26 พ.ค. 2023 เวลา 08:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ADVANC – TRUE มูลค่าน่าสนใจ เมื่อกูรูคาดผลกระทบ “นโยบายผูกขาด” จำกัด

นโยบายบางส่วนของพรรคก้าวไกลที่ประกาศออกมาสะเทือนธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ในประเทศบางหลายกลุ่ม โดยเฉพาะนโยบายยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จะถูกผลักดันแล้ว ยังมีความกังวลว่าธุรกิจผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมจะได้รับผลกระทบด้วย เพราะมีผู้เล่นหลักในตลาดเพียง 2 ราย คือ TRUE และ ADVANC หลัง TRUE และ DTAC ควบรวมกิจการไปแล้วก่อนหน้านี้
จากความกังวลข้างต้นส่งผลให้ราคาหุ้นของ TRUE และ ADVANC ปรับตัวลงอย่างมาก โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าผลกระทบจากนโยบายที่จะเกิดขึ้นต่อ TRUE และ ADVANC มีจำกัด อีกทั้งราคาหุ้นในปัจจุบันปรับตัวลงมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการควบรวมกิจการแล้ว จึงมองว่าเป็นระดับราคาที่น่าสนใจเข้าลงทุน
โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ได้พยายามวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอัตรากำไรของผู้ประกอบการมือถือในอนาคต และพบว่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างแรก คือ การแก้ไขมติ กสทช. ที่อนุญาตให้ DTAC และ TRUE ควบรวมกันได้โดยให้มีผลย้อนหลัง อย่างที่สอง คือจะมีการควบคุมการคิด ค่าบริการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดค่าครองชีพที่สูงขึ้นของคนไทย และอย่างสุดท้าย คือการอนุญาตให้มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาแข่งในธุรกิจนี้
กูรูชี้ “ยกเลิกการผูกขาด” กระทบจำกัด
ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์มองว่าผลกระทบจากนโยบายของพรรคก้าวไกลต่อธุรกิจมือถือน่าจะจำกัด โดยผลกระทบอย่างแรก มองว่าการยกเลิกดีลควบรวมย้อนหลังมีความเป็นไปได้ต่ำ เนื่องจาก 1. ตามหลัก “กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง (Ex post facto law) ไม่สามารถมีผลย้อนหลังได้ ดังนั้นการแก้ไขกฎหมายการควบรวมกิจการจะไม่ส่งผลกับการควบรวมที่เกิดขึ้นแล้วของ DTAC และ TRUE, 2. นอกจาก กสทช. แล้ว ศาลยังเชื่อว่า DTAC และ TRUE สามารถควบรวมกันได้โดยแจ้งให้ กสทช. ทราบเท่านั้น
ส่วนผลกระทบอย่างที่สอง คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาแทรกแซงการกำหนดราคาค่าบริการ แต่การ บังคับใช้ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ เพราะการแทรกแซงราคาต้องดำเนินการผ่านตัวกลางที่เป็นองค์กรอิสระอย่าง กสทช. ซึ่งรับผิดชอบโดยตรงในการกำกับดูแลธุรกิจนี้ นอกจากนี้ ค่าบริการในปัจจุบันของผู้ประกอบการยังต่ำกว่าระดับที่ทางการกำหนดไว้
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ sensitivity พบว่า ARPU ที่ลดลงทุกๆ 1% จะทำให้กำไรของ ADVANC ลดลง 3% และทำให้ผลขาดทุนของ TRUE ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.1 พันล้านบาท จากเดิมที่ 650 ล้านบาท ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแข่งขันมากขึ้นจากการเพิ่มผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตลาดมือถืออิ่มตัวแล้ว โดยมี penetration rate สูงถึง 130% ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาแข่งเพราะต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในส่วนของโครงข่ายและคลื่น
ราคาหุ้นอยู่ในระดับน่าสนใจ
เนื่องจากผลกระทบไม่น่าจะมีนัยสำคัญ ในขณะที่ราคาของหุ้น TRUE และ ADVANC กลับลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนที่ DTAC และ TRUE จะควบรวมกัน ซึ่งแม้ว่าผลประกอบการของ TRUE ในไตรมาส 1/66 จะอ่อนแอ แต่อานิสงส์จากการประหยัดต้นทุนเพราะการควบรวมไม่ได้หายไปไหน ขณะเดียวกัน ADVANC อาจเผชิญความท้าทายจากการควบรวมกับ 3BB
แต่ฝ่ายวิเคราะห์ ประเมินว่า 3BB จะไม่ได้เพิ่มมูลค่าให้กับ ADVANC เพราะมีผลขาดทุนจากการทำสัญญาที่เงื่อนไขไม่ดีนักกับ JASIF ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสัดส่วน Risk/reward แล้วทั้ง ADVANC และ TRUE ถือเป็นหุ้นปลอดภัยที่เข้าลงทุนได้ จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 250 บาท และ 9 บาท ตามลำดับ
ด้านแนวโน้มการเติบโตของแต่ละบริษัท สำหรับ ADVANC บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังคงคาดการณ์กำไรทั้งปี 2566 ที่ 28,084 ล้านบาท โต 9% โดยช่วงที่เหลือคาดการเติบโตเร่งขึ้นสอดคล้องกับเป้าบริษัทที่คง EDITDA ทั้งปีประมาณ 4-5% จากไตรมาส 1/66 ที่อยู่ที่ 1% หนุนจากกลยุทธ์ไม่เน้นแข่งราคาและมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพทำกำไร
ขณะที่ไตรมาส 2/66 คาดกำไรจะโตทั้งจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ตามการแข่งขันราคาที่น้อยลงเต็มไตรมาสกับสัดส่วนผู้ใช้ 5G ที่สูงขึ้นจาก 16% ในไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงต้นทุนค่าไฟต่อหน่วยจะลงราว 12% จากไตรมาส 1/66 ตั้งแต่เดือนพ.ค. เป็นต้นไป ดังนั้นจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 252 บาท และยกให้เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ
ขณะที่ TRUE บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2566 จาก 3,500 ล้านบาท ลงเป็น 396 ล้านบาท หลักๆ มาจาก 1. การปรับลดสมมติฐานรายได้มือถือและรายได้ Online เป็นเติบโต 1% จากปีก่อน, 2. การปรับลด Device margin ลงเป็น -3% และ 3. ปรับลด Synergy ที่คาดจะเกิดขึ้นกับ Cost of service ให้เกิดขึ้นน้อยลง 1,000 ล้านบาท การปรับลดสมมติฐานเพื่อให้สะท้อนโอกาสเกิด Synergy ที่ช้าลงและความเสี่ยงจากการถูกควบคุมที่จะเข้มข้นขึ้นในระยะถัดไป
ด้วยผลของการปรับลดประมาณการทำให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ปรับลดเป็น 8.40 บาท แต่ยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยราคาหุ้นปรับตัวลงรับความเสี่ยงไปมากแล้ว หากการควบคุมเกิดขึ้นช้าหรือไม่เข้มข้น หุ้นมีโอกาส Rebound ในระยะถัดไป ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงแนะนำทยอยสะสม ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแนะนำรอผลการจัดตั้งรัฐบาลและนโยบายที่ชัดเจน
โฆษณา