18 มิ.ย. 2023 เวลา 11:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

2001 : A Space Odyssey | 10/10

อาจกล่าวได้เต็มปากว่า ไม่มีหนังวิทยาศาสตร์เรื่องใดที่เมื่อปรากฏบนจอแล้ว สร้างความสั่นสะเทือนเท่า 2001 : A Space Odyssey
เมื่อปี 1948 อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ค ส่งต้นฉบับเรื่องสั้นชื่อ The Sentinel ไปประกวดที่สถานีวิทยุบีบีซี เขาไม่ได้รับรางวัลใดเลย ผ่านไปสามปีเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ใน Avon Science Fiction and Fantasy Reader
เมื่อ สแตนลีย์ คูบริก บอกว่าอยากทำหนังไซไฟที่ดี ๆ สักเรื่อง เขาติดต่อ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ค ทั้งสองจึงดัดแปลงเรื่องสั้นนี้มาเป็นบทหนัง ตามมาด้วยนวนิยาย นี่คือที่มาของ 2001 : A Space Odyssey
ผมดูหนังไซไฟมาไม่น้อย และมักรำคาญกับความหละหลวมของการเขียนเรื่องและหน้าตาของมนุษย์ต่างพิภพอยู่เนือง ๆ มนุษย์ต่างดาวทั้งหลายที่อยู่ห่างจากโลกหลายร้อยปีแสงมีหน้าตาคล้ายมนุษย์มาก หรือในกรณีที่มนุษย์จากโลกเราไปเดินบนโลกอื่น ๆ อย่างสบายโดยไม่มีปัญหาเรื่องแรงโน้มถ่วงที่ไม่เหมือนกัน ฯลฯ
1
แต่เรื่อง 2001 : A Space Odyssey ไม่พลาดในรายละเอียดความสมจริงทางวิทยาศาสตร์เลย และเป็นงานที่ก้าวเกินเวลาในยุคนั้น
1
ผ่านไปหลายสิบปี 2001 ยังคงความคลาสสิก ไม่แพ้นิยายหนังรัสเซียปี 1961 ของ สตานิสลอว์ เลม ชื่อ โซลาริส (1972) กำกับโดย อังเดร ทาร์คอฟสกี ซึ่งเป็นการตีความสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลกเช่นกัน2001 : A Space Odyssey ฉบับหนังใช้เวลาสร้างนานสามปี เขียนบทโดยอาร์เธอร์ ซี. คลาร์ค กับ สแตนลีย์ คูบริก คนหลังทำหน้าที่เป็นผู้กำกับด้วย
1
โครงเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่จบสมบูรณ์ในตัว แต่เป็นเหมือนท่อนหนึ่งของเหตุการณ์ (ทำให้คนเขียนสามารถสร้างภาคต่อตามมาได้อีกสามภาค แต่ไม่แรงเท่าภาคแรก)
2
(มีสปอยเลอร์)
2001 เปิดฉากที่มนุษย์วานรคนหนึ่ง นามกรว่า 'นักมองจันทร์' กำลังมองท้องฟ้าด้วยความฉงน เขาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ที่สวรรค์ข้างบน แต่เบื้องบนนั้นดูอลังการเหลือเกิน เขาเป็นสมาชิกหนึ่งในประชากรมนุษย์วานรในโลกยุคนั้น พวกเขาช่วยกันล่าสัตว์ด้วยมือเปล่า กินอาหารเท่าที่หามาได้ และผ่านชีวิตไปเรื่อย ๆ ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดตามธรรมชาติ
วันหนึ่งนักมองจันทร์ตื่นขึ้นมาเห็นวัตถุชิ้นหนึ่ง เป็นแท่งหินสีดำสนิท สัดส่วน 1 : 4 : 9 โผล่ขึ้นมาจากไหนก็จนปัญญารู้
นักมองจันทร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทราบแต่ว่าไม่นานหลังจากนั้น เขาก็บังเกิด 'ปัญญา' สามารถหาวิธีสร้างอาวุธล่าสัตว์ได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ 'เปลี่ยน' ไป เกิดการวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด กลายเป็นสายพันธุ์คนปัจจุบัน
1
หลายล้านปีต่อมา โลกก้าวผ่านอารยธรรมต่าง ๆ มาจนถึงยุคที่ยานอวกาศของมนุษย์ไปตั้งฐานบนดวงจันทร์ เครื่องมือของพวกเขาจับสัญญาณบางอย่างจากใต้ดิน เชื่อว่าเป็นอะไรบางสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติซ่อนอยู่เบื้องล่าง เมื่อพวกเขาขุดออกมาก็พบแท่งหินสีดำสนิท สัดส่วน 1 : 4 : 9 (ตั้งชื่อว่า TMA-1)
1
พลันที่แท่งหินสีดำเผยตัวออกมาจากผืนดิน แท่งหินนั้นส่งสัญญาณไปยังพื้นที่แถว ๆ ดาวพฤหัส (ฉบับหนังสือเป็นดาวเสาร์)
