Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
AI & I
•
ติดตาม
12 มิ.ย. 2023 เวลา 15:34 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เมื่อนักปรัชญาอธิบายเรื่อง AI
"Chinese Room Argument" ของ John Searle
John Searle เป็นนักปรัชญาชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในด้านการศึกษาปรัชญาภาษาและปรัชญาจิตวิทยา ทฤษฎีที่เป็นที่รู้จักอย่างมากของเขาคือ "Chinese Room Argument" ซึ่งเป็นการทดลองคิดเพื่อตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความเข้าใจและความรู้สึกของปัญญาประดิษฐ์ (AI)
“ทฤษฎีห้องจีน (Chinese Room Argument)” อธิบายได้ประมาณนี้
จินตนาการว่าคุณอยู่ในห้องที่มีช่องสองช่อง ในช่องที่หนึ่ง คนที่อยู่นอกห้องส่งกระดาษที่เขียนอักษรจีนเข้ามา คุณไม่เข้าใจภาษาจีน แต่คุณมีหนังสือที่บอกว่าควรเขียนอักษรจีนใดเพื่อตอบสนองอักษรที่คุณได้รับ คุณหาอักษรในหนังสือ เขียนลงบนกระดาษ แล้วส่งกระดาษกลับออกไปทางช่องที่สองให้คนนอกห้อง
มองจากคนที่อยู่ข้างนอก ดูเหมือนว่าคนในห้องนี้เข้าใจภาษาจีน - ได้รับคำถามเป็นภาษาจีนและสร้างคำตอบที่มีเหตุผลกลับมา แต่จริงๆ ภายในห้อง คุณไม่เข้าใจภาษาจีนเลย คุณเพียงแค่ปฏิบัติตามคำแนะนำจากหนังสือคู่มือ
Searle ใช้ทฤษฏีนี้เพื่ออธิบายแนวคิดความแตกต่างระหว่าง “Weak AI” หรือ Narrow AI ที่ถูกฝึกให้เก่งในการหาคำตอบเฉพาะเรื่อง โดยไม่ต้องมีความเข้าใจเพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่งที่โปรแกรมไว้ คล้ายกับคนใน "Chinese Room Argument"
ตัวอย่างของ AI ประเภทนี้ ก็คือ Generative AI Tools เช่น ChatGPT, DALEE-2, Midjourney เป็นต้น
คำตอบทั้งหมด มาจากความสามารถในการค้นหาและเทียบเคียงลักษณะคำถามกับคำตอบจากคู่มือจำนวนมหาศาลด้วยความรวดเร็วแบบความไวแสง โดยไม่รู้ความหมายของคำถามเลย
และ “Strong AI" หรือ Artificial General Intelligence (AGI). หมายถึง AI ที่ไม่เพียงแค่เลียนแบบปัญญาของมนุษย์ แต่มีความเข้าใจและมีความรู้สึกตรงกับที่ปัญญามนุษย์มีจริงๆ
Searle เชื่อว่าความรู้สึกที่แท้จริงเป็นกระบวนการทางชีวภาพที่ไม่สามารถถูกทำซ้ำโดยเครื่องหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ตามความเชื่อของเขา เครื่องสามารถจำลองความเข้าใจและเลียนแบบการตอบสนองตามการโปรแกรมของมัน แต่มันไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่มันกำลังทำ มันไม่มีประสบการณ์ตรงที่เป็นภาคบุคคลที่ Searle เชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญของความรู้สึกนึกคิดที่นำไปสู่การสร้างปัญญาที่เหมือนมนุษย์จริงๆ
ในวงการ AI เอง ก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา “Strong AI” แม้ว่าการพัฒนา “Weak AI” จะพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดดในปีนี้
เชื่อกันว่า เราคงจะอยู่กับ Weak AI กันอย่างน้อย 20-30 ปี ก่อนที่จะสามารถพัฒนาไปถึงจุดที่ Strong AI สามารถนำมาใช้ได้อย่างจริงจัง
จากการทำความเข้าใจนี้ ทำให้เราสามารถจัดตำแหน่งแห่งที่ผู้ช่วย Weak AI (ที่เก่งมากในบางเรื่อง) เหมือนพนักงานจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังต้องการ เรา ผู้เป็นมนุษย์ในการชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องในการนำไปสู่คำตอบของปัญหาที่เราต้องการที่ดีที่สุด
การชี้นำแนวทางดังกล่าว เปรียบเสมือนการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในระบบ นั่นก็คือส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด (Consciousness) ที่มาจากกระบวนการทางชีวภาพ (biological process) ที่หลอมรวมจากความรู้และประสบการณ์ส่วนตัว (first-person experience) ของแต่ละคน
ความสามารถในการเติมเต็มสิ่งที่หายไปนี้ ไม่ใช่ความสามารถที่มาจากความรู้ด้าน Gerneral Science หรือ Technology แต่เป็นความรู้ความเข้าใจใน Social Science อย่าง ปรัชญา, จิตวิทยา, สังคม, การเมือง, ประวัติศาสตร์ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคชีวิตจริง
มันคือองค์ประกอบสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า Creativity
เมื่อถึงวันหนึ่ง วันที่ทุกคน ทุกธุรกิจ เข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียมกันทั้งโลก การมี AI technology เพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) อีกต่อไป
น่าสนใจว่า เราจะวางนโนบายด้านการศึกษาและเทคโนโลยีเพื่อต้อนรับสิ่งเหล่านี้อย่างไร
เศรษฐกิจ
เทคโนโลยี
ความรู้
2 บันทึก
3
2
2
3
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย