5 มิ.ย. 2023 เวลา 00:24 • กีฬา

แชมป์ลีกเบลเยียมหนแรกในรอบ 66 ปีของ รอยัล อันท์เวิร์ป ในนาที 90+4 ของนัดสุดท้าย

ถึงแม้ศึก จูปิแลร์ โปร ลีก หรือฟุตบอลลีกสูงสุดของเบลเยียมจะไม่ใช่รายการที่มีแฟนบอลสนใจสักเท่าไร แต่เกมลีกนัดตัดสินแชมป์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าสถานการณ์พลิกไปพลิกมา แล้วบทสรุปก็จบอย่างกับบทละคร เมื่อ รอยัล อันท์เวิร์ป มาคว้าแชมป์ได้ในนาทีที่ 90+4
นี่คือแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 66 ปีของอันท์เวิร์ป และเป็นสมัยที่ 5 ในประวัติศาสตร์ของพวกเขา ต่อจากฤดูกาล 1928–29, 1930–31, 1943–44 และ 1956–57
สังเกตว่าการได้แชมป์ลีกแต่ละครั้งของ รอยัล อันท์เวิร์ป ตั้งแต่สมัยที่ 2 เป็นต้นมาต้องทิ้งช่วงเวลาห่างกันกว่า 10 ปี และแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายของพวกเขาเมื่อ 66 ปีที่แล้ว คงแทบไม่มีแฟนบอลคนไหนในยุคนี้เกิดทันด้วยซ้ำ
ยิ่งถ้าเอาไปเทียบกับสโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง อันเดอร์เลชท์ ที่ได้แชมป์ลีก 34 สมัย และ คลับ บรูช ที่ได้แชมป์ลีก 18 ครั้ง ยิ่งต้องบอกว่าการที่ทีมอย่างอันท์เวิร์ปสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ มันถือเป็นปรากฏการณ์มากๆ
สำหรับแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีขึ้นไป อาจจะพอคุ้นชื่อทีม รอยัล อันท์เวิร์ป อยู่บ้าง เพราะสโมสรนี้เคยเป็นพาร์ทเนอร์กับทีมปีศาจแดงนาน 15 ปี ระหว่างปี 1998-2013
ประโยชน์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้จากอันท์เวิร์ป ก็คือการส่งนักเตะที่ยังไม่มีตำแหน่งในทีมชุดใหญ่ หรือผู้เล่นที่ยังไม่ได้รับ เวิร์ค เพอร์มิต ให้ค้าแข้งในอังกฤษ ก็สามารถมาเล่นฟุตบอลอาชีพที่เบลเยียมกับอันท์เวิร์ปไปก่อนได้ เพื่อให้ง่ายต่อการขอ เวิร์ค เพอร์มิต ในภายหลัง
ส่วนอันท์เวิร์ปก็จะได้นักเตะมีแววจากสโมสรใหญ่ที่ส่งมาให้ได้ใช้งานเรื่อยๆ และได้ประโยชน์จากการขายตั๋วเข้าชมหรือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเกมอุ่นเครื่อง เวลาที่ทีมปีศาจแดงมาขอลงเตะกระชับมิตรด้วย
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2005 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยบุกไปอุ่นเครื่องปรีซีซั่นกับอันท์เวิร์ป โดยเกมนั้นผีแดงของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถล่มไป 6-1
อดีตนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เคยผ่านช่วงเวลามาเล่นกับอันท์เวิร์ปในช่วงปี 1998-2013 ที่ดังๆ ก็อย่างเช่น ลุค แชดวิค, รอนนี่ วอลล์เวิร์ค, เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์, จอห์น โอเช, ดาร์รอน กิ๊บสัน, ไรอัน ชอว์ครอสส์, ตง ฟาง โจว และ ทอม ฮีตัน
แต่หลังจากการอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และตำแหน่งซีอีโอสโมสรของ เดวิด กิลล์ ในปี 2013 ทั้ง 2 สโมสรก็ยุติสายสัมพันธ์นี้ไปด้วย โดยไม่มีพันธะผูกมัดใดๆ อีก
รอยัล อันท์เวิร์ป ชุดนี้มีผู้เล่นที่แฟนบอลคุ้นหูอยู่หลายคน อย่างเช่น ริตชี่ เดอ เลต อดีตกองหลังดาวรุ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด และเป็นหนึ่งในนักเตะ เลสเตอร์ ซิตี้ ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2016
