8 มิ.ย. 2023 เวลา 21:12 • การศึกษา

บันทึกคำบรรยายรายวิชา LAW3111 ภาคเรียนที่ 2/2565 ครั้งที่ 1

คำบรรยายโดย อาจารย์ ภคพงศ์
.
  • ความหมายของ "พยานหลักฐาน"
พยานหลักฐาน คือ สิ่งใดๆก็ตามที่สามารถพิสูจน์ ข้อเท็จจริงที่พิพากกันในคดี ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในรูปของพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานผู้เชี่ยวชาญ หรือพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม
.
.
.
  • ที่มาของหลักพยาน
๑. ป.วิ.แพ่ง ม.84-130
๒. ป.วิ.อาญา ม.226-244/1
๓. กม.อื่น เช่น
- ตามประมวลรัฏษา ตราสารใดไม่ติดอากรสแตมป์ให้ครบถ้วน จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
- ตามข้อสันนิษฐานต่างๆในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น ให้สันนิษฐานว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต
๔.คำพิพาทศาลฎีกา เป็นหลักของศาลสูงที่วางหลักกฎเกณฑ์ไว้
.
มาตรา ๑๕ วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะบังคับได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๑ ข้อความเบื้องต้น ลักษณะ ๑ หลักทั่วไป
.
  • ปัญหาที่เกิดขึ้นในทางคดี
๑.ปัญหาข้อเท็จจริง คือ พฤติการณ์ของคดีที่เกิดขึ้น ซึ่งคู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ และต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์กันในศาล เพื่อให้ศาลเชื่อว่ามีข้อเท็จจริงตามที่ตนกล่าวอ้างหรือต่อสู้เกิดขึ้นจริง นั้นแปลว่า ถ้าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว ต้องมีการสืบพยานหลักฐานกัน ยกเว้นข้อเท็จจริง ๓ ประเภท ตามป.วิ.แพ่ง ม.๘๔
มาตรา ๘๔​ การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น เว้นแต่
(๑) ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป
(๒) ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือ
(๓) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ลักษณะ ๕ พยานหลักฐาน หมวด ๑ หลักทั่วไป
๒.ปัญหาข้อกฎหมาย เป็นปัญหาที่คู่ความไม่ต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ เพราะเป็นปัญหาที่ศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง โดยความรู้ของศาล ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับการตีความ การนำข้อเท็จจริงที่ยุติไปปรับเข้ากับหลักกฎหมายที่เรียกว่าปัญหาหารือบท และปัญหาว่า กฎหมายไทยบัญญัติว่าอย่างไร
มาตรา ๓ ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่ได้ตราไว้ต่อท้ายพระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘ เป็นต้นไป
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ให้ใช้ในศาลทั่วไปตลอดราชอาณาจักร ยกเว้นแต่ในศาลพิเศษที่มีข้อบังคับสำหรับศาลนั้น และถ้ามีกฎหมายให้ใช้ธรรมเนียบประเพณีหรือกฎหมายทางศาสนาในศาลใด ให้ศาลนั้นยกธรรมเนียมประเพณีหรือกฎหมายนั้น ๆ มาใช้แทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ เว้นแต่คู่ความจะได้ตกลงกันให้ใช้ประมวลกฎหมายนี้
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ให้ใช้บังคับแก่คดีความทั้งปวงฐึ่งค้างชำระอยู่ในศาลเมื่อวันใช้ประมวลกฎหมายนี้ หรือที่ได้ยื่นต่อศาลภายหลังวันนั้น ไม่ว่ามูลคดีจะได้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันใช้นั้น
พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พุทธศักราช ๒๔๗๗
.
