24 มิ.ย. 2023 เวลา 02:37 • ปรัชญา
Chiang Rai

ปิดสวิทซ์อบายภูมิถาวรด้วยการก้าวเข้าสู่ความเป็น "โสดาบัน"

ไม่ต้องกลับไปเกิดในนรก กำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัยอีกต่อไป 📌
เรื่อง "นรกสรรค์" หลายๆคนนั้นมักไม่ค่อย
จะเชื่อกับสิ่งนี้ เพราะมองเป็นเรื่องเหลวไหล
ไร้สาระและมักจะมองเรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องไกลตัวและน่าขำ
บ้างก็อ้างว่า
"พิสูจน์เรื่องนรกสรรค์ได้ยังไงยังไม่ทันตายเลย?"
บ้างก็ว่า
"นรกสวรรค์มันก็แค่นิทานหลอกเด็กเพื่อให้คนไม่ทำชั่วไง"
บ้างก็ว่า
"นรกสวรรค์มันมีที่ไหนกันคนเราเกิดมาตายแล้วสูญต่างหากเกิดใหม่มีที่ไหนกันเหลวไหลสิ้นดี!"
เรื่องนรกสวรรค์อาจมองเป็นเรื่องไร้สาระขบขันตลกสิ้นดีอย่างที่ใครหลายๆคนเขาคิดกันก็ได้ แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีจริงแท้แน่นอน
แม้เราไม่อาจจะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาเปล่าของเรา แต่เรื่องนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็ได้ตรัสว่าเรื่องนรกสวรรค์นั้นมีจริงแน่นอน
ซึ่งผู้ที่จะสามารถรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้จะต้องเป็นผู้มีอภิญญาญาณหรือผู้ประพฤติปฏิบัติสมาธิภาวนาระดับฌานสี่ขึ้นไปถึงจะสามารถปฏิบัติจนรู้เรื่องเหล่านี้ได้
ซึ่งด้วยสภาพความเป็นมนุษย์อย่างเราๆสามารถจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
แต่จะต้องมีระดับสมาธิภาวนาที่เหนือคนธรรมดาขึ้นไปจึงจะล่วงถึงสิ่งเหล่านี้ได้ หรือ ทางที่สองคือ
รอให้คุณตายก่อนสิจึงจะสามารถพิสูจน์ได้จริงว่าสภาพนรกสวรรค์มันมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นก็ดูจะเป็นการวัดดวงและเสี่ยงจนเกินไปหากเราพุทธศาสนิกชนจะมาเสียเวลาและสนใจกับเรื่องเหล่านี้เพียงอย่างเดียว
ซึ่งถ้าหากอยากที่จะปฏิบัติจริงๆ
สิ่งที่ควรจะปฏิบัติให้มากคือฝึกเรามาปฏิบัติหนทางแห่งการหลุดพ้นกันจะดีเสียกว่า
หากเราจะมามัวเสียเวลากับเรื่องภพนั้นภพโน้น
เราก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เอาง่ายๆคิดแค่ว่า
เมื่อใดที่เรากำลังทุกข์ใจเมื่อนั้นจิตเราคือมี "นรก"
เมื่อใดที่เรากำลังมีความสุขเมื่อนั้นจิตเรามี "สวรรค์" คิดแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่สิ่งชาวพุทธควรจะทำให้มากยิ่งกว่านั้นก็คือหมั่นทำความดีสั่งสมบุญกุศลกันให้มากๆด้วย
บุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา
และแตะความดีเป็นอริยบุคคลระดับขั้นต้นอย่างโสดาบันให้ได้ เพื่อกันไว้ไม่ให้ประมาทไปอบายในเบื้องหน้ากัน
เพราะหลายๆคนอาจคิดว่าฉันทำบุญเข้าวัดฟังธรรมทุกวันเดี๋ยวก็คงพ้นอบายและไปสู่สุคติไปเอง
คำถามคือ "แน่ใจนะว่าจะพ้นอบายในเบื้องหน้าได้จริง โดยการวัดดวงแบบไม่จำเป็นต้องเป็นโสดาบันเป็นแค่ปถุชนก็พอน่ะเสี่ยงไปมั้ย?"
หากใครมีความคิดเช่นนี้อยู่บอกได้เลยว่า
ประมาทเป็นอย่างมาก โอเคการที่คุณบอกว่า
คุณทำบุญกุศลอยู่ทุกวัน ศีลก็รักษาอย่างดีเนียบ
มิได้ขาด ภาวนานั้นก็ไม่เคยขาด การทำสิ่งนี้ถือว่าดีอยู่ในระดับนึงถ้าใครยังกระทำความดีวามเหล่านั้นอยู่ก็ขอให้ทำต่อไป
เพราะที่กล่าวเช่นนี้เพราะอะไร? ก็เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดมาในภพมนุษย์ครั้งนี่ทั้งทีเราก็ต้องเอาให้คุ้ม และปิดอบายภูมิแบบถาวรไปเลยและไม่ต้องไปทนทุกข์ในนรก กำเนิดเดรัจฉานหรือเปรตวิสัยอีกต่อไป โดยการสำเร็จความเป็นโสดาบันจะดีเสียกว่า
คุณสมบัติความเป็น "โสดาบัน"
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วย ธรรม ๔ ประการนี้เอง จึงเป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า. ธรรม ๔ ประการนั้น เป็นอย่างไร ? ๔ ประการนั้น คือ : -
(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในองค์พระพุทธเจ้า ว่าเพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งวิชชา เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้.
(๒) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในองค์พระธรรม ว่าพระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว, เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษา และปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง, เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล, เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด, เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว, เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้.
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระสงฆ์ ว่าสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติให้รู้ธรรมเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว อันได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ.
