21 ต.ค. 2023 เวลา 00:00 • ดนตรี เพลง

เกร็ดเรื่องเพลงลูกทุ่ง โดย วินทร์ เลียววาริณ │ บุปผาสวรรค์ 9

เมื่อคนเพลงทะเลาะกัน
ตำนานเรื่องหนึ่งที่เล่ากันในวงการเพลงลูกทุ่งไทยคือ การทะเลาะกันระหว่างนักร้องในกลุ่มจุฬารัตน์ของครูมงคล อมาตยกุล
ไม่ได้ทะเลาะกันด้วยการลงไม้ลงมือ แต่ด้วยเพลง
ดังที่เล่าเรื่องกำเนิดของนักร้อง ชาย เมืองสิงห์ คือการดวลแหล่สดกับนักร้องดัง พร ภิรมย์ ในคืนวันที่ 10 กันยายน 2504 ที่สถานีวิทยุ ปชส. 7 เชิงสะพานพุทธ
6
ลีลาของนักร้องหนุ่มเป็นที่ถูกใจของผู้ฟังทั้งในสถานีและทางบ้าน ครูมงคลก็รับเขาเข้าวง ตั้งชื่อเขาว่า ชาย เมืองสิงห์ (เล่ากันว่าเดิมครูมงคลตั้งใจให้ชื่อ ชาย เมืองสิงห์ แก่ สุรพล พรภักดี แต่กลับไปยกให้นักร้องใหม่)
ว่ากันว่าเหตุการณ์การแหล่ประชันกับการยกชื่อ ชาย เมืองสิงห์ ให้นักร้องใหม่ อาจจะเป็นต้นเหตุของความแตกร้าวภายในวงจุฬารัตน์ ระหว่างครูมงคลกับศิษย์ พร ภิรมย์
ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้ว่าพวกเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่เมื่อฟังเพลงดังต่อไปนี้ ที่เมื่อเรียงร้อยกัน ก็จะเห็นภาพชัดขึ้น
2
วิวาทะเสียงเพลงเปิดฉากที่เพลง มอดกัดไม้ แต่งโดยครูมงคล ให้ ชาย เมืองสิงห์ ร้องต่อว่า พร ภิรมย์
"อยากจะเตือนเพื่อนเราที่โง่เขลาลืมตัว เห็นกงจักรเป็นดอกบัว หลงเมามัวลืมตัวไปได้ หลงลืมพระคุณผู้ที่การุณย์ได้อย่างไร อย่าเป็นมอดกัดไม้ ต่อไปจะต้องลำเค็ญ
แสนสงสารคนคิดผิด เผยอฤทธิ์ว่าเป็นดาว คิดดูหมิ่นเวหาหาว จะกลายเป็นดาวกระเด็น แต่เดิมทีไม่มีชื่อ ก็มักดูซื่อหนักหนา พเนจรร่อนเร่มา จนเป็นดาราดวงเด่น"
ไม่นานหลังจากนั้นก็ปรากฏเพลงชื่อ ไม้หลักปักเลน เป็นเพลงที่ พร ภิรมย์ แต่งขึ้นตอบโต้ครูมงคล อมาตยกุล
1
"จะขอสาธกยกลิขิต ถึงชีวิตอันไร้แก่นสาร เกิดแก่กาย ย่อมวายปราณ มัจจุมารเขาไม่ปรานี เมื่อมีชีวิตอย่าริษยา จงอุตส่าห์สร้างความดี เอื้อเมตตาและปรานี พรหมวิหารสี่พึงสังวรณ์ พกหินไว้ให้ใจหนัก ๆ ให้ตรงตามหลักพระธรรมสอน คนทุกคนไม่พ้นกองฟอน มีที่นอนอยู่เพียงฝังกาย อย่าละโมบโลภแต่ลาภ ไม่อายบาปชั่วเหลือหลาย ยามปลดปลงต้องลงอบาย อย่าก้าวก่ายแย่งกันกิน อย่ายุอย่าแยงตะแคงแสะ ส่อเสียดเซาะแซะเดาะแดะดีดดิ้น ไก่เห็นตีนงูต่างรู้มลทิน ว่าใครผิดศีลเสียไม่สร่างเซา เหาบนหัวของตัวไม่เห็น คนอื่นไม่เป็นกลับเห็นตัวเหา"
3
