13 มิ.ย. 2023 เวลา 14:50 • ประวัติศาสตร์

13 มิถุนายน 2535 สิ้น “พุ่มพวง ดวงจันทร์”

ราชินีลุกทุ่งที่กำเนิดจากหางเครื่อง-ร้องประกวด
“เมื่อสุริยนย่ำสนธยา หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง ให้มาคิดถึงบ้านนาเสียจัง ป่านฉะนี้คงคอยหวัง เมื่อไหร่จะกลับบ้านนา…” เสียงเพลง “นักร้องบ้านนอก” ไวพจน์ เพชรสุพรรณ-แต่ง ให้ พุ่มพวง ดวงจันทร์ ร้อง ดังกระฮึมผ่านสถานีวิทยุต่างๆ ในเช้าวันที่ 14 มิถุนายน 2535 หลังข่าวการเสียชีวิตของเธอเมื่อคืนวาน (13 มิถุนายน 2535) มีการประชาสัมพันธ์ออกมา
พุ่มพวง ดวงจันทร์ (4 สิงหาคม 2504 – 13 มิถุนายน 2535) ชื่อจริงว่า รำพึง จิตรหาญ (ชื่อเล่น ผึ้ง) ผู้ชอบร้องเพลงเป็นชีวิตใจ และเธอก็เหมือนนักร้องคนอื่นที่ใช้เวทีประกวดร้องเพลงงานวัดเป็นหนทางเข้าสู่วงการ โดยใช้ชื่อว่า ผึ้ง สองพี่น้อง, ผึ้ง ณ ไร่อ้อย
พ.ศ. 2518 ขณะมีอายุได้ 15 พุ่มพวงร้องเพลง “สาวสวนแตง” ของผ่องศรี วรนุช และชนะเลิศนักร้องฝ่ายหญิงที่งานวัดท่าเรือ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี รำพึง จิตรหาญ-พ่อของพุ่มพวง จึงพาเธอไปฝากเป็น “หางเครื่อง” ในวงดนตรีของ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ที่มาทำแสดงที่วัดท่ามะกาในเวลานั้น
ระหว่างที่อยู่วงดนตรีของไวพจน์ พุ่มพวงทดลองร้องเพลงหน้าเวที ครั้งแรกในงานประจำปี ที่ตลาดลำนารายณ์ อำเภอไชยบาดาลจังหวัดลพบุรี ต่อมาไวพจน์แต่งเพลง “แก้วรอพี่” ให้พุ่มพวงร้องบันทึกเสียงเป็นครั้งแรกโดยใช้ชื่อว่า “น้ำผึ้ง เมืองสุพรรณ” และที่นี้อีกเช่นกันที่พุ่มพวงได้พบรักกับ ธีระพล แสนสุข-สามีคนแรกซึ่งเป็นนักดนตรีอยู่ในวง
ต่อมา รุ่ง โพธาราม-นักร้องรุ่นพี่ชักชวนให้แยกมาตั้งวงดนตรีเอง ด้วยการสนับสนุนของมนต์ เมืองเหนือ และมีการเปลี่ยนชื่อจาก น้ำผึ้ง เมืองสุพรรณ เป็น “พุ่มพวง ดวงจันทร์” แต่กิจการวงดนตรีไม่ประสบความสำเร็จและต้องเลิกไปในที่สุด แต่พุ่มพวงไม่ถอดใจ เธอตั้งวงดนตรีอีกเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็ขาดทุนจนเลิกกิจการไป พุ่มพวงจึงหันมาเป็นนักร้องประจำวงของ ศรเพชร ศรสุพรรณ และขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด
พุ่มพวง เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเมื่อไปทำงานกับบริษัท เสกสรรค์ จำกัด ของประจวบ จำปาทอง แต่ที่เรียกว่า “โด่งดัง” คือ พ.ศ. 2525 เมื่อมาอยู่บริษัท อโซน่าโปรโมชั่น โดยมี ลพ บุรีรัตน์ (ชื่อจริง วิเชียร คำเจริญ) ครูเพลงชื่อดังแต่งเพลงให้, ประยงค์ ชื่นเย็น และอเนก รุ่งเรือง เรียบเรียงดนตรี ทำให้เพลง สาวนาสั่งแฟน, นัดพบหน้าอำเภอ, กระแซะเข้ามาซิ, อื้อหือ…หล่อจัง, ห่างหน่อยถอยนิด ฯลฯ ดังระเบิดไปทั่วประเทศ
กล่าวได้ว่า เพลงที่พุ่มพวงเป็นร้อง, ลพแต่ง, ประยงค์/อเนกเรียบ เพลงไหนเพลงนั้น “ดัง” ติดหูคนฟังหมด ผลงานของทั้งสามคนจึงทยอยออกมาอีกมากมาย เช่น ตั๊กแตนผูกโบว์, เงินน่ะมีไหม, ขอให้รวย, หนูไม่รู้, คนดังลืมหลังควาย ฯลฯ
