ฟังเสียงเล็กๆจาก “หมอปุยเมฆ" สะท้อนวังวนทาส สวนทางธุรกิจรพ. เอกชน รอสมองไหล
“หมอ” เป็นอาชีพที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในสังคมไทย
คนจะเป็นหมอได้ต้องเรียนเก่งระดับแนวหน้าของรุ่น และหมอบางคนก็เรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก ต้องเรียนสายวิทย์-คณิตฯ เท่านั้น เมื่อจบมัธยมปลายจึงไปสอบเข้าเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งกันและกัน 6 ปี ระหว่างเป็นนักศึกษาแพทย์ก็จะค่อยๆเข้าสู่ระบบการรักษาของโรงพยาบาลตามสาขาที่เลือก จนกระทั่งจบแล้วจึงเช้าสู่ชีวิตจริง
บางคนคิดว่าอาชีพหมอนั้นสบาย ไม่เห็นทำอะไรเดินไปเดินมา ตกเย็นเลิกงานไปเปิดคลินิกต่อ
แต่จริงๆแล้วในวงการสาธารณสุขมีปัญหาเรื้อรังค้างคามานานกว่า 20ปี ที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขเลยนั่นคือ ทั้งแพทย์และพยาบาลมีภาระงานในแต่ละวันที่มากเกินไปเพราะบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ
#เสียงเล็กๆจากหมอปุยเมฆ
พญ.นภสร วีระยุทธวิไล หรือหมอปุยเมฆ นักแสดง นักร้อง นางแบบ โพสต์ภาพใบลาออกจากพนักงานชั่วคราวของรัฐ แล้วทวิตข้อความระบายความในใจถึงระบบการทำงานแบบเข้างานเช้าเมื่อวาน จนถึงบ่ายของอีกวัน แล้วต่อเวรดึกควงถึงเช้าของอีกวัน เมื่ออยู่ในระบบการทำงานแบบนี้นานๆเข้าจึงรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง
“วินาทีที่ตัดสินใจลาออก คือ ตอนนั้นวน med อยู่เวรทั้งคืน มาราวน์เช้าต่อ ชาร์จกองตรงหน้าเกือบ 40 คนไข้ นอนล้นวอร์ดเสริมเตียงไปถึงหน้าลิฟต์ ภาพหดหู่มาก แถมเหนื่อยและง่วง ราวน์คนเดียวทั้งสาย สตาฟฟ์มา 10 โมง เดินมาถาม น้องยังราวน์ไม่เสร็จหรอ ต้องเร็วกว่านี้นะ วินาทีนั้นตัดสินใจเลย ดอบบี้ขอลา”
หมอปุยเมฆ ทวิตอีกว่า เข้าใจเรื่องงานหนัก ซึ่งทาง รพ.กลับไม่แก้ปัญหานี้ด้วยการรับหมอเพิ่ม แต่กลับลดลงทุกปีเพราะกระทรวงสาธารณสุขลดงบประมาณ
“คือเข้าใจว่างานมันเยอะ หนักทั้ง intern ทั้ง staff แหละ (staff เองก็ไม่ไหว ลาออกก็เยอะ) และมันดูไม่มีทางออกให้กับปัญหานี้เลย รพ.ไม่มีแนวโน้มจ้างคนเพิ่ม ลดลงทุกปี บอกกระทรวงลดงบ คนทำงานหารหน้าที่กันจนไม่รู้จะหารยังไง เหมือนอยู่เป็นแรงงานทาสไปเรื่อยๆ อะ ไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”
“งานเยอะจนท้อ น้ำตาไหลอยู่หน้าคอมตอนดูแล็บคนไข้ ไม่อยากให้คนเห็นว่าร้อง อายเขา เลยหลบมาร้องในห้องน้ำหลังวอร์ด”
ส่วนเหตุผลในการลาออกนั้น หมอปุยเมฆ ยอมรับว่าไม่ชอบการพักผ่อนน้อยแล้วมาทำงาน รู้สึกว่าตัวเองจะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ
“มันก็มีทั้งคนที่ทนได้ กับทนไม่ได้ เราคงมี treshold ความเหนื่อยไม่สูงมากไม่ชอบการพักผ่อนน้อยแล้วมาทำงาน รู้สึกตัวเองจะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพที่ดีเท่าที่ควร ก็คิดว่าถอยดีกว่า ไปหางานที่เหมาะกับเราข้างนอกทำดีกว่า ไม่เป็นข้าราชการก็ไม่ตายแก สู้! “
ทั้งนี้ หมอปุยเมฆ เชื่อว่าวงการหมอในอนาคตจะมีคนประเภทที่เป็นมลพิษกับเพื่อนร่วมงานไม่มากเหมือนในอดีต หลังจากพบว่าคนรุ่นใหม่มีความเห็นอกเห็นใจให้คนรอบข้างอย่างใจจริง
“เราเชื่อว่าอนาคต อย่างน้อยวงการหมอก็จะไม่ toxic เท่าเหมือนที่ผ่านๆ มา น่าจะน่าอยู่มากขึ้น (ในด้านสังคม) เพราะเท่าที่สัมผัส ไม่ค่อยพบเจอถ้อยคำบั่นทอนจาก young staff เลย เหมือนคนรุ่นใหม่มีความเห็นอกเห็นใจ ใจเขาใจเรากันมากขึ้นอ่ะ ทั้งกับคนทำงานด้วยกันและกับคนไข้”
#ชั่วโมงการทำงานแพทย์สาเหตุหมอต้องควงเวร
มีข้อมูลเปิดเผยว่าแพทย์ทำงาน เกือบ 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มากกว่าอาชีพทั่วๆไปที่มีกฎหมายควบคุมไม่ให้เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นั่นหมายความว่าเวลาการทำงานของหมอมากกว่าอาชีพอื่นๆเกือบ 2 เท่า
30 มิถุนายน ปีที่แล้ว แพทย์หญิง เชิดชู อริยศรีวัฒนา อนุกรรมการบริหารสมาพันธ์แพทย์ ออกมากล่าวถึงการขับเคลื่อนกำหนด
"ชั่วโมงการทำงานแพทย์" เพื่อขอทวงสิทธิ์ความเป็นธรรม ด้วยการยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการแรงงาน ที่รัฐสภา
พญ.เชิดชู กล่าวว่า จากภาระงานกว่า 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทำงานต่อเนื่องไม่หยุด 48 ชั่วโมง ร่างกายล้า ส่งผลต่อสุขภาพตัวเองและการรักษาผู้ป่วย เกิดปัญหาวนลูป แม้แพทยสภาจะให้คำแนะนำ แต่ทำไม่ได้จริง เพราะบุคลากรไม่พอ
พญ.ชุตินาถ ชินอุดมพร ผู้แทนสมาพันธ์แพทย์ผู้ปฏิบัติงาน ยืนยันว่า หมอที่ทำงานช่วยชีวิตคนไข้ ไม่มีใครอยากให้เกิดความผิดพลาด แต่ด้วยภาระงานที่มาก ทำงานไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่ได้หลับได้นอน ควงเวรติดต่อกัน 48 ชั่วโมงไม่ได้พัก ทำงานทั้งในและนอกเวลาราชการเกิน 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ร่างกายไม่ไหว ข้อผิดพลาดเกิดขึ้น กลายเป็นสิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด รัฐต้องช่วยเหลือแพทย์คนทำงาน ก่อนจะไหลออกนอกระบบ หรือเหนื่อยล้าจนป่วย เป็นโรคซึมเศร้า ทำร้ายตัวเอง
“เมื่อร่างกายเหนื่อยล้า ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ทำให้ส่งผลทั้งต่อตัวแพทย์เอง และต่อการวินิจฉัยรักษาคนไข้ กลายเป็นปัญหาฟ้องร้อง แพทย์ลาออก แพทย์เครียด จนก่อนหน้านี้มีน้องหมออินเทิร์นทำร้ายตัวเองเสียชีวิตก็มี การทำงานของบุคลากร คุณภาพชีวิตเลวร้ายลง ยิ่งโควิดทำงานหนักมากๆ คนยิ่งอยากหนีออกจากระบบกันหมด” พญ.ชุตินาถ ให้ความเห็น