วินเซนต์ ยานส์เซ่น อดีตกองหน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่เคยเล่นให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และเคยเป็นดาวซัลโวของเอเรดิวิซี่ในซีซั่น 2015-16 จากผลงานยิงไป 27 ประตูให้ อาแซ่ด อัลค์มาร์
แต่คนที่ดังที่สุดในทีมชุดนี้คงหนีไม่พ้น โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ อดีตปราการหลังจอมแกร่งทีมชาติเบลเยียมยุค โกลเด้น เจเนอเรชั่น ซึ่งเคยเป็นตัวหลักของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ตั้งแต่ปี 2015-2021
โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ (ซ้ายสุดแถวบน) อดีตกองหลังของสเปอร์ส ที่ตอนนี้เป็นกัปตันทีมของ รอยัล อันท์เวิร์ป
หลังจากเล่นให้ทีมไก่เดือยทองนาน 6 ปี อัลเดอร์แวเรลด์เลือกย้ายไปโกยเงินที่ลีกกาตาร์กับสโมสร อัล-ดูฮาอิล ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021 แต่ว่าช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว เขาตัดสินใจย้ายกลับไปเล่นในลีกบ้านเกิดกับ รอยัล อันท์เวิร์ป และได้รับบทบาทกัปตันทีมด้วย
อัลเดอร์แวเรลด์คือเด็กที่ลืมตาดูโลกในเมืองอันท์เวิร์ป และเติบโตมาเป็นแฟนบอลของ รอยัล อันท์เวิร์ป แม้จะไม่เคยได้เล่นให้สโมสรนี้มาก่อนเพราะย้ายไปฝึกปรือฝีเท้ากับอะคาเดมี่ของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น แต่การได้กลับมาเล่นฟุตบอลอาชีพช่วงปลายชีวิตค้าแข้งกับสโมสรในดวงใจของตัวเอง ถือเป็นฝันที่เป็นจริงสำหรับกองหลังวัย 34 ปี
ด้วยความที่ โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ ย้ายไปเป็นเด็กฝึกของอาแจ็กซ์ตั้งแต่วัยรุ่น ทำให้เขาเริ่มต้นเส้นทางนักเตะอาชีพที่เนเธอร์แลนด์ แล้วไปแจ้งเกิดกับ แอตเลติโก มาดริด ตามด้วยไปเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกหลายปี ทำให้เขาไม่เคยมีประสบการณ์เล่นในลีกสูงสุดของเบลเยียมมาก่อนเลย
แต่การได้เล่น จูปิแลร์ โปร ลีก ซีซั่นแรกในชีวิตกับสโมสรในดวงใจ เขากลายเป็นฮีโร่ ยิงประตูตัดสินแชมป์ในนาทีที่ 90+4 ของเกมนัดสุดท้ายราวกับปาฏิหาริย์
ก่อนจะไปเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมลีกสูงสุดเบลเยียมนัดสุดท้ายเมื่อคืนวันอาทิตย์ ผมต้องขออธิบายรูปแบบการแข่งขันของศึก จูปิแลร์ โปร ลีก ให้เข้าใจก่อน เพราะมันแตกต่างจากฟุตบอลลีกทั่วไปที่คนรู้จักอย่างสิ้นเชิง
อันที่จริง ถ้าหาก รอยัล อันท์เวิร์ป อยู่ในลีกของประเทศอื่นๆ พวกเขาคงไม่ได้แชมป์ลีกในปีนี้หรอกนะครับ เพราะฤดูกาลปกติจบด้วยอันดับ 3 เท่านั้น เพียงแต่ที่เบลเยียมเขามีระบบ “เพลย์ออฟ” เพื่อเป็นการแข่งขันด่านสุดท้ายอีกชั้นในการตัดสินแชมป์ลีก และจัดโควตาให้ทีมที่จะได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป
เหตุผลที่ลีกเบลเยียมแข่งกันปกติเหมือนชาวบ้านไม่ได้ เพราะพวกเขามองว่าในสมัยก่อน สโมสรจากเบลเยียมพอไปแข่งรายการของยูฟ่า ก็มักจะตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว จึงอยากจะเพิ่มระดับความเข้มข้นของการแข่งขันในลีกตัวเองให้มากขึ้น และเริ่มมีระบบเพลย์ออฟตั้งแต่ฤดูกาล 2009-10 เป็นต้นมา เพื่อให้แต่ละทีมที่ไปแข่งฟุตบอลยุโรป คือทีมที่มาตรฐานสูงอย่างแท้จริง