  • ประเภทของพยาน
ประเภทที่ ๑
๑.พยานโดยตรง : พยานที่แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ได้โดยตรง ได้แก่ ประจักษ์พยาน
๒.พยานแวดล้อมกรณี : พยานหลักฐานที่ไม่ได้แสดงถึงข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ได้โดยตรง แต่อาจจะทำให้ศาลอนุมานได้จากพยานแวดล้อมกรณีว่า มีข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีโดยตรงเกิดขึ้นจริง
ประเภทที่สอง
๑.ประจักษ์พยาน: พยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์ในประเด็นแห่งคดีโดยตรง ตามม.๙๕ (๒)
๒.พยานบอกเล่า : เป็นพยานที่มิได้รู้เห็นข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีโดยตรงเกิดขึ้นจริง เช่น พยานบุคคลที่เป็นพยานบอกเล่า เบิกความต่อศาลว่า ได้ยินจากคนอื่น
มาตรา ๙๕ ห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลใดเว้นแต่บุคคลนั้น
(๒) เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง แต่ความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งของศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ ๕ พยานหลักฐาน หมวด ๑ หลักทั่วไป
ประเภทที่สาม
๑.พยานเดี่ยว : พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาแต่เพียงผู้เดียว
๒.พยานคู่ : พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยหลักแล้วย่อมเบิกความในสาระสำคัญที่ไม่แตกต่างกัน ถ้าแตกต่างกันจะรับฟังไม่ได้
ประเภทที่สี่
๑.พยานนำ: พยานที่คู่ความสามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานในศาล เช่น นำเอกสาร
๒.พยานหมาย: เป็นเรื่องที่บุคคลผู้อยู่ในความครอบครอง หรือบุคคลที่ถูกอ้างว่าเป็นพยานไม่มาศาล ฝ่ายที่อ้างจำเป็นต้องขอหมายเรียกพยานบุคคลให้มาเบิกความต่อศาลตามวันเวลานัดที่ปรากฏอยู่ในหมายเรียก
ประเภทที่ห้า
๑.พยานบุคคล: บุคคลที่มาเบิกความให้ข้อเท็จจริงในคดีต่อศาล และศาลบันทึกคำเบิกความของพยานไว้ แล้วอ่านให้พยานฟัง หากพยานยืนยันว่าถูกต้องก็ให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน
๒.พยานเอกสาร: สิ่งซึ่งมีการบันทึกเป็นตัวอักษรหรือตัวเลข รูปลอย หรือเครื่องหมาย ซึ่งสามารถแสดงข้อความหรือความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งให้ศาลตรวจดูได้ เช่น เทป แผ่นบันทึกเสียง
๓.วัตถุพยาน หรือ พยานวัตถุ: วัตถุสิ่งของที่อาจพิจสูจน์ความจริงต่อศาลได้ โดยการให้ศาลตรวจดู หรืออาจพิจารณาข้อความที่บันทึกไว้ *พยานที่ดีที่สุด*
  • การเสนอคดี
ใคร-เมื่อใด-ที่ไหน
มาตรา ๕๕ เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนวจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ ๓ คู่ความ
ดังนั้น
- ใคร = บุคคลตามกฎหมาย
- เมื่อใด = เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิ เรียกคดีแบบนี้ว่า มีข้อพิพาท ผู้เสนอคดีเรียกว่าโจทก์ ฟ้องคนที่มาโต้แย้ง เรียกว่าจำเลย, เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล เช่น เจ้ามรดกเสียชีวิต แต่ไร้ผู้แทน จึงต้องใช้อำนาจศาลในการรับสิทธิ
คดีจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้เสนอคดี เรียกว่า ผู้ร้อง โดยยื่นคำร้องขอการใช้สิทธิต่อศาล
คดีมาสู่ศาลได้สองทาง คือ
๑.คำฟ้อง ใช้กับคดีมีข้อพิพาท
๒.คำร้องขอ ใช้กับคดีไม่มีข้อพิพาท
- ที่ไหน
ขึ้นอยู่กับชนิดของคดีว่ามีคำฟ้องหรือคำร้องขอ
สำหรับคดีแพ่ง
มาตรา ๒ ห้ามมิให้เสนอคำฟ้องต่อศาลใด เว้นแต่
(๑) เมื่อได้พิจารณาถึงสภาพแห่งคำฟ้องและชั้นของศาลแล้ว ปรากฎว่า ศาลนั้นมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีนั้นได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และ
(๒) เมื่อได้พิจารณาถึงคำฟ้องแล้ว ปรากฏว่าคดีนั้นอยู่ในเขตศาลนั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้อง และตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตศาลด้วย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ ๒ ศาล หมวด ๑ เขตอำนวจศาล
.