ด้าน รศ.นพ.สมชาย ธนวัฒนาเจริญ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมจริยธรรมนิสิตนักศึกษาแพทย์ แพทยสภา กล่าวถึงประเด็น “ชั่วโมงการทำงานแพทย์" กับThe Coverage เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 ว่า
“ในต่างประเทศ โรงพยาบาลที่บังคับแพทย์ทำงานเกินเวลาอาจถูกฟ้องร้อง ถ้าหมอทำงานพลาดเพราะทำงานหนักเกินไป โรงพยาบาลจะมีความผิดสถานเดียว แต่ในประเทศไทย ไม่ใช่”
“การออกประกาศ-แนวทาง-ข้อเสนอแนะจากแพทยสภา เรื่องการกำหนดชั่วโมงการทำงานของแพทย์อาจไม่ใช่ทางออก ทางออกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการออกกฎหมายที่จะมากำกับบังคับใช้”
#ผู้ป่วยมากขึ้นแต่หมอน้อยลง
ที่ผ่านมา 20 กว่าปี จำนวนแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนกับแพทยสภาไม่ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เพิ่มขึ้นจนถึงกับสามารถเติมเต็มความขาดแคลนหมอทั่วประเทศได้
หมอจบใหม่รู่ดีว่าการทำงานในโรงพยาบาลรัฐนั้นเหนื่อยหนักแน่แต่การได้บรรจุเป็นข้าราชการชีวิตบั้นปลายย่อมมั่นคง
คำถามคือการเป็นหมอโรงพยาบาลรัฐตอบโจทย์ในชีวิตของหมอในสภาพสังคมปัจจุบันได้หรือไม่ นี่จึงเป็นต้นเหตุของ “สมองไหล"
หมอจบใหม่หลายคนต้องทนบรรจุอยู่ในโรงพยาบาลรัฐเพื่อใช้ทุนให้หมดก่อน ประมาณ 5-7 ปี เมื่อเป็นอิสระแล้วก็เลือกที่จะลาออกเพื่อไปทำงานให้กับโรงพยาบาลเอกชน
ด้วยสาเหตุนี้ จำนวนแพทย์จบใหม่แต่ละปีจึงมีตัวเลขที่เหมือนเพียงพอกับโรงพยาบาล ซึ่งถ้าเอาจำนวนโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศเป็นหลัก แล้วเอาจำนวนแพทย์จบใหม่แต่ละปีมาหารเฉลี่ย ก็จะดูว่าเฉลี่ยได้ไม่มีปัญหา แต่ความจริงคือจำนวนแพทย์ในโรงพยาบาลขาดแคลนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้แพทย์จบใหม่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเติมช่องว่างที่หายไปนานได้ทันที แต่ที่จะช่วยได้แน่นอนคือแบ่งเบาภาระจากหมอรุ่นพี่ที่แบกเกินกำลัง
#เอกชนแห่ลงทุนธุรกิจโรงพยาบาลเข้าตลาดหุ้น
ปัญหาต่อมาคือเมื่อมีหมอเข้าไปเติมในระบบไม่เพียงพอ การเข้าไปทำงานของหมอจบใหม่อาจเป็นโอกาสที่หมอรุ่นพี่ใช้ทุนหมดแล้วกำลังรออยู่ คือเข้าไป 5 คนแต่รอจะออก 8 คน กรณีนี้เติมอย่างไรก็ไม่มีทางเพียงพอ
ปัญหาใหญ่สุดที่โรงพยาบาลรัฐต้องเจอทุกวันนี้คือ “สมองไหล" เพราะโลกเปลี่ยน เทรนด์การรักษาก็เปลี่ยน ในขณะที่เทคโนโลยีทางการแพทย์พัฒนาไม่หยุดนิ่ง ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเติบโตอย่างรวดเร็ว จุดขายคือผู้ป่วยมาหาหมอไม่ต้องรอนาน ให้บริการคนไข้ใส่ใจในระดับวีไอพี ห้องนอนสะอาดเฟอร์นิเจอร์ครบครัน มีพบาบาลเดินมาตรวจอาการคอยพูดคุยทุกๆ 4-6 ชั่วโมง