ในซีซั่นนี้ สโมสรจากเบลเยียมเริ่มเข้ารอบลึกๆ ในเวทียุโรปกันได้มากขึ้น โดย คลับ บรูช ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบเซอร์ไพรส์, อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ก็เข้าสู่ ยูโรปา ลีก รอบ 8 ทีม ขณะที่ อันเดอร์เลชท์ ก็เป็นหนึ่งใน 8 ทีมสุดท้ายของรายการ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก
รูปแบบการแข่งขันศึก จูปิแลร์ โปร ลีก ณ ปัจจุบันจะมีทีมลงแข่งทั้งหมด 18 ทีม เตะแบบพบกันหมดเหย้า-เยือนในฤดูกาลปกติ เท่ากับว่าแข่งทีมละ 34 นัด ซึ่งหลังจบฤดูกาลปกติไปแล้วจะเอา 3 ทีมอันดับสุดท้ายตกชั้นไปก่อน และทุกทีมที่ไม่ได้อยู่ใน 8 อันดับแรกจะหยุดโปรแกรมการแข่งขันไว้เพียงแค่นี้
ทีมที่อยู่อันดับ 1-8 จะต้องไปแข่งชิงชัยกันต่อในรอบเพลย์ออฟ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ลีก ลีกละ 4 ทีม ได้แก่…
1. ลีกเพลย์ออฟ 1 (ประกอบด้วยทีมที่จบฤดูกาลปกติด้วยอันดับ 1-4) แข่งแบบพบกันหมด เหย้า-เยือนเพื่อตัดสินแชมป์ และจัดลำดับทีมที่จะได้เล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก
2. ลีกเพลย์ออฟ 2 (ประกอบด้วยทีมที่จบฤดูกาลปกติด้วยอันดับ 5-8) แข่งแบบพบกันหมด เหย้า-เยือนเพื่อแย่งโควตาสุดท้ายที่จะได้ไปเล่น ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก
ตารางคะแนนของลีกสูงสุดเบลเยียมซีซั่น 2022-23 หลังจบฤดูกาลปกติ ซึ่งยังตัดสินแชมป์ และยังสรุปโควตาทีมที่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปไม่ได้
สำหรับโควตาไปเล่นฟุตบอลยุโรปของเบลเยียมจะแบ่งดังนี้ครับ
- แชมป์ลีกเพลย์ออฟ 1 (แชมป์ลีกสูงสุดตัวจริง) จะได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบเพลย์ออฟ
- แชมป์ เบลเยียม คัพ จะได้ไปเล่น ยูโรปา ลีก รอบเพลย์ออฟ
- อันดับ 2 ลีกเพลย์ออฟ 1 จะได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก รอบ 2
- อันดับ 3 ลีกเพลย์ออฟ 1 จะได้ไปเล่น ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบคัดเลือก รอบ 3
- อันดับ 4 ลีกเพลย์ออฟ 1 ปกติแล้วจะต้องเพลย์ออฟกับแชมป์ของลีกเพลย์ออฟ 2 เพื่อแย่งสิทธิ์ไปเล่น ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบคัดเลือก รอบ 2 กัน
แต่ถ้าหากเกิดกรณีที่ทั้ง 4 ทีมในลีกเพลย์ออฟ 1 ต่างได้โควตาไปเล่นรายการยุโรปกันหมดแล้ว นั่นจะทำให้ทีมที่เป็นแชมป์ลีกเพลย์ออฟ 2 ไม่ต้องเพลย์ออฟกับทีมอันดับ 4 ของลีกเพลย์ออฟ 1 อีกต่อไป แต่จะได้สิทธิ์ไปเล่น ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบคัดเลือก รอบ 2 ทันทีเลย
นอกจากนั้นแล้ว ถ้าหากเกิดกรณีที่แชมป์ เบลเยียม คัพ คือทีมที่ได้โควตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะทำให้สิทธิ์ไปเล่น ยูโรปา ลีก รอบเพลย์ออฟ ซึ่งเดิมทีจะมอบให้แชมป์บอลถ้วย ถูกยกไปให้ทีมอันดับ 3 ของลีกเพลย์ออฟ 1 แทน แล้วโควตาอื่นๆ ที่จะได้ไปเล่นรายการยุโรปก็จะเลื่อนลงไปตามลำดับ
สำหรับรอบเพลย์ออฟนั้น ไม่ใช่ว่าจะเริ่มต้นนับคะแนนกันใหม่หมดนะครับ เพราะคะแนนที่ทำได้ในฤดูกาลปกติจะยังมีผลอยู่ โดยจะนำมาหาร 2 แล้วเป็น “แต้มโดนหาร” (half points) ในรอบเพลย์ออฟให้แต่ละทีม