จังหวะนี้เองพุ่มพวง ตั้งวงดนตรีพุ่มพวง ดวงจันทร์ อีกครั้ง คราวนี้เธอประสบความสำเร็จทางธุรกิจเพลงและวงดนตรี ทุกอย่างไปด้วย ยกเว้นชีวิตครอบครัว ประมาณปี 2526 พุ่มพวงตัดสินใจแยกทางกับ ธีระพล แสนสุข ในปีเดียวกันนี้เองที่พุ่มพวงเริ่มอาชีพ “นักแสดง” ผลงานเรื่องแรกชองเธอคือ “สงครามเพลง” ของฉลอง ภักดีวิจิตร มีเพลงประกอบชื่อ “ดาวเรืองราวโรย” ที่ลพ บุรีรัตน์เป็นผู้แต่งให้พุ่มพวงร้องในเรื่อง
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายเรื่อง เช่น ผ่าโลกบันเทิง (พ.ศ. 2526), สาวนาสั่งแฟน (พ.ศ. 2527), มนต์รักนักเพลง (พ.ศ. 2528), อาจารย์เด๋อเจอพุ่มพวง (พ.ศ. 2528) ฯลฯ การเข้าวงการแสดงทำให้พุ่มพวงได้พบกับ “ไกรสร แสงอนันต์” สามีคนที่ 2 (ที่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน คือ ชื่อ “น้องเพชร”) ซึ่งเข้ามาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ให้
พุ่มพวง เขาได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับพุ่มพวง ด้วยการนำวงดนตรีของพุ่มพวง เปิดคอนเสิร์ตการกุศลหน้าพระพักตร์พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ (พระอิสริยยศขณะนั้น) ที่ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี เมื่อปี 2529 ซึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการลูกทุ่งไทย
พุ่มพวง ยังเป็นนักร้องลุกทุ่งหญิงคนเดียว ที่เดินทางไปเปิดการแสดงที่สหรัฐอเมริกาตามคำเชิญของแฟนเพลงแดนไกลบ่อยที่สุด สถิติจากร้านจำหน่ายเพลงของคนไทยในลอสแองเจลิส ปี 2533-34 แจ้งว่ามียอดจำหน่ายสูงสุดถึง 1 ล้านตลับ
ขณะที่พุ่มพวงกำลังโด่งดังเรื่องการงาน สุขภาพเธอกลับย่ำแย่
มีนาคม พ.ศ. 2534 พุ่มพวงป่วยเป็นโรคไต อาการรุนแรงจนต้องส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ต่อมามีการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลแพทย์ตรวจพบว่า พุ่มพวงป่วยเป็นโรค “เอสแอลดี” หรือโรคลูปัส
โรคเอสแอลอี เป็นโรคในกลุ่มข้ออักเสบและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลจากความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทําให้ร่างกายสร้างสารโปรตีนชนิดหนึ่งต่อต้านเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายตนเองและเกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่เป็นพิษต่ออวัยวะขึ้น (แพ้ภูมิตนเอง) ทําให้มีอาการและอาการแสดงได้กับทุกระบบในร่างกาย
วันที่ 13 มิถุนายน 2535 พุ่มพวงที่มีอาการป่วยเรื้อรังและญาติๆ เดินทางไปนมัสการพระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีมหาธาตุ จ.พิษณุโลก พุ่มพวงเกิดหมดสติกะทันหันจนต้องนำส่งโรงพยาบาล แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นสุดท้ายเธอก็เสียชีวิตลงในค่ำคืนนั้น