ส่วนแพทย์ อย่างแรกคือรายได้ที่เอกชนพร้อมจ่ายให้สูงกว่าโรงพยาบาลรัฐมากพอสมควร มีเครื่องมือแพทย์ทันสมัยให้ใช้ มีค่าล่วงเวลา ทำงานเป็นกะเวลาเข้าออกชัดเจน บางโรงพยาบาลถ้าผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจก็มีโบนัส ให้บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นพนักงานเพิ่มอีกด้วย
#ปัญหาไม่เคยถูกแก้ไขทนได้ก็ทน
แพทยสภา เปิดเผยผลวิจัยชั่วโมงการทำงานของแพทย์ทั่วประเทศ พบว่ามากกว่าร้อยละ 80 เคยทำงานติดต่อกันเกิน 24 ชั่วโมง เพราะการจัดการระบบการทำงาน ไม่เอื้อให้การทำงานเป็นระบบ และจำนวนแพทย์ที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วย ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ที่ผ่านมาได้เรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขแก้ไขปัญหา แต่ก็ถูกเพิกเฉย
ในขณะที่ นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เมื่อครั้งที่ยังดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยอมรับว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดมานานกว่า 20 ปีแล้ว เบื้องต้นได้วางแนวทางให้ผู้บริหารโรงพยาบาล จัดเวลาทำงานให้เหมาะสมตามสภาพของโรงพยาบาล โดยเฉพาะแพทย์จบใหม่ ที่ต้องแบกรับภาระงานหนัก และจัดให้มีระบบดูแลแพทย์ที่ประสบปัญหาจากการทำงาน
ทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นภาพรวมวิกฤตวงการสาธารณสุขได้ชัดเจนว่า ปัญหาแพทย์-พยาบาลขาดแคลน ทำให้บุคลากรที่มีอยู่ต้องแบกรับภาระงานเพิ่มมากขึ้น แม้กระทั่งอดีตปลัดกระทรวง สธ. ยังพูดได้แค่ให้ผู้บริหารโรงพยาบาลจัดเวลางานให้เหมาะสม ทั้งๆที่สภาพความเป็นจริงคือผู้ป่วยล้นจนเตียงไม่พอ
สรุปคือทุกคนในวงการสาธารณสุขรู้ดีว่าบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน บางแห่งการทำงานหนักส่งผลกระทบต่อการวินิจฉัยโรค บางคนโทษชาวบ้านว่าไม่ดูแลสุขภาพมัวแต่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ทำให้หมอมีภาระเพิ่มขึ้น
อาชีพหมอที่เด็กๆหลายคนเคยฝันจะเป็น วันนี้จึงไม่ต่างอะไรกับวังวนทาสที่เข้ามาแล้วต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ต้องเป็นคนที่มีใจรักบริการอย่างสูงถึงจะเสียสละได้อย่างมีความสุขเพื่อมาดูแลผู้ป่วย
เมื่อผู้บริหารกระทรวงก็รู้อยู่เต็มอกว่าปัญหาคืออะไร แต่ก็ยังปล่อยมานานกว่า 20ปีและยังไม่สามารถแก้ไขได้
ใครทนได้ก็ทนต่อไปเลย ส่วนชาวบ้านตาดำๆคงได้แต่บอกว่า "ขอบคุณจริงๆจากใจ"
#หมอปุยเมฆ
#บุคลากรทางแพทย์
#หมอขาดแคลน
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
