แม้นโยบายเหล่านั้นอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่อาจสร้างภาระผูกพันในระยะยาว ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะเร่งสูงขึ้นและทำให้การปรับลดระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในอนาคตทำได้ยากขึ้นอีกด้วย
เพื่อแสดงให้เห็นความเสี่ยงในอนาคต KKP Research ได้ลองคำนวณระดับหนี้สาธารณะของไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าภายใต้สถานการณ์สมมติ 4 สถานการณ์ ตามข้อสมมติในตารางที่ 1
Case 1: กรณี status quo ที่รัฐบาลยังคงขาดดุลการคลังเบื้องต้นต่อเนื่องทุกปีปีละ 2% และสมมติให้ในระยะยาว เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ปีละ 3% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.5% และอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2%3
Case 3: กรณีมีนโยบายแบบเดียวกับ Case 2 แต่มีการตัดลบงบประมาณส่วนอื่น หรือมีการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี เพื่อลดการขาดดุลเพิ่ม จนทำให้เม็ดเงินที่ต้องใช้เพิ่มในแต่ละปีลดลงไปได้ครึ่งหนึ่งจาก Case 2
ผลลัพธ์ Case 1: ในกรณี status quo หากภาครัฐยังคงขาดดุลการคลังเบื้องต้นปีละ 2% ต่อเนื่องทุกปี จะส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับสูงขึ้นปีละประมาณ 0.5% ซึ่งระดับหนี้จะยังอยู่ภายใต้กรอบเพดานหนี้ปัจจุบันที่ 70% ไปได้อีก 20 ปี (หากไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นอีกเลยใน 20 ปีข้างหน้า)
ผลลัพธ์ Case 2: สำหรับกรณีที่มีการขาดดุลการคลังเพิ่มจากนโยบายสวัสดิการและเงินอุดหนุนเพิ่มเติม (กรณีเส้นสีแดง) จะเห็นว่าหนี้สาธารณะเร่งสูงขึ้นเร็วกว่าเส้นสีเทาในกรณี status quo โดยภาครัฐจะขาดดุลการคลังเพิ่มเติมอีกปีละประมาณ 1.4% ขณะที่ GDP จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 0.6% มาอยู่ที่ 3.6%4 ในกรณีนี้ หนี้สาธารณะจะเร่งขึ้นไปแตะระดับ 70% ของ GDP เร็วขึ้นในเวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น
ผลลัพธ์ Case 3: หากมีการปฏิรูประบบภาษีหรือเกลี่ยรายจ่ายจากส่วนอื่นมาชดเชยเพิ่มเติมจาก Case 2 ซึ่งช่วยลดการขาดดุลการคลัง และช่วยชะลอให้หนี้สาธารณะโตช้าลงได้ โดยสมมติให้เม็ดเงินก้อนใหม่ที่รัฐบาลต้องใช้ปรับลดลง 50% (กรณีเส้นสีฟ้า) จะทำให้หนี้สาธารณะไปแตะระดับเพดานช้าลงจาก 5 ปีเป็น 11 ปี
ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับลดลงในระยะยาวได้ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่โตเร็วขึ้น รวมทั้งการจัดเก็บรายได้ของรัฐที่ควรปรับเพิ่มขึ้นตามรายได้ของคนในประเทศ