30 มิ.ย. 2023 เวลา 02:44 • หนังสือ

พี่น้องอิริโดบันไส!!!!!

ขออภัยถ้าแปลผิดครับและใส่อารมณ์ตัวเองเข้าไปตอนแปลด้วยน่ะครับซึ่งคำพูดอาจเปลี่ยน
แต่ก็บริบทเดิม...ละมั้งครับ555
แปลนิยาย : พี่น้องของผมน่ะคือแฟนเก่าล่ะ
บทที่ 1 : อดีตคู่รักปฏิเสธการร่วมชายคา (ฉันจะบอกให้นะว่าเธอมันไม่ดีตรงไหน)
"........."
"........."
ผมกำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าบ้านมันช่างราวกับเรื่องที่ไม่น่าเชื่อสายตาของตนเอง เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างไม่น่าให้อภัย
ฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับผม ระหว่างเราไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตัวผมก็อยากจะเชื่อแบบนั้นอยู่หรอก แต่คงต้องยอมรับพวกเรามีความสัมพันธ์กันมากกว่านั้น ถึงจะคิดว่าไม่มากแต่อย่างน้อยก็เคยมี
“…จะไปไหนเหรอ? มิซึโตะคุง”
“...ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าเธอจะไปไหน ยูเมะซัง”
เธอถามผมแล้วผมก็ตอบกลับไปทั้งอย่างนั้น สุดท้ายความเงียบก็เข้าปกคลุม ณ ที่แห่งนี้
นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ?
ความจริงผมก็รู้อยู่แล้วว่าเธอจะไปไหนโดยไม่จำเป็นต้องถามคงจะไปร้านหนังสือก่อนถึงสถานีล่ะสิ สำนักพิมพ์นิยายลึกลับวางแผงเรื่องใหม่วันนี้ส่วนตัวผมนั้นว่าจะไปเลือกหาซีรีส์ใหม่อยู่ ดูท่าว่าเธอจะมีความคิดเดียวกัน
ในตอนนี้พวกเราไม่มัวเสียเวลายืนจ้องกันที่หน้าประตูหรอก พวกก็เราเดินเคียงคู่ตรงดิ่งไปที่ร้านหนังสือที่มุมเดียวกันและยังต่อแถวจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์เดียวกัน
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นี่มันคู่รักที่มีรสนิยมการอ่านหนังสือเหมือนกันไม่ใช่รึไง!
ความเข้าใจผิดเหล่านั้นคือสิ่งที่ผมอยากจะหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด
โดยพื้นฐานเราไม่ควรเจอสถานการณ์แบบนี้ พวกเราตกลงกันไว้แล้วว่าใครจะออกจากบ้านก่อนหลัง เพื่อไม่ให้มีใครคิดว่าพวกเราเป็นคู่รักกัน
ทั้งๆที่ควรจะเป็นแบบนั้นแล้วทำไมเธอถึงไม่พูดออกไปฟร่ะ! แบบนี้จะตกลงกันเพื่ออะไร
“—เอ๊ะ? ยูเมะซังกับมิซึโตะคุงนี่ทำอะไรกันอยู่หน้าประตูเหรอ”
ยูนิซังในชุดสูทปรากฏกายมาที่ห้องนั่งเล่นของบ้านผมและเธอก็ได้กลายเป็นแม่ของผมเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน พูดในอีกนัยหนึ่งก็คือเธอแต่งงานกับพ่อของผม ซึ่งคุณยูนิก็คือแม่ของยูเมะซังนั่นเอง
“ไม่ออกไปข้างนอกกันเหรอ?”