มาตรา ๑๗๐ ห้ามมิให้ฟ้อง พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเป็นครั้งแรกในศาลหรือโดยศาลอื่นนอกจากศาลชั้นต้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งเป็นอย่างอื่น
ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในภาคนี้ว่าด้วยคดีไม่มีข้อพิพาท คดีมโนสาเร่ คดีขาดนัด และคดีที่มอบให้อนุญาตโตตุลาการชี้ขาด การฟ้อง การพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้น นอกจากจะต้องบังคับตามบทบัญญัติทั่วไปแห่งภาค ๑ แล้ว ให้บังคับตามบทบัญญัติในลักษณะนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค ๒ วิธีพาจารณาในศาลชั้นต้น ลักษณะ ๑ วิธีพิจารณาสามัญในศาลชั้นต้น
.
เขตอำนาจศาล มีหลักอยู่ที่มาตรา ๔ นอกนั้นเป็นข้อยกเว้น
มาตรา ๔ เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น
(๑) คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่
(๒) คำร้องขอ ให้เสนอต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในศาล หรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ ๒ ศาล หมวด ๑ เขตอำนาจศาล
.
มาตรา ๒๘​ บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล
(๑) พนักงานอัยการ
(๒) ผู้เสียหาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
.
การเสนอคดีแพ่ง โดยสังเขป
จากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๑ บททั่วไป
มาตรา ๑(๓) "คำฟ้อง" หมายความว่า กระบวนพิจารณาใดๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ไม่ว่าจะได้เสนอด้วยวาจาหรือทำเป็นหนังสือ ไม่ว่าจะได้เสนอต่อศาลชั้นต้นหรือชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะที่เริ่มคดีโดยคำฟ้องหรือคำร้องขอหรือเสนอในภายหลังโดยคำฟ้องเพิ่มเติมหรือแก้ไข หรือฟ้องแย้งหรือโดยสอดเข้ามาในคดีไม่ว่าด้วยสมัครใจ หรือถูกบังคับ หรือโดยมีคำขอให้พิจารณาใหม่
มาตรา ๑(๔) "คำให้การ" หมายความว่า กระบวนกาารพิจารณาใดๆ ซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งยกข้อต่อสู้เป็นข้อแก้คำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้ นอกจากคำแถลงการณ์
คำฟ้อง แบ่งเป็นสองชนิด คือ
๑. คำฟ้องเมื่อเริ่มต้นคดี ได้แก่ คำฟ้องสำหรับคดีมีข้อพิพาท, คำร้องขอสำหรับคดีไม่มีข้อพิพาท, คำฟ้องอุทรณ์ที่เสนอโดยผ่านศาลชั้นต้น และ คำฟ้องฎีกาโดยผ่านศาลชั้นต้น
๒.คำฟ้องที่เสนอในภายหลัง ได้แก่ คำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง, ฟ้องแย้ง, ร้องสอดเข้ามาในคดีตามมาตรา ๕๗, คำขอพิจารณาใหม่ เมื่อขาดนัด ยิ่งคำให้การคดีขาดนัดพิจารณาก็ตามและถูกศาลตัดสินให้แพ้คดีก็อาจจะยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ได้
มาตรา ๑(๗) "กระบวนการพิจารณา" หมายความว่า การกระทำใดๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้ อันเกี่ยวด้วยคดีซึ่งได้กระทำไปโดยคู่ความในคดีนั้นหรือโดยศาล หรือตามคำสั่งของศาลไม่ว่าการนั้นจะเป็นโดยคู่ความฝ่ายใดทำต่อศาลหรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง หรือศาลทำต่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทุกฝ่าย และรวมถึงการส่งคำคู่ความและเอกสารอื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้
มาตรา ๑(๘) "การพิจารณา" หมายความว่า กระบวนพิจารณาทั้งหมดในศาลใดศาลหนึ่งก่อนศาลนั้นชี้ขาดตัดสินหรือจำหน่ายคดีโดยคำพิพากษาหรือคำสั่ง
มาตรา ๑(๙) "การนั่งพิจารณา" หมายความว่า การที่ศาลออนั่งเกี่ยวกับการพิจารณาคดี เช่น ชี้สองสถาน สืบพยาน ทำการไต่สวน ฟังคำขอต่างๆ และฟังคำแถลงการณ์ด้วยวาจา
มาตรา ๘๔/๑ คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฎิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว
มาตรา ๑๘๒ เมื่อได้ยื่นคำฟ้อง คำให้หาร และคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ถ้าหากมีแล้ว ให้ศาลทำการชี้สองสถานโดยแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) จำเลยคนใดคนหนึ่งขาดนัดยื่นคำให้การ