นั่นแหละ คือ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นสงฆ์ควรรับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำอัญชลี เป็นสงฆ์ที่เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้.
(๔) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า : เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่านสรรเสริญ เป็นศีลที่ทิฏฐิไม่ลูบคลำ และเป็นศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้า ผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ชื่อว่าเป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า.
ความเป็นโสดาบัน - สกิทาคามีเพศฆราวาสก็สามารถเข้าถึงได้ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นแค่พระอย่างเดียว คนธรรมดาอย่างเราก็เป็นได้
"คุณสมบัติความเป็นโสดาบันพูดให้เข้าใจง่ายๆ"
(นัยนะที่ ๑)
๑. มั่นคงในพระพุทธเจ้า
๒. มั่นคงในพระธรรม
๓. มั่นคงในพระสงฆ์
๔. รักษาศีล ๕ ครบถ้วนบริบูรณ์
"คุณสมบัติความเป็นโสดาบัน" (นัยยะที่ ๒)
๑. มั่นคงในพระพุทธเจ้า
๒. มั่นคงในพระธรรม
๓. มั่นคงในพระสงฆ์
๔. รักษาศีล ๕ สามข้อแรกครบถ้วนบริบูรณ์
๕. รักษาสัมมาวาจา ๔ ข้อครบถ้วนบริบูรณ์
"คุณสมบัติความเป็นโสดาบัน" (นัยยะที่ ๓)
๑. มั่นคงในพระพุทธเจ้า
๒. มั่นคงในพระธรรม
๓. มั่นคงในพระสงฆ์
๔. มีการให้ทานวางจิตถูกต้องคือ มีการวางจิตละความตระหนี่ ไม่มีความหวังผลในทาน ไม่มีจิตผูกพันธ์ในผล ไม่มุ่งการสั่งสม เป็นต้น
"คุณสมบัติความเป็นโสดาบัน" (นัยยะที่ ๔)
๑. มั่นคงในพระพุทธเจ้า
๒. มั่นคงในพระธรรม
๓. มั่นคงในพระสงฆ์
๔. มีการเห็นอริยสัจ ๔ เห็นการเกิดการดับ
ในขันธ์ ๕ เป็นต้น
โสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อแรก
๑. ละสักกายทิฏฐิได้ คือ สามารถละความเห็นว่าตัวเราไม่ใช่ของเราได้ ย้ำนะไม่ใช่ละตัวตนให้ละแค่ความเห็นว่าตัวเราไม่ใช่เป็นของเรา หรือ ละความเห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเรา
๒. ละวิจิกิจฉาได้ คือ ไม่มีความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ มั่งคงต่อพระรัตนตรัยเพียงอย่างเดียวมั่งคงเลย
๓. ละสีลพรตปรามาสได้ คือ การไม่ลูบคลำในศีลพรตในแบบสมณะพราหมณ์เหล่าอื่นหรือไม่ประพฤติปฏิบัติภายนอกศาสนาอื่น ที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติแค่ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น
ท่านใดที่ยังไปบนบานศาลกล่าวไปดูดวงดูหมอ
ยังไงสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ยังทำนายฝันลางดีลางร้าย ไปเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง ไปบวงสรวงขอฤกษ์ขอพร ไปนอนในโลง บังสุกุลเป็นตาย
หากใครยังทำสิ่งเหล่านี้อยู่ ชื่อว่า "ยังไม่ผ่าน"
ในข้อสองและข้อสามนี้ เพราะชื่อว่ายังหวั่นไหวต่อพระรัตนตรัยและยังประพฤติธรรมในแบบสมณะพราหมณ์เหล่าอื่นอยู่
แต่ผ่านข้อหนึ่งแค่ข้อเดียวคือ
"ละสักกายะทิฏฐิ"ได้สามารถทำลายสังโยชน์ข้อหนึ่งได้ ผู้ทำลายสังโยชน์ข้อหนึ่งได้
เราเรียกบุคคลนี้ว่าเป็น
"สัทธานุสารี - ธัมมานุสารี" คือเป็นโสดาปัตติมรรคผู้แล่นไปตามธรรมและสัทธา เป็นผู้ที่จะกำลังจะกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลในเบื้องหน้า
ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ "ผ่าน" ในระดับนึง..
ถ้าจะให้ดีทำลายสังโยชน์สามข้อได้
จะเป็นเครื่องยืนยันการันตีความปลอดภัยในอนาคตได้มากกว่านั้นเอง
พ้นอบายภูมิถาวรด้วยการเป็นโสดาบันย่อมดีที่สุด
พ้นอบายภูมิชั่วคราวเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดานั้นมีความเสี่ยงอยู่มากพอสมควรแม้จะทำดีในปัจจุบันอยู่มากก็ตาม
"เป็นโสดาบัน" แล้วดียังไงทำไมทุกคนถึงต้องเป็นให้ได้
๑. ปิดอบายภูมิถาวร
(ไม่ต้องกลับไปเกิดในนรก, กำเนิดเดรัจฉาน, เปรตวิสัยอีกต่อไป)
๒. ได้กลับมาเกิดในภพมนุษย์และเทวดา
อย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติหลุดพ้นเลยไม่ต้องกลับมาเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป
๓. เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพานในเบื้องหน้า
แตะโสดาบันในชาตินี้เท่ากับแตะอรหันต์ในเบื้องหน้า
ขอพิมพ์บทความนี้
ถวายเป็นธรรมทานครับ 🙏🙏🙏
ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก
"พระไตรปิฎก" และ "หนังสือพุทธวจน"
(เล่มคู่มือโสดาบัน)
- Witty weerawit -
เรียบเรียงนำเสนอบทความ :
"สาระหลากด้าน"
โฆษณา