งานศพของพุ่มพวง จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติที่วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี มีแฟนเพลงนับแสนเดินทางจากทั่วประเทศมาอำลานักร้องในดวงใจของพวกเขา ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ คงเหลือแต่ผลงานเพลงของเธอที่ฝากไว้ให้แฟนๆ
ซึ่งเป็นเพลงของพุ่มพวง นำเสนอภาพใหม่ของ “คนบ้านนอก” ที่ต่างไปจากเดิมที่ มักจะอมทุกข์, เจียมตัว, ไม่ค่อยมีหวัง,ถ้าเป็นผู้หญิงก็น้ำตาเช็ดหัวเข่า ฟูมฟาย ท้อแท้ ฯลฯ แต่ “คนบ้านนอก” ในเพลงของพุ่มพวง มีความมุ่งมั่น พร้อมจะฝ่าฟันต่อสู้ให้ถึงจุดหมาย แม้จะลำบาก, เจ็บปวด ฯลฯ ดังที่เธอเคยบอกเราว่า
“เมื่อสุริยนย่ำสนธยา จะกลับบ้านนาตอนชื่อเสียงเรามี จะยากจะจน ถึงอดจะทนเต็มที่ นักร้องบ้านนอก คนนี้จะกล่อมน้องพี่ และแฟนเพลง…”
เส้นทาง ไวพจน์ เพชรสุพรรณ สู่ราชาเพลงแหล่ และแต่งเพลงให้พุ่มพวง ดวงจันทร์
ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ภาพจาก มติชน,
ผู้เขียน กองบรรณาธิการ
เผยแพร่ วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ.2565
บรรดาศิลปินเพลงพื้นบ้านที่โดดเด่นของไทยยุคนี้ ย่อมต้องมีชื่อ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ อย่างแน่นอน กว่าจะมาเป็น “ราชาเพลงแหล่” ซึ่งคนทั่วประเทศรู้จักคุ้นเคย ตำนานศิลปินท่านนี้ผ่านเส้นทางมามากมาย
ข้อมูลเกี่ยวกับนายไวพจน์ ในเอกสาร “วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสุพรรณบุรี” อธิบายไว้ว่า เดิมทีมีชื่อ-นามสกุลว่า ไวพจน์ สกุลนี (พาน สกุลนี) เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2485 ในจังหวัดสุพรรณบุรี จบการศึกษาประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดวังน้ำเย็น ในบ้านเกิด
เมื่ออายุ 12 ปี ไวพจน์ เริ่มฝึกและหัดร้องเพลงอีแซว อันเป็นเพลงพื้นบ้านในแถบจังหวัดสุพรรณบุรี จนสามารถร้องได้ในที่สุด กระทั่งอายุ 14 ปี ไวพจน์ สามารถร้องเพลงแหล่ได้ และเริ่มหัดร้องลิเกกับคณะลิเกประทีป แสงกระจ่าง
ต่อมาในวัย 16 ปี ไวพจน์ เข้าประกวดงานร้องเพลงครั้งแรก และสามารถคว้ารางวัลอันดับ 1 มาได้ จากบทเพลง “จันทโครพ” ซึ่งเป็นเพลงแหล่ของพร ภิรมณ์
ในช่วงเวลาหนึ่ง เพลงลูกทุ่งเป็นที่นิยมและอยู่ในความสนใจของประชาชน ช่วงเวลานั้นมีนักร้องลูกทุ่งโด่งดังกันมากมาย หนึ่งในนั้นมี “ชัยชนะ บุญณะโชติ” และเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้นายไวพจน์ได้เข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่ง อีกทั้งยังตั้งชื่อ “ชื่อใหม่” ให้ว่า “ไวพจน์ เพชรสุวรรณ”
เอกสารดังกล่าวเล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า เมื่อชัยชนะ บุญณะโชติ นำวงดนตรีมาเล่นที่ตลาดสวนแตง และเปิดรับสมัครประกวดร้องเพลงไปด้วย นายไวพจน์ ก็เข้าร่วมสมัคร เมื่อร้องไปแล้วได้รับเสียงชื่นชมล้นหลาม ชัยชนะ บุญณะโชติ จึงชักชวนให้เข้าวงการลูกทุ่งและตั้งชื่อให้ใหม่