(๒) คำให้การของจำเลยเป็นการยอมรับโดยชัดแจ้งตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสิ้น
(๓) คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น โดยไม่มีเหตุแห่งการปฎิเสธ ซึ่งศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีการชี้อสองสถาน
(๔) ศาลเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เสร็จไปทั้งเรื่องโดยไม่ต้องสืบพยาน
(๕) คดีมโนสาเร่ตามมาตรา ๑๘๙ หรือคดีไม่มีข้อยุ่งยากตามมาตรา ๑๙๖
(๖) คดีที่ศาลเห็นว่ามีประเด็นข้อพิพาทไม่ยุ่งยากหรือไม่จำเป็นที่จะต้องชี้สองสถาน
ในกรณีที่ไม่ต้องมีการชี้สองสถาน ให้ศาลมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและกำหนดวันสืบพยาน ถ้าหากมี แล้วให้ส่งคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความทราบตามมาตรา ๑๘๔ เว้นแต่คู่ความฝ่ายใดจะได้ทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว
คู่ความอาจตกลงกันกะประเด็นข้อพิพาทโดยยื่นคำแถลงร่วมกันต่อศาลในกรณีเช่นว่านี้ ให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไปตามนั้น แต่ถ้าศาลเห็นว่าคำแถลงนั้นไม่ถูกต้อง ก็ให้ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำแถลงนั้น แล้วดำเนินการชี้สองสถานไปตามมาตรา ๑๘๓
.
.
มาตรา ๑๘๓ ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคำคู่ความและคำแถลงของคู่ความ แล้วนำข้ออ้าง ข้อเถียง ที่ปรากฎในคำคู่ความและคำแถลงของคู่ความเทียบกันดู และสอบถามคู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียง และพยานหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างแต่คำคู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาท
ตามคำคู่ความให้ศาลกำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท และกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้
ในการสอบถามคู่ความตามวรรคหนึ่ง คู่ความแต่ละฝ่ายต้องตอบคำถามที่ศาลถามเองหรือถามตามคำขอของคู่ความฝ่ายอื่น เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายอื่นยกขึ้นเป็นข้ออ้าง ข้อเถียง และพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่คู่ความจะยื่รต่อศาล ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใดหรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว เว้นแต่คู่ความ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธได้ในขณะนั้น
คู่ความมีสิทธิคัดค้านว่าประเด็นข้อพิพาทหรือหน้าที่นำสืบที่ศาลกำหนดไว้นั้นไม่ถูกต้อง โดยแถลงด้วยวาจาต่อศาลในขณะนั้นหรือยื่นคำร้อวต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลสั่งกำหนดประเด็นข้อพิพาทหรือหน้าที่นำสืบ ให้ศาลชี้ขาดคำคัดค้่นนั้นก่อนวันสืบพยาน คำชี้ขาดคำคัดค้านดังกล่าวให้อยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๒๒๖
.
.
มาตรา ๑๘๔ ในกรณีที่มีการชี้สิงสถาน ให้ศาลกำหนดวันสืบพยานซึ่งมีระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบวันนับแต่วันชี้สองสถาน
ในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน ให้ศาลออกหมายกำหนดวันสืบพยานส่งให้แก่คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน
.
.
การชี้สองสถาน คือ กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นประการหนึ่ง หลังจากมีการยื่นคำคู่ความแล้ว เพื่อความสะดวกในการพิจารณาและพิพากษา ทั้งไม่ใช่คดีตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๘๒ (๑)-(๖) ศาลจะสั่งให้ทำการชี้สองสถาน
  • การบ้าน
ก.พยานหลักฐาน คือ อะไร
ข. สิ่งต่อไปนี้ ซึ่งนำเสนอต่อศาลเป็นพยานหลักฐานหรือไม่
(๑) คำแปล เอกสารภาษาต่างประเทศ
(๒) รายงานของพนักงานคุมประพฤติ
(๓) เทปบันทึกเสียง
ค. ในฐานะที่ท่านเป็นพลเมือง เมื่อท่านได้รับหมายเรียกให้ไปเป็นพยานต่อศาลแล้ว ท่านมีหน้าที่ที่สำคัญอย่างไรบ้าง
โฆษณา