ตัวอย่างเช่นถ้าจบฤดูกาลปกติด้วยการมี 70 แต้ม พอได้ไปเพลย์ออฟ จะมีแต้มโดนหารก่อนเลย 35 แต้ม (75 หาร 2) แต่ถ้าแต้มในฤดูกาลปกติเป็นเลขคี่ เมื่อนำมาหาร 2 มันจะมีเศษ เขาจะใช้วิธีปัดขึ้นครับ
นั่นหมายความว่าถ้าหากในฤดูกาลปกติ ทำคะแนนทิ้งห่างทีมอื่นๆ ได้มาก ก็จะยิ่งมีความได้เปรียบเมื่อเข้าสู่รอบเพลย์ออฟ
ศึก จูปิแลร์ โปร ลีก ซีซั่น 2022-23 ที่ผ่านมา อันดับ 1-2 ของฤดูกาลปกติอย่าง เกงค์ กับ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ต่างมี 75 แต้มเท่ากัน พอนำมาหาร 2 จะเป็น 37.5 จึงต้องปัดเศษขึ้น เท่ากับว่า 2 ทีมนี้ต่างมีคะแนนโดนหารในรอบเพลย์ออฟทีมละ 38 แต้ม
ส่วน รอยัล อันท์เวิร์ป จบซีซั่นปกติด้วยอันดับ 3 มี 72 แต้ม พอเข้าสู่รอบเพลย์ออฟจึงมีแต้มโดนหารที่ 36 คะแนน
คลับ บรูช จบซีซั่นปกติด้วยอันดับ 4 มี 59 แต้ม พอเข้าสู่รอบเพลย์ออฟจึงมีคะแนนโดนหารเพียง 30 คะแนนเท่านั้น ถือว่าแทบไม่มีลุ้นเลยในการเป็นแชมป์ ต่อให้จะได้โอกาสสุดท้ายเพิ่มมาในรอบเพลย์ออฟก็ตาม
แต่ละทีมจะเริ่มต้นรอบเพลย์ออฟด้วย "แต้มโดนหาร" เป็นคะแนนตั้งต้น จากนั้นค่อยเอาคะแนนที่ได้จากการพบกันหมดกับคู่แข่งอีก 3 ทีมในลีกรอบเพลย์ออฟมาบวกกัน จะกลายเป็นแต้มสุทธิในการตัดสินแชมป์ครับ
สำหรับการจับลำดับคะแนนเมื่อเกิดกรณีที่มีทีมแต้มเท่ากัน จะใช้วิธีหัก “แต้มโดนหาร” ที่ได้จากคะแนนในฤดูกาลปกติหาร 2 ออกไป ซึ่งถ้ายังเท่ากันอยู่อีก ค่อยให้ทีมที่มีอันดับในฤดูกาลปกติดีกว่าเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า
สถานการณ์ก่อนแข่งนัดสุดท้าย ซึ่งลงเตะพร้อมกัน 2 คู่เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถือว่า อันท์เวิร์ป, เกงค์ และ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ต่างยังมีโอกาสเป็นแชมป์กันทั้ง 3 ทีม ขณะที่ คลับ บรูช หมดลุ้นแชมป์แน่นอนอยู่แล้ว ลงแข่งแค่ให้ครบโปรแกรมเท่านั้น
โดยตารางคะแนนก่อนคิกออฟเป็นดังนี้
อันดับ 1 : รอยัล อันท์เวิร์ป มี 46 แต้ม
อันดับ 2 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ มี 46 แต้ม (หักแต้มโดนหารไป จะถือว่ามีแต้มน้อยกว่า รอยัล อันท์เวิร์ป จึงอันดับเป็นรอง)
อันดับ 3 : เกงค์ มี 45 แต้ม
อันดับ 4 : คลับ บรูช มี 33 แต้ม
นั่นหมายความว่าโปรแกรมนัดสุดท้าย รอยัล อันท์เวิร์ป ขอแค่ชนะให้ได้เท่านั้นก็จะเป็นแชมป์ทันทีโดยไม่ต้องสนใจผลคู่อื่น
เพียงแต่ความยากก็คือ อันท์เวิร์ป ต้องบุกไปเยือน เกงค์ ที่ต้องการชัยชนะเพื่อเป็นแชมป์ ผิดกับ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ที่ได้เล่นในบ้านตัวเอง พบกับทีมที่ไม่ต้องลุ้นอะไรแล้วอย่าง คลับ บรูช
ด้วยความที่อันดับ 1-3 มีช่องว่างห่างกันแค่คะแนนเดียว ทำให้ทุกประตูที่เกิดขึ้นอาจเปลี่ยนสถานการณ์ลุ้นแชมป์ได้เลย และเราขอลำดับเหตุการณ์ที่น่าสนใจดังนี้
นาที 45 : เกงค์ ขึ้นนำ อันท์เวิร์ป 1-0 ก่อนหมดครึ่งแรก ส่วนอีกคู่ยังคงเสมอ 0-0
ตารางคะแนนเรียลไทม์ตอนนั้น อันดับ 1 : เกงค์ (48 แต้ม), อันดับ 2 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ (47 แต้ม) อันดับ 3 : รอยัล อันท์เวิร์ป (46 แต้ม)
……………………