หลังจากเพลง ไม้หลักปักเลน ออกอากาศ ก็ปรากฏเพลงใหม่ชื่อ ดาวลืมฟ้า เป็นผลงานของ พล พรภักดี (สุรพล พรภักดี) แต่งมาตอบโต้ พร ภิรมย์
พล พรภักดี ไม่ใช่มือใหม่ เขาเป็นนักแต่งเพลงมือดีคนหนึ่ง ประจำวงจุฬารัตน์มานาน เป็นคนแต่งเพลง เธอรู้หรือเปล่า ให้ ทูล ทองใจ ร้อง
"เธอรู้หรือเปล่า พี่เฝ้าแต่ปรารถนา อยากจะอยู่ใกล้ขวัญตา เหมือนดังทิวาคู่กับราตรี อยากจะรัก หวังใจใคร่ฝากไมตรี อยากอุทิศชีพนี้ แด่เธอไว้เป็นเดิมพัน"
2
เพลงดัง เช่น พี่เขย "โอ้ น้องเมีย น้องเมีย พี่ปรารถนาดี เพราะมีจิตใจเมตตา อยากเห็นน้องเมียมาอยู่ร่วมชายคา"
2
น่าเสียดายที่เขาอายุไม่ยาว พล พรภักดี ถูกรถชนตายตอนอายุ 49
1
เนื้อเพลง ดาวลืมฟ้า มีว่า "ดวงดาวทอแสงสกาวพราวฟ้า เจ้าคงลืมเสียว่าแสงดาวมีค่าเมื่อยามราตรี เย่อหยิ่งผยองลำพองว่ารุ่งรังสี หากฟ้าสิ้นความปรานี ดาวน้อยดวงนี้คงหมดความหมาย เจ้าเป็นดาราเพราะฟ้าเมตตาอุ้มชู เจ้ายังคิดลบหลู่พระคุณฟ้าได้อย่างไม่อายใจ
3
เจ้าทระนงหลงตนว่าเด่นกว่าใคร ดาวเอ๋ยไม่มีสิ่งใดที่จะจีรังยั่งยืน คืนใดเพ็ญโสมชโลมลูบฟ้า เจ้าก็คงไร้ค่าน้ำตาเจ้าต้องหลั่งนองทั้งคืน จะเปล่งรังสีแข่งจันทร์นั้นสุดจะฝืน ผลลัพธ์คือความขมขื่นเจ็บช้ำจำฝืนสะอื้นในทรวง"
2
ในเมื่อโดนตอกด้วยเพลง ดาวลืมฟ้า พร ภิรมย์ ก็โต้กลับด้วยเพลงดาวเหมือนกัน
4
ชื่อเพลง ดาวเดี่ยว ต่อว่า พล พรภักดี และ ชาย เมืองสิงห์
2
"ไม่ต้องเตือนพี่หรอกน้อง เพราะพี่มองดูตัว รู้กงจักรรู้ดอกบัว รู้ดีรู้ชั่วทั้งปวง ไม่เนรคุณผู้ที่การุญใหญ่หลวง แต่กลับถูกล่อลวง ดาวต้องขว้างดวงกระเด็น"
1
คราวนี้ ชาย เมืองสิงห์ ก็ร้องเพลงใหม่ตอบโต้ พร ภิรมย์
ชื่อเพลง ดาวหาง เพลงนี้อ้างอิงเพลง ดาวลืมฟ้า ของ พล พรภักดี ด้วย
เนื้อเพลงว่า "เพลงรำวงที่ชื่อว่า ดาวลืมฟ้า เพลงนี้เขาเขียนขึ้นมาไม่เจตนาว่าใคร ขอฝากเพลงนี้ไว้เป็นคติเตือนใจ หญิงชายทั่วไปรับฟังกันได้ทุกคน
ฟังวาจาเฉลยเอ่ยมาน่าขัน ออกร้อนออกรับฉับพลัน ไม่ทันตริตรองและมองเหตุผล กินปูนร้อนท้องไปเที่ยวป่าวร้องกับทุกทุกคน ว่าตนทำดียามไข้ไม่มีผู้ใดสงสาร
2
ทำไมทำตัวเหมือนดังเช่นวัวสันหลังหวะ คอยเผ่นผงะเมื่อยามฝูงกาบินผ่าน เป็นนักธรรมะควรจะตรึกตรองและมองให้นาน รักการทำดี ไยเจ้าจึงหนีหน้าไป
ดาวเรรวนศักดิ์ศรีไม่ควรคู่ฟ้า ดาวน้อยจึงคล้อยจากตาลงโทษฟ้าพาเจ้าไปเร่ขาย ความจริงนั้นหนาดาวเจ้าขายฟ้าที่เคยพลั้งกาย แสงดาวพราวพราย จึงต้องสลายจากสรวงสวรรค์
1
