6 มิ.ย. 2023 เวลา 12:30 • ประวัติศาสตร์

มองเขา มองเรา: เพศ...ไม่ได้มีแต่ชายจริงหญิงแท้

และแล้วเดือนมิถุนายนก็ได้มาถึง หลังจากที่บางท่านบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีเงินจะใช้แล้ว ก็ดีใจกับบางท่านด้วยที่ถึงรอบเงินเดือนสักที กับต้องเตรียมตัวแสดงความยินดีสำหรับบางท่านที่ได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แล้วกำลังจะได้เป็นเศรษฐีเงินล้าน บอกตรง ๆ ว่า ได้กลิ่นของความรวยลอยมาแต่ไกล จนแอดมินรู้สึกอิจฉา
พอ ๆ กับที่ทุกท่านและแอดมินได้กลิ่นของความเจริญลอยมา เมื่อได้พรรคก้าวไกลกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยร่วมกันเป็นรัฐบาล หลังจากขับเคี่ยวกันมาอย่างแสนสาหัส ไหนจะสารพัดความผิดพลาดส่อเจตนาโกงของกกต. ไหนจะความดื้อรั้นหัวแข็งของส.ว. ทั้ง 250 คน หรือแม้แต่ความพยายามในการป้ายสี ปลุกปั่นให้เกิดความสับสนจากคนที่มีความเห็นต่าง บัดนี้ สิ่งที่ทุกท่านและแอดมินลอยคอ เอ้ย! รอคอยมานานก็ได้อุบัติขึ้นแล้วบนมนุษยโลกนี้
รวมถึง “ความหลากหลายทางเพศ” ที่ทุกท่านส่วนใหญ่ช่วยกันผลักดันมาตลอด ก็น่าจะได้รับการสนองตอบแล้ว เมื่อพรรคก้าวไกลได้มาเป็นรัฐบาล ผ่านนโยบายการ #สมรสเท่าเทียม ที่ได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปหลายต่อหลายครั้งด้วยกันในรัฐบาลก่อน ถึงแม้จะมีการเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีความเสรีเท่าที่ควร ถ้าเทียบกับกัญชาเสรี ที่ไม่รู้ว่าจะเสรีไปเพื่ออะไรกันแน่ แต่ก็ออกมาพี้กันอย่างโจ่งครึ่มซะแล้ว น่าคิดไหมละครับทุกท่าน
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าบางคน แค่ปากบอกว่าเปิด แต่ใจจริงส่วนลึกแล้วก็ไม่ยอมเปิดตามเท่าไร หรือที่จริงแล้วในประเทศไทยมีได้เฉพาะแต่ชายหญิงเท่านั้น แล้วความหลากหลายทางเพศที่นำมาสู่การเรียกร้องให้มีการสมรสเท่าเทียมนั้น เพิ่งเกิดขึ้นแล้วมาบูม! ในปัจจุบันนี้ หรือมีมานมนานกาเลปูนาขาเกตัวใหญ่เสียไม่มีแล้วกันแน่ จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ในการศึกษาและทำความเข้าใจไปพร้อมกัน ยังให้ความหลากหลายทางเพศเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่าง “เต็มใบ” สักที
จากความเข้าใจของทุกคน (ในสมัยก่อน) จะรู้กันดีว่า เพศจะมีได้เฉพาะชายหญิงเท่านั้น ส่วนเพศอื่น ๆ ก็จะถูกจัดให้เป็นกลุ่มชายขอบทางสังคม มากไปกว่านั้นคือ การมองว่าเป็นพวก “ผิดผี” ไม่ก็ “ผิดเพศ” หรือเป็น “สิ่งเสื่อมทรามทางศีลธรรม” ซึ่งในสมัยที่แอดมินกำลังโตนะครับ แค่แอดมินเรียบร้อยไปนิดเดียวเอง แอดมินก็ถูกถามแล้วว่า เป็นผู้ชายหรือเปล่า? หนักไปกว่านั้นคือถูกล้อเลียนเสียดว่า แอดมินเป็นตุ๊ดบ้าง เป็นกะเทยบ้าง มัวซั่วกันไปหมด