นาที 46 : เริ่มครึ่งหลังมานาทีเดียว อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ออกนำ คลับ บรูช 1-0 ส่วนอีกคู่ เกงค์ ยังคงนำ อันท์เวิร์ป 1-0
ตารางคะแนนเรียลไทม์ตอนนั้น อันดับ 1 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ (49 แต้ม), อันดับ 2 : เกงค์ (48 แต้ม), อันดับ 3 : รอยัล อันท์เวิร์ป (46 แต้ม)
……………………
นาที 58 : เกงค์ โดน อันท์เวิร์ป ไล่ตีเสมอ 1-1 ส่วนอีกคู่ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ยังคงนำ คลับ บรูชอยู่ 1-0
ตารางคะแนนเรียลไทม์ตอนนั้น อันดับ 1 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ (49 แต้ม), อันดับ 2 : รอยัล อันท์เวิร์ป (47 แต้ม), อันดับ 3 : เกงค์ (46 แต้ม)
……………………
นาที 75 : เกงค์ ขึ้นนำ อันท์เวิร์ป อีกครั้งเป็น 2-1 ส่วนอีกคู่ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ยังนำ คลับ บรูช อยู่ 1-0
ตารางคะแนนเรียลไทม์ตอนนั้น อันดับ 1 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ (49 แต้ม), อันดับ 2 : เกงค์ (48 แต้ม), อันดับ 3 : รอยัล อันท์เวิร์ป (46 แต้ม)
……………………
นาที 89 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ หล่นจากจ่าฝูงแล้ว เมื่อพลาดท่าโดน คลับ บรูช ตีเสมอ 1-1 ส่วนอีกคู่ เกงค์ ยังคงนำ อันท์เวิร์ป 2-1
ตารางคะแนนเรียลไทม์ตอนนั้น อันดับ 1 : เกงค์ (48 แต้ม), อันดับ 2 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ (47 แต้ม), อันดับ 3 : รอยัล อันท์เวิร์ป (46 แต้ม)
……………………
นาที 90+3 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ เมาหมัด โดน คลับ บรูช ยิงแซงนำคาบ้าน 1-2 ส่วนอีกคู่ เกงค์ ยังคงนำ อันท์เวิร์ป 2-1
ตารางคะแนนเรียลไทม์ตอนนั้น อันดับ 1 : เกงค์ (48 แต้ม), อันดับ 2 : รอยัล อันท์เวิร์ป (46 แต้ม), อันดับ 3 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ (46 แต้ม แต่อันดับเป็นรองอันท์เวิร์ป เพราะถ้าหักแต้มโดนหาร จะเหลือแต้มน้อยกว่า)
การที่ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ มาเสีย 2 ประตูติดๆ กันช่วงท้ายเกม น่าจะสร้างความฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่งให้กับ รอยัล อันท์เวิร์ป เพราะขอแค่โหมบุกเพื่อไล่ตีเสมอเกงค์ให้ได้เท่านั้น ก็จะพลิกสถานการณ์เป็นแชมป์ได้ทันที เพราะการที่ อูนิยง ต้องยิงถึง 2 ประตูในเวลาที่เหลือ หลังจากเพิ่งเสียขวัญโดนยิง 2 ลูกไปหมาดๆ มันคือเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
แล้วเรื่องราวก็มาโคตรดราม่าอย่างกับเขียนบทเอาไว้ในนาทีที่ 90+4 เมื่อ โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ กองหลังกัปตันทีมดันขึ้นสูงไปซัดเต็มข้อบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ทำให้ รอยัล อันท์เวิร์ป ไล่ตีเสมอ เกงค์ เป็น 2-2 ชนิดที่กำลังจะหมดเวลาอยู่แล้ว แล้วเกงค์ก็เตรียมจะเสียแชมป์คาบ้านตัวเองอย่างเจ็บปวดเลยทีเดียว
ลูกยิงของ โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ ในนาที 90+4 ของเกมนัดตัดสินแชมป์ พุ่งเสียบสามเหลี่ยมอย่างสุดสวย