นอกจากนี้ ยังมี “ครูสำเนียง ม่วงทอง” นักแต่งเพลงชาวสุพรรณบุรีซึ่งเป็นครูสอนร้องเพลง และทำเพลงให้แก่นายไวพจน์ จนทำให้ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพลงนั้นมีชื่อว่า “ให้พี่บวชเสียก่อน”
นอกจากความสามารถการร้องเพลงลูกทุ่งได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ไวพจน์ สามารถร้องเพลงพื้นบ้าน พื้นเมืองได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเพลงฉ่อย เพลงแซว เพลงเรือ และสามารถตอบโต้ปฏิภาณกวีได้ โดยเฉพาะเมื่อร้องเพลงแหล่ เวลาต่อมาจึงทำให้ไวพจน์ มีผลงานแผ่นเสียงเพลงแหล่มากที่สุดในประเทศไทย จนได้รับการยกย่องเป็น “ราชาเพลงแหล่” (วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสุพรรณบุรี, 2542)
ไวพจน์ เป็นนักร้องลูกทุ่งอาวุโส ที่ทำผลงานบันทึกแผ่นเสียงมากที่สุดอีกคนหนึ่ง เอกสารดังกล่าวระบุตัวเลขโดยคร่าวไว้ว่าประมาณ 2,000 เพลง รวมทั้งเพลงที่แต่งเอง และครูเพลงแต่งให้
นอกจากผลงานของตัวเองแล้ว ไวพจน์ ยังแต่งเพลงและสร้างชื่อเสียงให้แก่ลูกศิษย์จำนวนมาก มีศิษย์เอกที่โด่งดังอย่าง ขวัญจิต ศรีประจันทร์, เพชร โพธาราม และพุ่มพวง ดวงจันทร์ (เพลง แก้วรอพี่ และ นักร้องบ้านนอก) แถมยังมีบทบาทเป็น “หมอทำขวัญ” และได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้องเพลงลูกทุ่ง) เมื่อปี พ.ศ. 2540
ข้อสันนิษฐาน คำ “รถพุ่มพวง” มาจากไหน? ขายถึงที่ฉบับคลาสสิกซึ่งคนไทยคุ้นเคย
(ภาพจาก www.sentangsedtee.com)
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2561
ผู้เขียน รศ. ยุวดี ศิริ
เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ.2565
แม้ว่าผู้เขียนจะเชื่อว่า การเกิดขึ้นของรถพุ่มพวงคือรูปแบบของการปรับตัวจากการค้าขายแบบดั้งเดิม คือ การพายเรือนำสินค้าไปขายให้ผู้บริโภค จนเปลี่ยนมาสู่การสัญจรทางบกเป็นการหาบเร่–แผงลอย จนนำสู่การนำรถกระบะมาขายสินค้าในพื้นที่ที่ห่างไกลขึ้นและหาบเร่ไม่สามารถไปได้ทั่วถึง
ก็ยังมีผู้กล่าวว่าคำว่า “รถพุ่มพวง” เป็นเพราะพ่อค้าแม่ค้านิยมเปิดเพลงของนักร้องลูกทุ่ง “พุ่มพวง ดวงจันทร์” เมื่อมีผู้กล่าวถึงที่มาเช่นนี้ ผู้เขียนจึงพยายามค้นคำตอบโดยอ้างอิงจากข้อเท็จจริงจากงานวิจัยให้ได้มากที่สุด จนพบเรื่องราวที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง
ผู้เขียนพบว่าช่วงที่มีรถพุ่มพวงเกิดขึ้นและเริ่มแพร่หลายนั้นเป็นยุคที่ธุรกิจจัดสรรที่ดิน “บูม” ในสมัยรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ราว พ.ศ. 2531–34 มีปัจจัย 2 ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิด “รถพุ่มพวง” ปัจจัยที่ 1 เมื่อมีการตัดถนนสายใหม่ ๆ ไปสู่ชานเมือง ผู้ประกอบการก็จะเริ่มเข้าไปจับจองที่ดินเพื่อขึ้นโครงการจัดสรร มีแคมป์
