พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ จังหวัดตรัง

บ้านประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นเรือนพักของคอซิมบี๊ ณ ระนอง
เที่ยวล่องท่องเมืองกันตัง จังหวัดตรังครั้งนี้ ผู้เขียนตั้งใจบรรจุ “พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์” ไว้เป็นหนึ่งจุดหมาย เพราะเป็นที่ตั้งของสถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญอายุนับร้อยปี คือ “จวนเก่าเจ้าเมืองตรัง” หรือบ้านพักอดีตเจ้าเมืองตรังพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ซึ่งท่านได้พัฒนาเมืองให้เจริญก้าวหน้าจนกลายเป็นเมืองเกษตรกรรม จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลภูเก็ต และเป็นผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล ณ ระนอง
มองดูเรือนไม้สีเขียวเก่าแก่หลังนี้ หลายคนอาจตั้งคำถามว่ามีความนาสนใจอย่างไร สำหรับเราอย่างแรกคือการตั้งใจเก็บรักษาบ้านอายุนับร้อยปีให้ตกทอดเป็นมรดกทางภูมิปัญญาสู่คนรุ่นลูกหลาน ซึ่งอาจไม่เคยรู้ว่าสมัยก่อนเครื่องอำนวยความสะดวกในบ้านไม่ได้มีมากมายให้เลือกสรรเหมือนสมัยนี้
อย่างที่สอง การก่อสร้างเรือนไม้ให้โปร่ง โล่ง ล้อมรอบด้วยสีเขียวของต้นไม้ทุ่งหญ้า อาจเป็นเรื่องธรรมดาของหลายๆ ครอบครัว แต่คนที่ต้องมาจากเมืองคอนกรีตอย่างผู้เขียน การได้เดินรับลมชมบ้านที่ให้ความรู้สึกเบาสบาย มองทางไหนก็สบายตา เหมือนได้ใช้เวลาพักผ่อน
อย่างที่สาม แนวคิดหลักในการจัดพิพิธภัณฑ์นี้กำหนดไว้ให้เสมือนเจ้าของบ้านยังคงอยู่ โดยมี “หุ่นจำลองพระยารัษฎาฯ” ในท่านั่งเสมือนยังคงมีชีวิต
หุ่นจำลองคอซิมบี้ ณ ระนอง เดินเข้ามาก็เหมือนเจ้าของบ้านรอต้อนรับเราอยู่
ก่อนจะเดินเข้าเรือนอดีตเจ้าเมืองตรัง เรามาทำความรู้จักเจ้าของบ้านกันพอสังเขปก่อน
พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) มีชีวิตอยู่ระหว่าง 8 เมษายน พ.ศ. 2400 – 10 เมษายน พ.ศ. 2456 เป็นบุตรคนสุดท้องของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง ณ ระนอง) ชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 3 และนางกิม ณ ระนอง ชื่อ "ซิมบี๊" เป็นภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า "ผู้มีจิตใจดีงาม"
เมื่ออายุได้ 9 ปี ได้ติดตามบิดาเดินทางกลับไปประเทศจีนและอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 2 ปี ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และได้ดูแลกิจการแทนบิดา ทั้ง ๆ ที่มิได้เรียนหนังสือ มีความรู้หนังสือเพียงแค่ลงลายมือชื่อตนได้เท่านั้น แต่มีความสามารถพูดได้ถึง 9 ภาษา บิดาจึงหวังจะให้สืบทอดกิจการการค้าแทนตน มิได้ประสงค์จะให้รับราชการเลย
บิดาถึงแก่กรรมขณะคอซิมบี๊อายุได้ 25 ปี พระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก้อง ณ ระนอง) ผู้เป็นพี่ชาย (ต่อมามีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร) ได้นำเข้ารับราชการเป็นครั้งแรก โดยเข้าเฝ้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงบริรักษ์โลหวิสัย ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนอง ต่อมา ได้เลื่อนเป็นผู้ว่าราชการเมืองกระบี่ บรรดาศักดิ์ พระอัษฎงคตทิศรักษา แล้วได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง
น้องเหมียวขาวเมืองตรัง รอต้อนรับหน้าบ้าน
พระยารัษฎานุประดิษฐ์ เมื่อรับตำแหน่งเจ้าเมืองตรัง ได้พัฒนาปรับปรุงสภาพหลายอย่างในเมืองตรังให้เจริญรุ่งเรืองหลายอย่าง ด้วยกุศโลบายส่วนตัวที่แยบยล เช่น การตัดถนนที่ไม่มีผู้ใดเหมือน รวมทั้งส่งเสริมชาวบ้านให้กระทำการเกษตร เช่น ให้เลี้ยงไก่โดยบอกว่า เจ้าเมืองต้องการไข่ไก่ ให้เอากาฝากออกจากต้นไม้ โดยบอกว่าเจ้าเมืองต้องการเอาไปทำยา ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกาแฟ และยางพารา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการนำยางพารามาปลูกที่ภาคใต้ จนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นในปัจจุบัน
ในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย ได้จัดตั้งกองโปลิศภูธรขึ้นแล้วซื้อเรือกลไฟไว้เป็นพาหนะตรวจลาดตระเวน บังคับให้ทุกบ้านเรือนต้องมีเกราะตีเตือนภัยไว้หน้าบ้าน หากบ้านใดได้ยินเสียงเกราะแล้วไม่ตีรับจะมีโทษ เป็นต้น
พระยารัษฎานุประดิษฐ์มีวิธีการบริหารปกครองแบบไม่มีใครเหมือน โดยใช้หลักเมตตาเหมือนพ่อที่มีต่อลูก เช่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามนโยบายก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก แต่การลงโทษนั้นให้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนผู้นั้น เช่น ให้ไปทำนา เป็นต้น ชาวบ้านถือมีดพร้าผ่านมาก็จะขอดู ถ้าพบว่าขึ้นสนิมก็จะดุกล่าวตักเตือน แม้แต่ข้าราชการก็อาจถูกตีศีรษะได้ต่อหน้าธารกำนัลถ้าทำผิด หรือแม้กระทั่งดูแลให้ชาวบ้านสวมเสื้อเวลาออกจากบ้าน
ข้าวของเครื่องใช้ อายุนับร้อยปี
พระยารัษฎานุประดิษฐ์ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรังนาน 11 ปี ในปี พ.ศ. 2444 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นสมุหเทศาภิบาล มณฑลภูเก็ต รับผิดชอบดูแลหัวเมืองตะวันตก ตั้งแต่ภูเก็ต ตรัง กระบี่ พังงา ตะกั่วป่า ระนอง และสตูล มีผลงานเป็นที่เลื่องลือไปถึงหัวเมืองมลายูและปีนัง ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2456 ด้วยสาเหตุเจ็บป่วยจากการถูกคนสนิทยิงพร้อมกับพระสถลสถานพิทักษ์ (คอยู่เกียด ณ ระนอง) หลานชาย ที่ท่าเทียบเรือกันตัง สิริอายุได้ 56 ปี
ทำความเข้าใจเกียรติประวัติเจ้าของบ้านกันแล้ว เราก้าวเข้าประตูย้อนเวลากลับไปกว่าร้อยปีก่อนกันเลย เพราะเรือนไม้สองชั้นสีเขียวหลังนี้จัดแต่งไว้เช่นเดียวกับเมื่อพระยารัษฎาฯ ยังอาศัยอยู่ ตัวบ้านตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่เรียกว่าควนหน้าค่าย ปัจจุบันเป็นสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของตระกูล “ณ ระนอง” และอนุญาตให้โรงเรียนกันตังพิทยากร เข้ามาดำเนินการจัดการพิพิธภัณฑ์ ทำหน้าที่ดูแลและให้บริการความรู้ต่างๆ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535