แอดมินก็ไม่เข้าใจว่าคน ๆ นั้นเขาทำไปแบบนั้นทำไม แล้วตุ๊ดกับกะเทยผิดอะไร ทำไมถึงเอามาล้อกันแบบนี้ เราก็อยู่ของเราดี ๆ แท้ ๆ แต่ตอนนั้นแอดมินก็ได้แค่โกรธและอดทนมาตลอด ตั้งแต่แอดมินเรียนชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 เลยครับ อดทนมาราธอนมาก แต่ยังดีที่แอดมินมีพ่อแม่ พี่น้องที่เข้าใจเรา ขณะเดียวกัน แอดมินยังคิดเลยว่า การที่เราอดทน เก็บ ๆ มาตลอดแบบนี้ มันทำให้แอดมินเป็นคนเก็บกดด้วยหรือเปล่า
แล้วแอดมินก็ยังมาคิดอีกว่า นี่คือสิ่งที่สังคมไทยพยายามหล่อหลอมความคิดของเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังเกิดและเติบโตให้เห็นว่า เพศมีเพียงชายหญิงเท่านั้น มีวิธีการหลากหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น หนังสือ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ แม้แต่ในทางศาสนาก็พยายามกล่อมเกลาเรื่องความหลากหลายเพศให้กลายเป็นเรื่องของการ “รับกรรม” อย่างหนึ่ง อันเกิดมาจาก “กรรมเก่า” ที่ได้ไปล่วงละเมิดทางเพศกับผู้อื่นไว้เมื่อ “ชาติที่แล้ว”
เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่ดูเหมือนจะเป็นความพยายามในการจำกัดขอบเขตเรื่องเพศเอาไว้ที่ชายหญิง เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างไว้อย่างดีแล้ว ถูกต้องแล้ว
แต่หากได้มีโอกาสไปสืบค้นจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ก็จะพบว่า เรื่องของความหลากหลายทางเพศนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพียงแค่ไม่ได้เปิดเผยเท่านั้นเอง เช่น ในช่วงศตวรรษที่ 18 มีสถานเริงรมย์ที่ชื่อว่า “มอลลีเฮาส์” (Molly House) ที่คนในสมัยนั้นคิดว่า เป็นแหล่งที่ผู้ชายชอบมาพบกัน ก่อนกลับไปหาครอบครัว ซึ่งมีภรรยาและลูก ๆ คอยอยู่ที่บ้าน
ภาพวาดชาย 41 คนที่แต่งกายด้วยชุดสูทและชุดราตรีอย่างผู้หญิงกำลังเต้นรำร่วมกัน ซึ่งได้มีการระบุไว้ว่าเป็นที่ “มอลลีเฮาส์” (Molly House) ในปี ค.ศ. 1901 (พ.ศ. 2444, ภาพ: Anti Racist Cumbria)
หรือในสหราชอาณาจักร ช่วงทศวรรษที่ 1950 (ค.ศ. 1950 – 1959 หรือ พ.ศ. 2493 – 2502) ได้มีนิตยสารหนึ่งชื่อ “ฟิล์มแอนด์ฟิล์มมิง” (Film & Filming) เริ่มวางแผงจำหน่ายในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับชายรักชาย และมีพื้นที่สำหรับโฆษณาหาหนุ่มโสดที่มีความสนใจแบบเดียวกัน เช่น รูปร่าง ภาพถ่าย ไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่มวยปล้ำ ซึ่งนิตยสารดังกล่าวมักจะมีการสอดแทรกการซื้อขายกันแบบพรางตาบนชั้นหนังสือ
แต่หลังจากที่มีการออกพระราชบัญญัติความผิดทางเพศ (Sexual Offences Act) ปี ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) ความผิดฐานการมีเพศสัมพันธ์แบบร่วมเพศ หรือเพศเดียวกันในประเทศอังกฤษและเวลส์ สหราชอาณาจักรได้ถูกยกเลิก เป็นผลให้นิตยสารดังกล่าวมีการวางจำหน่ายอย่างกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม
นิตยสาร ฟิล์มแอนด์ฟิล์มมิง (Film & Filming) ช่วงปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517, ภาพ: Design You Trust)
นอกจากเรื่องของความสัมพันธ์แบบ “ชาย-ชาย” แล้ว แบบ “หญิง-หญิง” ก็มีเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการอภิปรายถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับการกระทำลามกอนาจาร ระหว่างชาย 2 คน ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในปี ค.ศ. 1885 (พ.ศ. 2428)
จนในปี ค.ศ. 1921 (พ.ศ. 2464) ได้มีการอภิปรายถึงกฎหมายที่คล้ายคลึงกันเพื่อใช้กับผู้หญิงที่มีพฤติการณ์ร่วมเพศ แต่ก็ไม่ได้รับการสานต่อ ส่วนหนึ่งมาจากสภาขุนนางที่ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ และคิดว่าผู้หญิงถูกชักจูงง่าย ถ้าได้ยินว่ามีความสัมพันธ์แบบหญิง-หญิง พวกเขาก็อาจจะเปิดใจแล้วลองทำบ้าง
แล้วในช่วงทศวรรษ 1950 นี่เอง ก็มีการค้นพบว่า ผู้ชายชั้นแรงงานในเมืองยอร์ก ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร ต่างยินดีที่จะมีเพศสัมพันธ์กันแบบนอกสถานที่ (Out Door) คือ ตามทุ่งหญ้า ท้องนา ไม่ก็หลังผับ ที่ทำงาน หรือบ้านของแต่ละฝ่าย
เรื่องนี้ได้มีการให้ข้อมูลเสริมอีกว่า เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในชุมชนของพวกเขา บางรายก็มีครอบครัวแล้ว แต่ยังมีการนัดชายอื่นไปมีเพศสัมพันธ์ถึงในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งคู่ครองของพวกเขาก็รับรู้ในเรื่องนี้ เหนือสิ่งอื่นใดหากสิ่งที่ตนเองทำมันไม่ได้เกิดผลกระทบในหน้าที่การงาน หรือชีวิตครอบครัวที่ต้องจบด้วยการหย่าร้างแล้ว ก็เป็นสิ่งที่สามารถยอมรับได้
นอกจากนั้น ความหลากหลายทางเพศก็เป็นในลักษณะของการลื่นไหลทางเพศอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ปรากฏขึ้นในปี ค.ศ. 1394 (พ.ศ. 1937) เมื่อมีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า “อีลีนอร์ ไรเคนอร์” ถูกจับกุมขณะกำลังมีเพศสัมพันธ์กับชายที่ชื่อว่า “จอห์น ริกบี้” ใกล้กับมหาวิหารเซนต์พอล กรุงลอนดอน
ตำรวจได้สอบสวนแล้ว พบว่า ทั้งสองมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่บางครั้งก็เป็นผู้ชาย บางครั้งก็เป็นผู้หญิง แม้แต่บางครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ก็จะได้รับค่าตอบแทนบ้าง บางครั้งก็ไม่ได้ และที่สำคัญ อีลีนอร์เองก็มีชื่อว่า “จอห์น” เช่นเดียวกับ “ริกบี้” ด้วย
ภาพลายเส้นมหาวิหารเซนต์พอล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร เมื่อปี ค.ศ. 1753 (ภาพ: British Library)
รวมถึงในช่วงทศวรรษที่ 1960 (ค.ศ. 1960 – 1969 หรือพ.ศ. 2503 – 2512) เมื่อลินน์ คอนเวย์ (Lynn Conway) นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่บริษัทไอบีเอ็ม (IBM) ได้ถูกไล่ออกจากที่ทำงานหลังจากพบว่า เธอเป็นคนข้ามเพศ แล้วมีแผนที่จะไปผ่าตัดแปลงเพศให้เป็นเพศหญิง เป็นผลให้ชีวิตในหน้าที่การงานดับลง พร้อมกับโครงการของเธอเกี่ยวกับการสนทนาผ่านคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วต้องยุติลง