แล้วเมื่อผลอีกคู่ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ เป๋ไม่เลิก มาโดน คลับ บรูช ยิงเพิ่มอีกเม็ดในนาที 90+10 จนแพ้คาบ้านไป 1-3 เป็นอันว่าสุดท้าย รอยัล อันท์เวิร์ป คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเบลเยียมเป็นครั้งแรกในรอบ 66 ปีแบบใจหายใจคว่ำ
ตารางคะแนนสุดท้ายเมื่อจบฤดูกาล 2022-23
1
อันดับ 1 : รอยัล อันท์เวิร์ป (47 แต้ม)
อันดับ 2 : เกงค์ (46 แต้ม)
อันดับ 3 : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ (46 แต้ม แต่อันดับเป็นรองเกงค์แม้แต้มโดนหารเท่ากัน เพราะในฤดูกาลปกติ เกงค์คือที่ 1 ส่วนอูนิยงคือที่ 2)
ต้องบอกว่านี่คือฤดูกาลที่พิเศษมากๆ สำหรับ รอยัล อันท์เวิร์ป เพราะก่อนจะมาคว้าแชมป์ลีกแบบปาฏิหาริย์ได้เมื่อคืนวันอาทิตย์ พวกเขาเพิ่งฉลองแชมป์ เบลเยียม คัพ เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมาหมาดๆ นี่จึงถือเป็นฤดูกาลแรกในประวัติศาสตร์ของอันท์เวิร์ป ที่คว้าแชมป์ทั้งลีกและบอลถ้วยได้ในฤดูกาลเดียวกัน
กุนซือผู้พาทีมสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้ได้ คืออดีตนักเตะที่แฟนบอลหลายคนรู้จักดี นั่นคือ มาร์ค ฟาน บอมเมล อดีตกองกลางทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดรองแชมป์โลกปี 2010 ที่คว้าแชมป์ระดับสโมสรกับทีมใหญ่ๆ มามากมายกับทั้ง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค และ เอซี มิลาน
ฟาน บอมเมล เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งกุนซือของอันท์เวิร์ปเมื่อซัมเมอร์ปีที่แล้วเท่านั้น แต่ในเวลาแค่ปีเดียว เขาพาทีมคว้า 2 แชมป์สำคัญในเบลเยียมได้ นี่คือเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ
1
มาร์ค ฟาน บอมเมล ดีใจแบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หลังพา รอยัล อันท์เวิร์ป คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเบลเยียมหนแรกในรอบ 66 ปีแบบดราม่าสุดๆ
รอยัล อันท์เวิร์ป จะได้สิทธิ์ลงเล่นฟุตบอลสโมสรรายการใหญ่สุดของยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 66 ปี ต่อจากการได้เล่น ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1957 ในฐานะแชมป์ลีกเบลเยียม และถ้านับเฉพาะยุคที่ถ้วยบิ๊กเอียร์กลายเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นี่คือครั้งแรกที่ทีมทีมนี้จะได้เข้าร่วมจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ค่าสัมประสิทธิ์ของลีกเบลเยียมอยู่แค่อันดับ 13 ของยูฟ่า ทำให้ รอยัล อันท์เวิร์ป ต้องฝ่าด่านรอบเพลย์ออฟเสียก่อน ถึงจะได้สิทธิ์ลงเตะ UCL รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งจะถือเป็นการได้เข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรยุโรปอย่างแท้จริง
และเนื่องจากพวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์ลีกเบลเยียมมาได้ด้วยสตอรี่ที่โลกต้องจดจำ ผมอยากเห็นทีมทีมนี้เข้าไปสู่รอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า มันจะเป็นบทสรุปที่โคตรจะโรแมนติกเลยทีเดียว
#เสียบสามเหลี่ยม #อันท์เวิร์ป #รอยัลอันท์เวิร์ป #เบลเยียม #จูปิแลร์ลีก #จูปิแลร์โปรลีก #ลีกเบลเยียม #ฟุตบอลยุโรป #ฟุตบอลต่างประเทศ #ฟุตบอลเบลเยียม #UCL #ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
โฆษณา