“…กำลังจะออกน่ะ…ครับ”
ผมที่ตั้งท่าจะบอกลากันตั้งแต่ตรงนี้แต่ถูกคุณยูนิแทรกไว้ก่อน
“อา~~ ใช่ๆ พวกเธอสองคนไปร้านที่คาราสึมะโดริกันไหม? ยังไงพวกเธอก็เป็นคนชอบหนังสือเหมือนกันทั้งคู่นี่เนอะ แถมเด็กคนนี้ก็ไปแต่ร้านหนังสือกับห้องสมุดเท่านั้นนะจ๊ะ”
“…เอ่อ…”
“…เดี๋ยวก่อนสิ…แม่”
“พวกเธอจะไปด้วยกันสินะ ดีใจจังเลย ดูเหมือนจะเข้ากันได้แล้วสินะ มิซึโตะคุงฝากดูแลยูเมะด้วยนะ ดูท่าเธอจะเป็นเด็กขี้อายนิดหน่อย”
“คะ…ครับ…”
ผมทำได้แค่ไหลตามน้ำหลังจากที่เธอพูดแบบนั้น ผมสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มปีศาจร้ายที่อยู่ข้างๆตัวผม
“อ่ะ แม่ต้องไปทำงานแล้ว รีบๆกลับมากันนะทั้งสองคน สนิทสนมกันเข้าไว้ล่ะ เหล่าพี่น้อง!”
และเธอก็เปิดประตูออกไปหลังจากทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้ ผมกับยูเมะซังถูกปล่อยให้ยืนฉงนอยู่แบบนั้น
ใช่แล้ว ถึงจะบอกว่าพี่น้องก็เถอะ แต่ยังไงก็พี่น้องไม่แท้หรอกนะ
“แล้วนายจะเอาไง?”
“ไม่มีทางอื่นมันไปได้ทางเดียว”
“ทำไมฉันต้องให้คนอย่างนายดูแลด้วย?”
“หา! พูดอะไรของเธอก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงฉันก็ไม่มีวันสนใจเธอหรอก”
“ไอ้ความคิดที่ไร้แก่นสารของนายน่ะคือสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุด คุณโอตาคุน่าขยะแขยง”
“ไอ้ความเอาแต่ใจของเธอก็หมดทางเยียวยาแล้วเหมือนกัน คุณที่ควรไปหาจิตแพทย์เอ๋ย”
พ่อกับแม่ของพวกเราไม่รู้ มีเพียงผมกับเธอที่รู้ความจริงข้อนั้น
ผม , อิริโด มิซึโตะ
เธอ , อิริโด ยูเมะ
เมื่อสองสัปดาห์ก่อนพวกเรายังเป็นแฟนกัน
ไม่ว่าใครจะคิดยังไง ตอนนั้นผมยังเด็กและโง่เขลามากนัก แต่ผมนั้นก็มีตัวตนที่เรียกว่าแฟนสาวเมื่อตอนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่ 2 กับ 3
ช่วงเวลาที่ได้พบกันครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นไม่นานก่อนถึงปิดเทอมฤดูร้อน ช่วงบ่ายของวันหนึ่งปลายเดือนกรกฎาคมที่ห้องสมุดอันเงียบสงัด เธอกำลังยืนอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ
เรื่องราวก็ตามสูตร ไม่ต้องคาดเดาความแปลกใหม่ผมเพียงแค่หยิบหนังสือนั้นให้เธอ
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่มีทางหยิบหนังสือนั่นให้กับเธอแน่ๆ ปล่อยเธอไปแบบนั้นแหละ
แต่อย่างว่าใครมันจะไปห้ามได้ แค่ได้เห็นเพียงปกหนังสือนั้นคำพูดของผมก็หลุดลอยออกไป