พวกมนุษย์ส่งยานอวกาศนาม ดิสคัพเวอรี ไปยังจุดนั้น ระหว่างทางคอมพิวเตอร์ชื่อ HAL 9000 ในยานอวกาศเกิดอาการไม่ปกติ สังหารนักบินอวกาศทุกคนในยาน รอดมาได้คนเดียว
ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางต่อไปยังแท่งหินสีดำที่ลอยอยู่แถวนั้น เดินทางผ่าน 'ประตูดาว' หรือ 'รูหนอน' แห่งจักรวาล ไปพบความจริงที่ไม่มีมนุษย์คนใดเคยรู้มาก่อน และพบกับความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ความจริงแท่งหินสีดำนี้เป็นสมบัติของสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว พวกเขาเยือนโลกต่าง ๆ ในจักรวาล พบเห็นมนุษย์วานรในช่วงแรกเริ่ม และทำการทดลองในการ 'อัพเกรด' สายพันธุ์นี้ เพราะเชื่อว่ามีศักยภาพในการเป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาชนิดหนึ่งได้
1
พวกเขาปรับเปลี่ยนระดับความฉลาดของมนุษย์วานร ให้มันวิวัฒนาการต่อมาเป็นสายพันธุ์มนุษย์ที่ฉลาดกว่าสัตว์อื่น ๆ
แต่ทว่าสิ่งทรงภูมิปัญญากลุ่มนี้ไม่มีเวลาเฝ้าดูผลลัพธ์ของผลงานที่สร้างไว้ พวกเขามีภารกิจต้องเดินทางไปทั่วจักรวาล พวกเขาจึงฝังแท่งหินสีดำใต้ผิวของดวงจันทร์ ด้วยความเชื่อว่า หากสายพันธุ์นี้ฉลาดถึงขั้น พวกนี้ต้องเดินทางออกสู่อวกาศแน่นอน
1
และหากพวกมนุษย์มีความก้าวหน้าทางวิทยาการระดับที่พบแท่งหินสีดำ ก็แสดงว่ามนุษย์พร้อมที่จะได้รับการเผชิญหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนท้ายเรื่อง มนุษย์เดินทางไปถึง 'ประตูดาว' ที่เป็นจุดเชื่อมกับสถานีอื่น ๆ แห่งจักรวาล และพบกับความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
หนังเรื่องนี้เดินเรื่องช้ามาก และเกือบจะเข้าข่ายหนังเงียบไปแล้ว แต่ในความช้าและความเงียบทำให้สมองของเราไม่ยอมหยุดคิด ราวกับว่าคนสร้างต้องการให้เราย่อยทุกฉากอย่างช้า ๆ ไปด้วย ยิ่งเมื่อมีเพลงคลาสสิกอย่าง บลู ดานูบ ของ โยฮันน์ สเตราส์ คลอ ทำให้รู้สึกถึงความอลังการของจักรวาล
1
หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เราตื่นตาตื่นใจ แต่สร้างความรู้สึกพิศวงให้เราคิดตาม (แน่ละ หลายคนเดินออกจากโรง เพราะดูไม่รู้เรื่อง และรู้สึกไม่ทันใจ)
นักวิจารณ์หนัง รอเจอร์ อีเบิร์ต กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "อัจฉริยภาพไม่ได้อยู่ที่ว่า สแตนลีย์ คูบริก ทำมากแค่ไหนในเรื่อง 2001 : A Space Odyssey หากอยู่ที่ความน้อย"
รอเจอร์ อีเบิร์ต ว่า "คูบริกใช้เพลงของ ริชาร์ด สเตราส์ Thus Spake Zarathustra ที่ได้รับอิทธิพลจากงานของนิทเช่ มันยะเยือก น่ากลัว และยิ่งใหญ่"
1
ความจริงคูบริกไม่ได้เล่าเรื่องอะไรมากมาย เขาเพียงแต่แสดงให้เราครุ่นคิดถึงปรัชญาเกี่ยวกับความคงอยู่ของมนุษยชาติในเอกภพ
ฉากที่มนุษย์วานรโยนกระดูกขึ้นไปบนท้องฟ้าและซ้อนภาพเป็นยานอวกาศลอยในห้วงอวกาศเป็นภาพที่แรงที่สุดภาพหนึ่ง และเป็นการแฟลช-ฟอร์เวิร์ดที่ยาวที่สุดในโลกภาพยนตร์ (คือหลายล้านปี!)
ประเด็นที่ อาร์เธอร์ ซี คลาร์ค เสนอในเรื่อง 2001 นั้นโยงไปถึงเรื่องพระเจ้าอย่างเลี่ยงไม่พ้น ไม่ว่าเราจะตีความพระเจ้าในรูปของศาสนา ปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์
ด้วยคุณภาพทั้งงานและความคิด 2001 หนีไม่พ้นที่จะต้องได้คะแนน
10/10
หากท่านต้องการอ่านคำอธิบายแบบเฉลยทุกอย่าง อ่านบทความนี้ : https://www.blockdit.com/posts/642bed51a7cd58bd296950a0
1
วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
โฆษณา