ต่อมาในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ทางบริษัทต้นสังกัดเดิมของเธอได้ออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการกับเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน กับเธอซึ่งอยู่ในวัยกว่า 80 ปี
ลินน์ คอนเวย์ (Lynn Conway, ภาพ: Michigan-Engineering)
เมื่อ “มองเขา” เสร็จแล้วก็กลับมา “มองเรา” กันบ้าง ในเมื่อสหราชอาณาจักรที่ว่า ความหลากหลายทางเพศเกิดขึ้นอย่างลับ ๆ แล้ว ประเทศไทยคงเกินไปกว่าคำว่า “ลับ” ด้วยซ้ำไป
เพราะในสมัยโบราณ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นจารีตประเพณี เต็มไปด้วยพิธีรีตองต่าง ๆ ที่มีความยึดโยงกับหลักความเชื่อ ศาสนา ใครที่มีบุคลิกหรือการกระทำอันใดที่แลดูประหลาด ๆ แล้ว ก็จะถูกมองว่าคน ๆ นั้น “ถูกผีเข้า” ไม่ก็ “คนบ้า” หรือ “คนมีกรรม” จึงทำให้แม้แต่เรื่องเพศ เป็นสิ่งที่ไม่อาจแสดงออกมาได้ เพราะความเป็น “ชายจริงหญิงแท้” ครองความเป็นหนึ่ง
แต่ท่ามกลางความเป็นชายจริงหญิงแท้นั้น ก็มีเรื่องราวของความหลากหลายทางเพศได้เกิดขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เขตพระราชฐานชั้นใน สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3
โดยเป็นเรื่องของหม่อมสุด และหม่อมขำ ซึ่งเดิมเป็น “หม่อมห้าม” ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ หลังจากกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทิวงคตแล้ว ก็ได้มารับราชการในพระบรมมหาราชวัง โดยประจำอยู่ที่พระตำหนักของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยที่หม่อมสุดมาก่อน แล้วหม่อมขำได้ตามมาภายหลัง เนื่องจากหม่อมสุดรู้หนังสือดี มักโปรดให้หม่อมสุดถวายงานกรมหมื่นอัปสรฯ ด้วยการอ่านบทกลอนถวายเมื่อบรรทมเสมอ ซึ่งเรื่องราวก็มีอยู่ว่า
คืนหนึ่ง หม่อมสุด ซึ่งได้รับหน้าที่อ่านหนังสือถวายเมื่อบรรทม จนล่วงเวลาไปเที่ยงคืนแล้ว กรมหมื่นอัปสรฯ ยังไม่ทรงพระบรรทม จึงทำให้หม่อมสุดรู้สึกกระวนกระวายมาก เพราะทิ้งให้หม่อมขำคอยท่าอยู่นานแล้ว จนเมื่อรู้สึกว่าทรงพระบรรทมแล้ว หม่อมสุดจึงปิดหนังสือ แต่ด้วยใจที่ยังกระวนกระวายจึงค่อย ๆ เงียบหูฟัง แล้วได้ยินเสียทรงแกล้งไอ เป็นทีว่ายังตื่นบรรทมอยู่ ทำให้หม่อมสุดต้องอ่านหนังสือต่อ
จนสังเกตว่า ทรงพลิกพระวรกายกลับหมายว่าทรงพระบรรทมสนิทแล้ว ก็สบโอกาสที่ทั้งหม่อมสุดและหม่อมขำได้ดับเทียนที่ปลายพระบาท แล้วเอาผ้าคลุมโปงแล้ว “เล่นเพื่อน” กันอย่างกอดรัดฟัดเวี่ยง ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้มีซุบซิบกันอย่างเซ็งแซ่ จนทำให้กวีชื่อดังของยุคอย่างคุณสุวรรณนำเรื่องดังกล่าวไปแต่งเป็นเพลงยาวที่มีชื่อว่า “หม่อมเป็ดสวรรค์” จนเรื่องนี้ (น่าจะ) ทราบไปถึงพระกรรณ (หู) ของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพด้วย แต่ก็ไม่ทรงลงโทษแต่อย่างใด
เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ต้องถูกลงโทษตามที่ระบุไว้ใน มาตราที่ 124 ของกฎมณเฑียรบาลว่า หญิงใดผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ หญิงผู้นั้นต้องลงโทษด้วยลวดหนัง 50 ที พร้อมสักคอประจานรอบพระราชวัง หากแต่สิ่งที่กรมหมื่นอัปสรสุดเทพทรงทำ คือการตรัสเรียกหม่อมสุดว่า “คุณโม่ง” เพราะได้คลุมโปงเล่นอุตลุดกับหม่อมขำที่ปลายพระบาท ส่วนหม่อมขำก็ถูกตรัสเรียกว่า “หม่อมเป็ด” เพราะมีกิริยาการเดินที่โยกย้ายส่ายเหมือนเป็ดไป
ความตอนหนึ่งจากเพลงยาวเรื่อง “หม่อมเป็ดสวรรค์” จากหนังสือ กลอนเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ และพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร พิมพ์ชำร่วยในการทอดกฐินพระราชทานของกรมศิลปากร ณ วัดเทพธิดาราม ๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๗
มีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการเล่นเพื่อนที่เป็นที่ร่ำลือไม่ต่างกัน หากแต่เรื่องราวจบลงด้วยโศกนาฏกรรม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2449 เจ้าหญิงยวงแก้ว สิโรรส ซึ่งเป็นผู้ที่มีใบหน้าที่สิริโฉม หากแต่มีอัธยาศัยที่ห้าวหาญแสงงอนและดุดัน ซึ่งอยู่ที่ตำหนักเจ้าดารารัศมี พระราชชายาได้ทรงคบหากับหม่อมราชวงศ์หญิงวงศ์เทพ ผู้อยู่ในตำหนักของเจ้านายพระองค์หนึ่งในพระบรมมหาราชวัง
เผอิญว่า หม่อมราชวงศ์หญิงวงศ์เทพผู้นี้ก็มีคนที่คบหาอยู่ก่อนแล้วชื่อ “นางสาวหุ่น” จนกลายมาเป็นสงครามความรักระหว่างเจ้าหญิงยวงแก้วกับนางสาวหุ่น ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามสู้ด้วยไหวพริบปฏิภาณ ซึ่งในระหว่างศึกนั้น นางสาวหุ่นได้ทำการ “เล่นไม่ซื่อ” ด้วยการประโคมข่าวว่า เจ้าหญิงยวงแก้วหลงไหลในหม่อมราชวงศ์หญิงวงศ์เทพมาก จนถึงกับมีการนำของมีค่าที่ได้รับประทานจากพระราชชายาเจ้าดารารัศมีมาปรนเปรอจนหมดสิ้น
เมื่อเรื่องแดงไปทั่วเขตพระราชฐานชั้นใน จนถึงพระกรรณองค์พระราชชายาแล้ว ทรงกริ้วมากถึงกับมีรับสั่งให้นำของมาคืนพระองค์ให้หมด พร้อมคาดโทษว่าจะส่งกลับนครเชียงใหม่ให้เร็วที่สุด สร้างความอับอายให้กับเจ้าหญิงยวงแก้วเป็นอย่างมาก ถึงกับไม่กล้าสบตาใครต่อใครไป 2 – 3 วัน พระองค์จึงไปปรับทุกข์กับเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ เพื่อนร่วมพระตำหนัก ซึ่งเจ้าหญิงบัวชุมผู้นั้นก็แสนดีมาก ทรงปลอบใจให้เจ้าหญิงยวงแก้วได้คลายโศกลงบ้าง
