนา” ซึ่งเป็นวัดรุ่นเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงปฏิสังขรณ์และเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดตองปุ” และให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญเช่นเดียวกับวัดตองปุที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อระลึกถึงเกียรติคุณและให้เป็นวัดของชุมชนชาวมอญที่เป็นกองกำลังสำคัญในกองทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเมื่อครั้ง “สงครามเก้าทัพ”
ต่อมากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทหลังจากได้ชัยชนะอีก ๓ ครั้งจึงปฏิสังขรณ์ให้เป็นพระอารามหลวงและขนานนามว่า “วัดชนะสงครามฯ” ภายหลังถือเป็นวัดหลวงของฝ่ายวังหน้า โดยมีการรวมบรรจุพระอัฐิเจ้านายฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคลที่เฉลียงพระอุโบสถด้านหลัง
มีการนำคนมอญเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่โดยรอบสลับกับวังของเจ้านายฝ่ายวังหน้า ในคราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราชนี้ก็เอ่ยถึงความสัมพันธ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวของชุมชนชาวมอญและวังหน้า โดยมีกำลังไพร่พลชาวมอญถึง ๒,๐๐๐ คนที่อยู่ในกำกับดูแลของ “กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ”
ชุมชนชาวมอญเหล่านี้อยู่อาศัยกระจัดกระจายไปทั้งย่านบางลำพู ตรอกซอยต่างๆ เช่น ย่านถนนจักรพงษ์ ตรอกข้าวสาร และน่าจะโยกย้ายถิ่นฐานออกไปอยู่กับชุมชนชาวมอญอื่นๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ปากเกร็ด สามโคก ปากน้ำพระประแดง หรือทางแถบริมคลองสุนัขหอนในจังหวัดสมุทรสงคราม เพราะแทบจะไม่พบเห็นร่องรอยชุมชนชาวมอญที่เป็นกลุ่มชุมชนดั้งเดิมในปัจจุบัน
“ปาตานี” เคยอยู่ในฐานะเมืองประเทศราช แต่เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายเสียแล้วจึงเป็นเหตุขัดแย้งเรื่องการไม่ส่งเครื่องบรรณาการในฐานะประเทศราชแก่รัฐที่เกิดใหม่แต่สืบเนื่องมาจากกรุงศรีอยุธยาที่กรุงเทพฯ สงครามครั้งที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพได้นำปืนใหญ่พญาตานีมาไว้ ณ กรุงเทพฯ นำมาใช้งานรวมกับปืนใหญ่ที่หล่อใหม่
และนำเอาเชื้อวงศ์สุลต่านปาตานีและกวาดต้อนครัวจากเมืองปาตานีมาพร้อมปืนใหญ่พญาตานี โดยกำหนดให้ผู้คนเชื้อสายเจ้าเมืองตั้งรกรากอยู่ที่แถบ “หลังวัดอนงคาราม” หรือบริเวณสี่แยกบ้านแขก ฝั่งธนบุรีในปัจจุบัน ไม่ไกลนักกับแถบกลุ่มชุมชนชาวมุสลิมที่เป็นขุนนางเดิมจากกรุงศรีอยุธยาและเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในรัชกาลเมื่อต้นกรุงฯ
จนราว พ.ศ. ๒๓๕๑-๒๓๕๒ ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ต่อเนื่องจนถึงรัชกาล ๒ ทางสยามจึงจัดการแบ่งแยกรัฐปาตานีเดิมออกป็น ๗ หัวเมืองและให้ขึ้นตรงกับเมืองสงขลาและเมืองนครศรีธรรมราชที่ผลัดกันควบคุม จนทำให้เกิดปัญหาในการปกครองในเวลาต่อมาจนกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ กองทัพสยามนำเจ้าเมืองมลายูที่ไม่สวามิภักดิ์เข้ามาจำไว้พร้อมกวาดต้อนครัวจำนวนหนึ่งซึ่งมาจากเมืองไทรบุรีหรือเคดาห์ เมืองกลันตัน ยะหริ่ง สตูล