เพราะชาวกันตังและเทศบาลเมืองกันตังเห็นว่าบ้านหลังนี้คือหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ควรรักษาไว้คู่เมืองตรัง จึงคิดจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงอัตชีวประวัติและผลงานของพระยารัษฎาฯ ให้ชาวตรังได้ศึกษา จดจำ
 
วัตถุจัดแสดงภายในมีทั้งเครื่องเรือน ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องพิมพ์ดีดเก่า ตลับเมตร ตู้ เตียง เก้าอี้ และภาพถ่ายเก่า แสดงให้เห็นการดำเนินชีวิตภายในเรือน และแสดงให้เห็นสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของเรือนกับบุคคลอื่นๆ ในช่วงชีวิต
ห้องนอนบนชั้นสอง รักษาไว้ในสภาพเดิม
เรือนไม้หลังนี้ยังนับเป็นมรดกอันล้ำค่าทางสถาปัตยกรรม เพราะความเฉียบคมในแง่การก่อสร้างแต่ครั้งโบราณ เป็นภูมิปัญญาการก่อสร้างที่ใช้คอนกรีตเฉพาะส่วนที่เป็นโครงฐาน และส่วนที่แยกจากตัวบ้าน ซึ่งมีโอกาสสัมผัสแดด และฝนมาก การออกแบบคล้ายกับเรือนไทย คือแยกครัวออกจากเรือนหลัก เพื่อไม่ให้กลิ่นควันรบกวนตัวบ้าน อีกทั้งเพื่อความปลอดภัยในเรื่องอัคคีภัยที่จะไม่ลามถึงตัวบ้าน
มองออกไปทางไหนก็สบายตา
การออกแบบยังตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมดีมาก สะท้อนจากการทำช่องระบายอากาศเกือบทุกจุดของบ้าน เป็นไม้ระแนงขัดสานกันแทนช่องลมโดยรอบ ชายหลังคากันฝนสาดเข้าอาคารได้ดี ที่สำคัญมีเอกลักษณ์ที่พบน้อยมากคือ เพดานค่อนข้างสูงกว่าอาคารทั่วไป เพื่อช่วยให้อากาศร้อนลอยสู่ด้านบนได้ดี ขณะที่ด้านหลังอาคารมีบันไดอีกชุดหลบไว้ ทางวิชาการเรียกบันไดเซอร์วิสสำหรับคนรับใช้ และมีประตูปิดล็อกได้จากชั้นบนเพื่อความปลอดภัย
จัดสัดส่วนพื้นที่ใช้งานค่อนข้างดีมาก มีห้อง และสัดส่วนพื้นที่เยอะมาก เข้าใจว่าตามวัตถุประสงค์ของการใช้ทำงานของพระยารัษฎาฯ ทั้งห้องทำงาน ห้องพักผ่อน ห้องรับแขก ฯลฯ หน้าต่างมีกลไกที่เป็นบานเกล็ดเปิด-ปิดได้ โดยใช้กลไกที่เป็นไม้ทั้งหมด ซึ่งความรู้ด้านนี้ในยุคนั้นส่วนใหญ่เป็นบ้านที่สร้างในต่างประเทศ
ตลอดเรือนออกแบบให้โปร่ง โล่ง ตอบสนองสิ่งแวดล้อมอย่างดี
ด้วยเหตุออกแบบก่อสร้างอันแยบคายเช่นนี้ จึงทำให้การใช้เวลาเดินชมทั้งสองชั้นเป็นไปอย่างผ่อนคลาย เย็นสบาย มีกระแสลมพัดโชยเป็นระยะ เรียกว่ายินยอมพร้อมใจย้อนอดีตกาลอยู่ที่นี่เพลินจนลืมดูนาฬิกากันเลยทีเดียว
ในแง่ของจิตใจ บ้านที่กันตังหลังนี้พระยารัษฎาฯ พักอยู่นานที่สุด ก่อนจะย้ายไปเป็นสมุหเทศาภิบาลภูเก็ต จึงถือว่าได้สะท้อนแนวคิดและตัวตนของท่านมากที่สุด มีความหมายลึกซึ้งกว่าวัตถุที่เราเห็น
ตลอดเรือนออกแบบให้โปร่ง โล่ง ตอบสนองสิ่งแวดล้อมอย่างดี
“พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ จังหวัดตรัง” เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ (ถ้าตรงกับวันหยุดราชการเปิดตามปกติ และหยุดชดเชยในวันต่อไป) เวลา 8.00 -16.30 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม
หน้าต่างมีกลไกที่เป็นบานเกล็ดเปิด-ปิดได้ โดยใช้กลไกที่เป็นไม้ทั้งหมด
ผู้เข้าชมเป็นคณะที่ต้องการวิทยากรบรรยาย กรุณาแจ้งล่วงหน้าที่ โรงเรียนกันตังพิทยากร โทร. 0 7527 4151-8)
โฆษณา