แต่ทว่าหลังจากเจ้าหญิงบัวชุมบรรทมสนิทแล้ว เจ้าหญิงยวงแก้วจึงได้ตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นบนสุดของตำหนัก แล้วกระโดดลงมาอย่างไม่กลัวตาย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพระองค์ ในคืนนั้นเจ้าหญิงยวงแก้วได้ถูกหามนำตัวไปรักษาที่โรงหมอฝรั่งทางประตูผี ท้องที่อำเภอสำราญราษฎร์ แต่ก็ได้ถึงแก่พิราลัยในวัย 19 ปี
ตำหนักพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ในพระบรมมหาราชวัง (ภาพ: Pantip)
นั่นก็เป็นเรื่องของ “การเล่นเพื่อน” แน่นอน ชายกับชายก็ไม่พลาดเช่นกัน หากแต่การมีเพศสัมพันธ์จะถูกเรียกว่า “เล่นสวาท” โดยการเล่นสวาทเกิดเป็นเรื่องขึ้นเมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงรักษ์รณเรศ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ได้ถูกกล่าวหาหลายเรื่อง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งการไม่ใส่ใจในราชการ เบียดบังเงินเบี้ยหวัดและเงินสำหรับบำรุงวัดพระพุทธบาท
แต่ที่อื้อฉาวมากที่สุด คือ การประพฤติพระองค์ในทางเล่นสวาท อันเป็นการแสดงความรักใคร่ที่ผิดธรรมชาติ (ในสมัยนั้น) อย่างเปิดเผย อนึ่ง พระองค์ก็ทรงมีคณะละครส่วนพระองค์ที่ส่วนใหญ่มีแต่นักแสดงผู้ชายล้วน จนเป็นเหตุให้พระองค์ไม่ยอมเข้าบรรทมกับพระชายา ตลอดจนเจ้าจอมทั้งหลายของพระองค์
เป็นเหตุให้พระองค์ถูกลงโทษแต่ไม่ถึงกับประหาร โดยการถอดพระอิสริยยศเหลือเพียงแค่ "หม่อมไกรสร" แต่สุดท้ายพระองค์ก็สิ้นพระชนม์อยู่ดี เพราะด้วยเหตุที่ว่า ได้มีการเตรียมพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ถึงกับมีการตั้งวังหน้าไว้พร้อมแล้ว ไม่ต่างอะไรกับการคิดกบฏ จึงถูกสำเร็จด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคาในที่สุด
รูปปั้นหม่อมไกรสร ณ วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา (ภาพ: Tnews)
เรื่องของการร่วมเพศก็ถูกปกปิดมาอย่างต่อเนื่อง เพราะถูกมองว่าเป็นเรื่องอันทรามเสียแก่วงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง ซึ่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เอง การเล่นสวาทก็มีปรากฏอยู่แม้ในหมู่สงฆ์ ถึงกับต้องปาราชิกไปหลายรูป ทำเอาพระองค์ถึงกับทรงปริวิตก จึงมีรับสั่งกับบรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ว่า
หากเมื่อเจริญพระวัยพอสมควรที่จะดำรงพระชนม์ชีพได้ด้วยตัวเองแล้ว ก็ขอให้ยึดถือคำที่พระองค์ทรงสอนไว้ คือ อย่ามัวเมาในอบายมุข (เช่น การสูบฝิ่น) อย่าหมกมุ่นในกาม รวมถึงอย่าเล่นเพื่อน (รวมถึงเล่นสวาท) กับใคร ถ้ามีโอกาสออกเรือนกับใครได้ก็ควรออกเรือนไปเสีย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ได้มีการกล่าวถึงโทษที่จะได้รับหากมีการร่วมเพศเกิดขึ้น โดยระบุไว้ในฐานความผิดกระทำอนาจาร ประมวลกฎหมาย ร.ศ. 127 ใจความว่า ผู้ใดที่กระทำชำเราแบบผิดธรรมชาติจะด้วยชายหรือหญิงก็ดี หรือกระทำชำเราเกินอย่างสัตว์เดียรฉานก็ดี ผู้นั้นก็ต้องถูกลงโทษด้วยการติดคุกเป็นเวลา 3 เดือนขึ้นไปถึง 3 ปี และปรับตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปถึง 500 บาท (ในสมัยนั้น)
หรือในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแต่งตั้งข้าราชการชายเป็นจำนวนมากเข้ารับราชการสนองพระองค์ หรือจัดตั้งสมาคม สโมสร องค์การต่าง ๆ ที่มีแต่ชายล้วนเข้าร่วม เช่น กองเสือป่า, จิตรลดาสโมสร จนถูกมองว่าเป็นฐานเสริมพระราชอำนาจ ป้องกันและต่อต้านการคิดร้ายต่อพระองค์ในทางหนึ่ง รวมถึงเป็นการก่อตัวขึ้นและเข้ามาแทนที่นางในและราชสำนักฝ่ายใน ด้วยนิยามของการเป็น “นายใน”
อีกแง่หนึ่งก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ถึงพระราชรสนิยมเรื่องเพศในส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าเป็นเช่นไร ส่วนหนึ่งก็คงมาจากการเข้าพระทัยในเรื่องรักร่วมเพศที่แพร่หลายในสังคมตะวันตก เมื่อครั้งเสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เป็นเวลาถึง 8 ปีด้วยกัน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงฉายพระฉายาลักษณ์ร่วมกับราชองครักษ์ (ภาพ: ศิลปวัฒนธรรม)
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า รสนิยมทางเพศที่หลากหลายในสังคมไทยนั้นก็มีมาอย่างเนิ่นนานแล้ว (ซ้ำยังเริ่มต้นจากสังคมชนชั้นสูงอีกด้วย)
เป็นเช่นนั้นก็จงอย่าพยายามปฏิเสธกระแสแห่งความจริง อย่าดึงดันต่อแนวคิดที่ว่า ประเทศไทยมีเพียงแต่ชายและหญิง และอย่าทำเป็นปากบอกเปิดรับ แต่ใจยังไม่รับอีกต่อไปเลย เพราะทุกวันนี้โลกยังคงหมุนไปตลอดไม่เคยหยุดนิ่ง ทุก ๆ สิ่งย่อมมีเกิดขึ้นมา ฉะนั้น เราต้องเปิดใจยอมรับที่จะเรียนรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อยังให้ความหลากหลายทางเพศเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่าง “เต็มใบ” และการอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ทั้งต่อตนเอง คนรอบข้าง และสังคมส่วนร่วม
อ้างอิง:
  • การเล่นเพื่อน (ผู้หญิงกับผู้หญิง) โดย postjung (https://board.postjung.com/711560)
  • นายใน/รอยัล อิเม “จิ้น” คอมมิวนิตี้ โดย ประชาไท (https://prachatai.com/journal/2013/06/47344)
  • บันทึกรัก “หม่อมเป็ดสวรรค์” สัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันในราชสำนัก หญิง-หญิง “เล่นเพื่อน” โดย ศิลปวัฒนธรรม (https://www.silpa-mag.com/culture/article_4301)
  • “เล่นเพื่อน” “เล่นสวาท” เขาเล่นอะไรกัน! ร.๔ กำชับโอรสธิดา อย่าเล่นเพื่อนกับใครเลย มีผัวมีเถิด!! โดย MGR Online (https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000042847)
  • LGBT: เรื่องราวในอดีตของความหลากหลายทางเพศที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ โดย BBC News ไทย (https://www.bbc.com/thai/international-57345562)
#AdminField #ชอบเล่าชอบแชร์แต่ไม่ชอบเป็นคนดีย์
#PrideMonth
โฆษณา