โดยมีบันทึกและความทรงจำจากคนเชื้อสายมลายูตามท้องถิ่นต่างๆ ว่า มีการกวาดต้อนผู้คนจำนวนมากมาไว้ในบริเวณท้องถิ่นฟากตะวันออกที่เมืองเริ่มขยายตัวไปทางฉะเชิงเทรา ในช่วงรัชกาลนั้นจ้างแรงงานจีนขุดคลองบางกะปิและคลองแสนแสบเชื่อมต่อกับแม่น้ำบางปะกงเป็นเวลาถึง ๔ ปี อันเนื่องจากศึกสงครามใหญ่กับทางญวนในยุคนั้น แล้วจึงนำชาวมลายูมุสลิมไปตั้งถิ่นฐานเพื่อสร้างชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
สำหรับชาวมลายูที่น่าจะเป็นผู้มีความรู้หรือมีฝีมือทางช่างต่างๆ ที่อาจเคยอยู่ในราชสำนักเป็นข้าหลวงมาแต่เดิมที่ถูกกวาดต้อนมาครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งนั้นให้เข้าสังกัดที่อาสาจามซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แถบคลองมหานาคต่อคลองบางกะปิ โรงไหมหลวงที่ใกล้กับวัดตองปุ
และบางส่วนซึ่งมาจากเมืองระแงะไปสังกัดฝ่ายสังฆทาน ทำงานบุญให้กับ “เจ้าคุณตานี”หรือ “เจ้าจอมมารดา กรมหมื่นสุรินทรรักษ์” ซึ่งเป็นพี่สาวต่างมารดากับเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และให้รวมกลุ่มอยู่อาศัยกับชาวมลายูในพระนครใกล้โรงไหมหลวงที่ติดกับวัดชนะสงครามฯ
ในเวลาต่อมาจึงแยกออกไปตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตรอกศิลป์ริมคลองหลอดวัดราชนัดดาฯ บ้าง ขยายมาทางถนนบ้านแขกหรือ “ถนนตานี” ทางตึกดินใกล้ “ตรอกบวรรังษี” บ้าง มีบางส่วนที่อยู่แยกออกไปนอกเมืองแถบ “ริมคลองมหานาค” ซึ่งมีกูโบร์สำหรับฝังศพเพียงแห่งเดียวในบริเวณนี้ เพราะชุมชนมุสลิมภายในเมืองชั้นในต้องนำศพออกมาฝังที่นี่ตั้งแต่เริ่มต้นตั้งถิ่นฐานจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกับชาวพุทธที่ต้องนำศพมาเผานอกอาณาบริเวณกำแพงเมืองและคูเมืองเมื่อแรกสร้างกรุงฯ เช่นกัน
ในบันทึกของกรมไปรษณีย์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวถึงชุมชนบ้านเรือนที่อยู่รอบวัดชนะสงครามฯ ที่มีหลายกลุ่ม เช่น บ้านเรือนของผู้ทำงานในวังหน้าตามริมคลองโรงไหมที่เชื่อมวัดชนะสงครามฯ กับคลองหลอด ตรอกสะพานแดงรอบวัดชนะสงครามฯ ด้านหนึ่งมีบ้านเรือนขุนนาง โรงเลื่อยตั้งอยู่
บริเวณถนนวัดชนะสงครามหรือถนนจักรพงษ์มีวังเชื้อพระวงศ์วังหน้า บ้านเรือนขุนนาง ในกรมช่างต่างๆ ล่ามแปลภาษา เรือนค้าขายของต่างๆ มีทั้งคนไทยคนมลายูและจีนผูกปี้ดูจะเป็นย่านตลาดกรายๆ คนมลายูนั้นชื่อนำหน้า เช่น “ต่วนหะยี”, “โต๊ะ” และมีขุนนางที่รับราชการอยู่กรมช่างทองในวังหลวงด้วย
ชุมชนที่มัสยิดจักรพงษ์เคยถูกเรียกว่า “หมู่บ้านแขกข้างวัดชนะสงคราม” ตามบันทึกในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบุว่ามีจำนวน ๔๘ หลังคาเรือน ในชุมชนมี “กะดีแขก” หรือบาแลหรือมัสยิดของชุมชนด้วย และเป็นบ้านเรือนของช่างทองและช่างรับทำทองรูปพรรณเสีย ๑๙ หลังคาเรือน มีหมอบ้านหนึ่ง ทอผ้าขาย ๒ บ้าน
ผู้คนที่อยู่อาศัยหากเป็นฝ่ายชายจะมีชื่อนำหน้าขึ้นต้นด้วย โต๊ะและโต๊ะหะยีที่ดูจะใช้เรียกผู้อาวุโสและผู้ที่อาจะเคยไปประกอบพิธีฮัจน์ เช่น โต๊ะซัน บุตรโต๊ะมะ โต๊ะมาก บุตรนายมั่น โต๊ะมะหะยะเลาะ ฯลฯ และยังมีการเรียกชื่อว่านายด้วย ส่วนฝ่ายหญิงขึ้นต้นด้วยอำแดงเช่นเดียวกับคนในพระนครอื่นๆ ในกลุ่มหมู่บ้านแขกข้างวัดชนะสงครามฯ นี้ยังมีขุนนางอยู่บ้างในระดับหมื่น มีหม่อม มีหลานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์รวมอยู่ด้วย ผู้คนที่เป็นช่างทองรับจ้างทำทองรูปพรรณแก่ชาวบ้านทั่วไป ไม่ได้เป็นช่างทองหลวงแต่อย่างใด
#สยามเทศะโดยมูลนิธิเล็กประไพวิริยะพันธุ์
โฆษณา