“เธอเองก็ชอบนิยายสืบสวนงั้นเหรอ”
ตัวผมนั้นไม่ใช่คนบ้าอะไรที่มันลึกลับหรอก ผมก็เป็นเพียงแค่คนที่อ่านไปเรื่อยๆ ทุกแนว ทุกประเภท ไม่ว่าจะวรรณกรรม , นิยายรัก , นิยายโรแมนติก , มิตรภาพ แน่นอนรวมไปถึงนิยายสืบสวนที่ถูกหยิบขึ้นมาด้วย
แม้ว่าผมจะรู้เรื่องราวในหนังสืออยู่แล้วก็ตามแต่ผมก็ไม่ได้ชอบมันสะทีเดียว
เพียงแค่ตามธรรมชาติของหนอนหนังสือมักจะมีความสุขทุกครั้งที่เห็นหนังสือที่เคยอ่านถูกยกหยิบไป ไม่ต่างจากกระทิงที่ถูกกระตุ้นด้วยสีแดง (ความจริงสีแดงไม่ได้ไปกระตุ้นสักนิด)
มันเป็นเพียงกับดักที่ถูกวางไว้โดยพระเจ้า
กับดักที่ถูกเรียกว่า พรหมลิขิต
การพบพากันครั้งนั้นทำให้พวกเรามาพัฒนาความสัมพันธ์กัน ณ ที่แห่งนั้นห้องสมุดที่มีแค่เราสอง
ปิดเทอมฤดูร้อนเดือนสิงหาคม ผมได้รับคำสารภาพรักจากเธอคนนั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้มีสิ่งที่เรียกว่าแฟนสาว
ชื่อของเธอ , อายาอิ ยูเมะ
ก่อนที่จะสะอิดสะเอียนไปกับเรื่องราวน้ำเน่านี้หากมองดูก็รู้ว่านี่คือปฐมบทของหายนะที่คืบคลานเข้ามา
จากสถิติคู่รักที่รักกันในช่วงมัธยมมีไม่ถึง 5% เท่านั้นที่จะรักกันไปตลอดชีวิตแถมโอกาสสารภาพรักแล้วได้คบกันมีไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ
แต่ถ้า 10% นั้นเกิดขึ้นกับตัวก็ย่อยดีใจมากกว่าคิดตามหลักเหตุผลจริงไหม
มันไม่ง่ายเลยที่จะหาคนที่เข้ากับเราได้ ผมกับอายาอิเป็นคนที่ไม่ค่อยโดดเด่นในโรงเรียนมากนักและยังเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนทั้งคู่
วันๆ พวกเรามักจะอยู่แต่ในห้องสมุดไม่ก็คาร์เฟ่ที่อยู่ในร้านหนังสือ หัวข้อสนทนาก็มักจะเป็นเรื่องที่พวกเราสนใจ
แน่นอนเรื่องราวก็ตามสูตรอีกเช่นเคยพวกเราไม่ใช่คู่รักที่พิเศษอะไร เราทำในสิ่งที่คู่รักปกติทั่วไปก็ทำกันไม่ว่าจะเดทเอย จับมือกันเอย หรือแม้กระทั้งจูบแล้วก็ตาม…ไม่ได้มีอะไรให้เขียนเป็นพิเศษ จูบแรกนั้นเกิดขึ้นที่ระหว่างทางกลับบ้านขณะอาทิตย์อัสดง ทางแยกที่ถูกทอแสงด้วยเพลิงสีชาติ ใบหน้าที่จ้องมองกันและกัน สายตาที่กำลังเลื่อนระยะเข้าหากัน ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งหน้าแดงมากขึ้น จนริมฝีปากประกบกัน สิ่งนั้นเป็นดั่งภาพถ่ายที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
และมีเพียงสิ่งเดียวที่ผมจะพูดเกี่ยวกับภาพนั้น
“ไปตายซ่ะ!!!!!!!!!”