คนงาน แต่แรงงานเหล่านี้ไม่มีที่ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค รถพุ่มพวงจึงเป็นตลาดสดและโชห่วยที่วิ่งเร่ไปขายสินค้าให้กับแรงงานเหล่านี้ ปัจจัยที่ 2 การรุกเข้ามาของร้านสะดวกซื้อใน พ.ศ. 2532 จนทำให้เกิดปัญหากับร้านโชห่วยดั้งเดิม ผู้ขายจำนวนหนึ่งต้องปรับตัวขนานใหญ่ บางส่วนหันไปขายของในลักษณะรถเร่
เนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกลและยังไม่มีชุมชนไปเกิดขึ้นมากนัก การขายสินค้าแรกๆ ของรถเร่เหล่านี้จำเป็นต้องมี “โทรโข่ง” ประกาศให้คนในละแวกใกล้เคียงได้รู้ว่า ตลาดสดได้เคลื่อนที่มาหาพวกท่านแล้ว และนอกจากเสียงประกาศแล้ว จะมีอะไรดีไปกว่าการเปิด “เพลงลูกทุ่ง” ควบคู่ไปด้วย นักร้องที่เป็นที่นิยมฝ่ายชายย่อมปรากฏชื่อ ยอดรัก สลักใจ หรือ สายัณห์ สัญญา ส่วนฝ่ายหญิงก็ย่อมปรากฏชื่อของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ หรือ สุนารี ราชสีมา
แต่พบว่ามีหนังสือและเทปรวมเพลงฮิตของพุ่มพวงขายดีอย่างมากเมื่อพุ่มพวงเสียชีวิตใน พ.ศ. 2535 ตอนนั้นกระแสเพลงพุ่มพวงกระฮึ่มไปทั่วประเทศ จึงไม่แปลกถ้าคนส่วนใหญ่จะได้ยินเพลงพุ่มพวงจากรถขายกับข้าวในช่วงนั้นมากเป็นพิเศษ จนเหมาเอาว่าถ้าเป็นรถขายกับข้าวต้องเปิดเพลงพุ่มพวง เมื่อได้ยินเพลงก็แสดงว่ารถขายกับข้าวมาแล้ว และคำว่า “พุ่มพวง” ก็ฟังเป็นคำชาวบ้าน ๆ ประกอบกับที่เห็นของที่ขายการห้อยเป็นพุ่มเป็นพวงเลยลงตัวพอเหมาะพอดี
และ พ.ศ. 2535 รัฐบาลคุณอานันท์ ปันยารชุน ประกาศลดภาษีรถยนต์ ทำให้รถกระบะมีราคาถูกลงประมาณ 30% มีรถมือสองถูกขายออกมาอย่างมากมายเพื่อซื้อรถใหม่ที่ราคาถูกกว่า จึงน่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้รถพุ่มพวงเกิดขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะรถกระบะมือสองที่มีราคาเหลือไม่ถึงหลักแสนบาท
และเมื่อเศรษฐกิจของไทยถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง คนส่วนหนึ่งที่ตกงานก็เริ่มมีการ “เปิดท้ายขายของ” การนำเอาสินค้าเร่ไปขายให้ผู้บริโภคจึงทำให้มีทั้ง รถขายกับข้าว รถเร่ขายของเบ็ดเตล็ด รถขายผลไม้ และสินค้าอะไรก็ได้ที่เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อที่ห่างไกลจากสาธารณูปโภคสาธารณูปการขั้นพื้นฐาน
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตบางประการที่ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมให้ธุรกิจรถขายกับข้าวหรือรถพุ่มพวงกลายมาเป็นวิถีชาวบ้านส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างทุกวันนี้ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่ว่ากันเพียงแต่ผู้เขียนลองรวบรวมให้เห็นพัฒนาการเรื่องต่างๆ ที่มีผู้กล่าวถึงเกี่ยวกับรถพุ่มพวงเผื่อเป็นบันทึกไว้ให้ผู้สนใจที่ต้องการค้นคว้ากันในโอกาสต่อไป
โฆษณา