น่าสงสารดาวน้อยที่เคยลอยอยู่คู่ฟ้า สำคัญผิดคิดว่าเลิศกว่าดารานับพัน ด้วยความปรานีจากฟ้า สร้างเจ้าขึ้นมาเป็นดาว อาศัยบารมีดาวเก่า ส่งเจ้าเป็นดาวพราวพรรณ
1
พอได้ดีมีชื่อ ความสัตย์ซื่อเจ้าก็หมด เหลือไว้เพียงความทรยศ มองฟ้าหมดความสำคัญ เจ้าเป็นเหมือนศิษย์คิดล้างครู เป็นลูกไม่รู้คุณพ่อ ลืมถิ่นกำเนิดเกิดก่อ สู้แม้แต่พ่อของมัน
5
เจ้าตีตัวเสมอฟ้า ทำเป็นปีกกล้าขาแข็ง เจ้าเป็นหิ่งห้อยน้อยแสง ยังคิดกำแหงแข่งจันทร์ เสียงเพลงที่เขาร้องมา เจ้าก็ว่าเป็นลิ้นนรก ส่วนลิ้นของเจ้าที่สกปรก กลับว่ามีค่าอนันต์
2
แสนสงสารเจ้าดาวน้อย ที่เจ้าล่องลอยโดดเดี่ยว เจ้าเปล่งแสงอยู่ดวงเดียว ขับเคี่ยวกับดาวนับพัน เจ้ามีแสงเพียงราง ๆ พยายามเบ่งจนหางงอก ใคร ๆ ก็รู้ว่าหางเจ้าออก งอกจนเป็นดาวหางนั่น เจ้าอย่าเอาหางเที่ยวฟาดฟ้า จะถูกประชาลงทันฑ์"
1
ถือว่าเนื้อเพลงแรงมาก ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าการทะเลาะกันครั้งนี้ยากลงเอยด้วยการคืนดี
อย่างไรก็ตาม มองในแง่มุมของความคิดสร้างสรรค์ การเปรียบ หางงอก เป็นหางของดาวหาง ถือว่าเป็นการใช้สัญลักษณ์ที่ดี
คราวนี้คนนอกวงก็ลงมาเล่นบ้าง เริ่มที่นักร้องนักแต่งเพลง หยก นพเก้า ส่งเพลง ดาวยุ เข้าร่วมสนุก
"ผมนอนไม่หลับตาได้ คิดอะไรไม่ออก เพราะเสียงด่ามันมากรอกในหูอยู่ทุกนาที ครั้งแรกได้ยินหูซ้าย ฟังไปได้ยินหูขวา เสียงต่างคนต่างด่า เหมือนโกรธกันมาหลายปี เดือนแรกด่ากันบ้านเหนือ เดือนนี้ยังเหลือบ้านใต้ แสบแก้วหูจะตาย เกรงใจกันบ้างซีิพี่
1
คู่เหนือก็ปากแสนไว คู่ใต้ก็ปากแสนจัด ใช้เสียงไฮไฟฟังชัด ได้คู่ฟัดกันพอดี คู่แรกก็ด่ากันจัง คู่หลังด่ากันจนช้ำ หัวหงอกเขาด่าหัวดำ หัวดำเลยเลือดร้อนฉี่ เลยแต่งเพลงด่ากัน รู้สึกว่ามันดีแท้ มีทั้งลิเกปนแหล่ เขาผลัดกันแหย่คนละที"
2
ชาย ชาตรี (ถนอม มาศสุข) ก็ขอร่วมสนุกด้วย ส่งผลงานเข้าเวทีทะเลาะกัน ชื่อเพลง ดาวเสือก
1
ตามมาด้วยนักแต่งเพลง-นักเขียน ก. แก้วประเสริฐ (กิ่ง แก้วประเสริฐ) แต่งเพลง ดาวหลง ให้ พรชัย ศรีบูรพา ร้อง
1
ว่ากันว่าครูสำเนียง ม่วงทอง คงรำคาญเรื่องนี้ เมื่อแต่งเพลง อ้ายทุยน้ำตาตก ให้ ชัยชนะ บุญโชติ ร้อง เนื้อเพลงท่อนหนึ่งก็แขวะเรื่องนี้
2
"แล้วมายุคดาวอาละวาด ดาวเดี่ยวพิฆาตไม้หลัก ดาวเสือก ดาวหลงเยอะนัก ก็ชักกันใกล้กระจาย มีทั้งดาวร่วงดาวหล่น มีทั้งดาวโกงถอยฉะ อ้ายทุยยกมือไหว้ละนะ ขออย่าให้มีดาวไถ อ้ายทุยไม่อยากจะต่อว่า แต่ทุยมาขอลาทวง..."
หากการทะเลาะกันครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ต ก็มาจบที่เพลง อัดอั้นตันใจ
1
เป็นเพลงสุดท้ายของมหากาพย์เรื่องนี้
เพลงนี้แต่งโดย ลพ บุรีรัตน์ ร้องโดย พนม นพพร ศิษย์อีกสองคนของวงจุฬารัตน์
1
"อัดอั้นตันใจแทบเป็นบ้า บีบคั้นอุราผมอยู่ร่ำไป พี่น้องขาดความปรองดองรักใคร่ ผมเป็นน้องจะพูดอย่างไร อัดอั้นตันใจอยู่ทุกวัน
1
แก่งแย่งชิงดีและชิงเด่น ดั่งมิใช่เป็นสายเลือดเดียวกัน มุ่งหมายแต่คอยที่จะห้ำหั่น คิดอิจฉาคอยด่าแช่งกัน ต่างคนเดียดฉันท์ไม่มีวันดี
1
พ่อแม่มีแต่ความกลุ้มกมล ว่าใครไม่ได้สักคน จำฝืนทนทุกข์โศกทวี ขิงก็ราข่าก็แรงขัดแย้งชิงดี น้ำตาพ่อแม่ไหลปรี่เพราะต่างมีแต่ความอิจฉา
1
โปรดเลิกนินทาหาความใส่ ไม่เห็นว่าใครดีเด่นขึ้นมา อย่าร้ายต่อกันดีกันดีกว่า มิฉะนั้นเป็นเหยื่อโอชาให้มวลหมู่กาเข้ามาจิกกิน"
นอกเหนือจากสารแอบแฝงที่ต้องการส่งออกไปแล้ว โดยคุณค่าทางศิลปะ นี่เป็นเพลงไพเราะและมีสาระเพลงหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ตำนานเรื่องนี้ก็มีทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) ปรากฏขึึ้นมา นั่นคือมีความเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการจัดฉาก เพื่อผลทางการตลาด
เจ้าของทฤษฎีนี้อ้างอิงคำให้การของพระพร ภิรมย์ (พร ภิรมย์ บวชเมื่อปี 2524 จนมรณภาพในปี 2553)
พระพร ภิรมย์ เล่าว่าทุกอย่างเป็นการจัดฉาก โดยยกตัวอย่างการทะเลาะกันระหว่าง สุรพล สมบัติเจริญ - ผ่องศรี วรนุช - เบญจมินทร์ ทำให้เพลงโต้ของแต่ละคนขายดีไปตาม ๆ กัน
1
ทฤษฎีนี้บอกว่า มีเพียงคนสองคนที่รู้และริเริ่มเรื่องนี้คือครูมงคล กับ พร ภิรมย์ โดยใช้เหตุที่ ชาย เมืองสิงห์ เข้าวงจุฬารัตน์เป็นจุดเริ่มต้น
ส่วนคนอื่น ๆ ไม่รู้ความจริง ก็ทะเลาะกันจริง ๆ จนมาจบบทที่เพลง อัดอั้นตันใจ
1
ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร ผลก็คือท้ายที่สุดก็มีการทะเลาะกันจริง ๆ
ชาวบ้านทะเลาะกัน ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่นักร้องทะเลาะกัน ชาวบ้านได้เพลงใหม่มาฟัง
โฆษณา