21 มิ.ย. 2023 เวลา 11:20 • คริปโทเคอร์เรนซี

เทรดให้ตายก็ไม่กำไร ถ้าไม่ทำ Money Management

เคยไหมเทรดเท่าไหร่ก็ไม่ได้กำไรสักที ทั้ง ๆ ที่อ่านกราฟก็เป็น ซื้อถูกขายแพง แต่กำไรหายไปไหนก็ไม่รู้
ซึ่งจริง ๆ อาจจะไม่ใช่เพราะคุณเทรดไม่เก่ง แต่เป็นเพราะการจัดการพอร์ตที่ไม่ดีพอก็ได้
ดังนั้นวันนี้เรามารู้จักกับ Money Management การบริหารจัดการเงินในพอร์ตกันดีกว่า
ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกัน
นี่ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลด้วยตนเองก่อนทุกครั้ง
==========================
ถ้าชอบคอนเทนต์แบบนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดติดตามเพจไว้นะคะ จะได้ไม่พลาดสาระดี ๆ จากเพจของเรา
1.Stop loss
Stop loss หรือกลยุทธ์การตั้งจุดยอมแพ้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่นักเทรดทุกคนควรมี และควรทำให้เป็นนิสัยทุกครั้ง ถ้าไม่อยากพอร์ตแตก
โดยแต่ละคนก็จะมีกลยุทธ์ในการเทรดที่แตกต่างกัน หลัก ๆ จะมีวิธี Stop loss อยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ
1.Percentage Stop คือตั้งจุดยอมแพ้ตาม % ที่เสียได้ เช่นเมื่อขาดทุน 2% 5% 10% เป็นต้น
2.Trailing Stop คือการตั้งจุดยอมแพ้เมื่อกราฟหลุดเทรนด์ไลน์ที่เราตีไว้
3.Chart Stop คือการตั้งจุดยอมแพ้เมื่อกราฟราคาหลุดแนวรับสำคัญ
2.Risk Reward ratio
Risk Reward ratio เป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน โดยจะเป็นอัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในครั้งนี้ มันคุ้มค่ากับการเสี่ยงหรือไม่
โดยจะมีสูตรดังนี้
Risk Reward ratio = %Risk / %Reward
หรือถ้าใครไม่ถนัดคำนวนเป็น % ก็สามารถใช้สูตรนีได้เช่นกัน
Risk Reward ratio = (ราคาซื้อ - ราคาตัดขาดทุน) / (ราคาที่ต้องการ Take profit - ราคาซื้อ)
ซึ่งถ้าค่าออกมา > 1 แสดงว่า เสี่ยงมากกว่าได้ ไม่ควรซื้อ
แต่ถ้าค่าออกมา < 1 แสดงว่า เสี่ยงน้อยกว่าได้ น่าเสี่ยงซื้อ
แต่ถ้าเท่ากับ 1 ก็แสดงว่า 50:50 ยังไม่ค่อยน่าซื้อ
อันนี้แอดเคยทำโพสละเอียดๆไว้ ลองอ่านดูที่โพสนี้ได้เลย https://www.facebook.com/stockerday/posts/205904311435222
3.Asset Allocation
Asset Allocation หรือการกระจายความเสี่ยงไปในหลาย ๆ สินทรัพย์ เช่นลงทุนในทอง ลงทุนในหุ้น ลงทุนในคริปโต เป็นต้น
หรือถ้าในวงการคริปโต ก็ควรลงหลาย ๆ เหรียญ ไม่ควร All In ไปกับเหรียญใดเหรียญหนึ่งเพราะเมื่อเกิดปัญหากับโปรเจคนั้นพอร์ตเราอาจจะแตกกระจุยได้เลย
เช่น ลงทุนใน BTC 40% ETH 20% Bigcap coin 20% Governance token 10% Stable coin 10% เป็นต้น
ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะมีวิธีจัดพอร์ตการลงทุนที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสไตล์ในการลงทุน
โฆษณา