แค่คิดก็ทำให้ผมอยากตายขึ้นมาแล้ว เรื่องน่าอายแบบนี้ตูทำไปได้ยังไง
เอาเถอะ ยังไงก็ตามตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังราบรื่นจนกระทั่งพวกเราขึ้นปีสามก็เกิดระยะห่างระหว่างพวกเรา
อายาอิได้เปลี่ยนแปลงตนเองลุกขึ้นสู้กับความอ่อนแอที่อยู่ภายในใจ
ผมคิดว่าเธอพัฒนาการสื่อสารของตนจากการเดทของพวกเรา จากที่เธอไม่เคยหาคู่ได้ในคาบพละ ตอนนี้ได้มีเพื่อนร่วมห้อง 2-3 คนแล้ว
เมื่อผมเห็นเธอมีความสุขผมเองก็มีความสุขไปด้วย ผมจึงให้รางวัลเธอด้วยริมฝีปากนี้
เอ่อ…ครับ ริมฝีปากของผมนี่แหละครับ
ในความรู้สึกที่ไม่ใช่เหตุผลนั้น ขณะที่ผมอวยพรในการเติบโตของเธอด้วยสิ่งต่างๆ ในใจของผมนั้นมีความคิดที่ไม่อยากจะให้ใครเห็นด้านที่น่ารักของเธอ —ผมปรารถนาที่จะครอบครองเธอแต่เพียงผู้เดียว ความคิดเช่นนี้ปรากฎขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ความน่ารัก ความจริงใจ รอยยิ้มนั้นมันควรจะเป็นของผมไม่ใช่เหรอ แค่คิดว่ามีคนเห็นด้านเหล่านั้นของเธอ ผมก็รู้สึกเลวร้ายสุดๆ
ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าตัวเองได้แปรเปลี่ยนอารมณ์ออกมาเป็นคำพูด อายาอิทั้งทุกข์ใจ ไม่เข้าใจ แต่ว่าเธอก็ยังพยายามอย่างมากเพื่อทำให้ผมมีความสุข อีกครั้งที่ปลายประสาทของผมรู้สึกกระทบกระเทือน
ใช่ ผมรู้ ผมรู้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของเธอ แต่ความจริงแล้วเหตุผลมันมาจากความปรารถนาที่โง่เขลาที่อยากจะผูกขาดในตัวเธอ เธอไม่ได้เป็นคนผิดเลย ผมผิดตั้งแต่แรก และผมก็ยอมรับมัน
แต่…แต่ว่า
“ได้โปรดให้ผมโอกาสผมอีกครั้งด้วยครับ”
ผมรู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ผมก้มหัวขอโทษเธอ ผมหวังว่าเธอจะไม่รังเกียจผมไปเสียก่อน
“แต่…แต่ฉันเห็นนะ”
“ทั้งที่ไม่ชอบให้ฉันไปคุยกับคนอื่นแท้ๆ แต่อิริโดคุงก็เข้ากันได้ดีกับผู้หญิงคนอื่นไม่ใช่รึไง”
“ห้ะ…”
ใครก็ได้บอกผมทีว่าการตอบสนองแบบนี้มันไม่จริงใช่ไหม!!!!!!!?
เธอกล่าวต่ออีกว่าฉันกำลังจีบผู้หญิงคนอื่นอยู่ ทั้งที่ความจริงแล้วคนพวกนั้นเป็นบรรณารักษ์หรือตอบตามมารยาทเท่านั้น แต่อายาอิกลับไม่ฟังแต่บอกว่าผมนอกใจท่าเดียว
แล้วแบบนี้ผมจะขอโทษไปเพื่ออะไรกันฟร่ะ!!!!!!!!!!
ก็จริงอยู่ที่ผมสมควรโดนโกรธ ผมขอโทษไป จะยกโทษให้หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับอายาอิก็จริง
แต่ทำไมผมต้องโดนด่าด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นด้วยล่ะ…ทำไม!
ไม่สิ ถ้าว่ากันจริงๆ นี่ก็ไม่ต่างจากที่ผมทำกับเธอหรอกใช่ไหม สุดท้ายเธอก็จะคิดได้แล้วมาขอโทษผมเหมือนที่ผมทำกับเธอ ถูกไหม? แต่นี่ทำไมผมถึงโดนยัดข้อหาทั้งที่ไม่มีความผิดด้วยล่ะ เธอไม่คิดแม้แต่จะขอโทษผมเลยรึไง แบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ!!!
นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกได้แม้ว่าเราจะแก้ไขสิ่งต่างๆ และรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่ไปอีก 2-3 เดือน
แต่ฟันเฟืองที่ผิดรูปไปแล้วนั้นย่อมแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ยาก
สิ่งที่เคยเป็นเสน่ห์ของเธอตอนนี้ได้อันตรธานหายไปจนพบแต่ความรำคาญใจหลังจากนั้น เราเริ่มตะคอกใส่กันอย่างประชดประชัน จนเมื่อไหร่ไม่รู้ที่การโทรศัพท์หากันเป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจ เราให้อภัยอีกฝ่ายไม่ได้ จึงไม่แม้แต่จะตอบกลับข้อความ จนระยะห่างของเราเริ่มเพิ่มขึ้น
ความสัมพันธ์แบบนี้ดำเนินมาจนจบมัธยมต้นเพราะเราทั้งสองต่างไม่กล้าเผชิญหน้ากัน
เพราะพวกเราต่างยึดมั่นความสุขในอดีต ความทรงจำที่ดีเหล่านั้นต่างยื้อพวกเราไว้ได้ แต่เมื่อไม่ได้ติดต่อกัน วันวาเลนไทน์นั้น…จึงได้มั่นใจว่าพวกเราไม่มีทางกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีก
“…เรา…เลิกกันเถอะ”
“…อืม…”
ในพิธีจบการศึกษาพวกเราได้สนทนากันเป็นครั้งสุดท้าย มันช่างรวดเร็ว ง่ายดาย ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
เธอไม่โกรธ ไม่แสดงใบหน้าใดๆ ราวกับรอให้ผมพูดคำนั้นออกไป ใช่ ผมเองก็รอคำนั้นเช่นกัน
ผมชอบเธอ…ชอบเธอจริงๆ
แต่ในขณะเดียวกันเธอเองก็กลายเป็นปีศาจร้ายสำหรับผมไปเรียบร้อยแล้ว
‘เห้อ~~~จะว่าไปความรักนี่ก็เป็นความโลเลในความเขลานี่แหละเนอะ’
ผมที่หลุดพ้นมาแล้ว จะไม่มีทางกลับไปโดนพันธนาการอีกเป็นครั้งที่สอง
หลังจากจบการศึกษาผมก็รู้สึกมีความสุขราวกับยกของที่หนักมากออกจากบ่าไป
แต่แล้วในคืนนั้นพ่อได้ส่งสายตาจริงจังมาทางผมก่อนจะพูดถึงการแต่งงานของพ่อ
“โอ้…”
ดูเหมือนความลังเลในความเขลานี้จะไม่ขึ้นกับอายุสินะ พ่อที่เลี้ยงผมด้วยตัวคนเดียวกำลังจะแต่งงานใหม่ แน่นอนว่าผมไม่คัดค้าน ยังไงผมก็โตแล้วจะมีความลังเลใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพ่อ ไม่ได้เกี่ยวกับผมเลย
อยู่ๆ พ่อพูดเรื่องสำคัญออกมา
“ดูเหมือนเธอจะมีลูกสาวอายุเท่าๆ ลูกนี่แหละ”
เห้ยๆ เอาจริงดิ มามีพี่น้องตอนอายุแบบนี้เนี่ยนะ อย่างกะในหนังเลย
ตอนนี้ผมถูกไฟแห่งความตื่นเต้นเข้าครอบงำแต่เมื่อได้พบกับคนรักของพ่อและลูกสาวของเธอก็เหมือนถูกเอาน้ำเย็นมาราดทั้งตัวจนสั่นเทา
อายาอิ ยูเมะ ไม่สิ อิริโด ยูเมะ ยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าของผม
เราสบตากัน อ้าปากค้าง ตกตะลึง ใจสั่นระรัวสิ่งที่ตะโกนกู่ร้องอยู่ในใจของพวกเราคงมีเพียงแค่
“ไอ้พระเจ้าบ้าประสาทเสียเอ้ย?!!!!!!!!!!!”
และแล้วแฟนเก่าของผมก็ได้กลายเป็นพี่น้องบุญธรรมกับผมไปโดยปริยาย
“…ฉันกินข้าวเสร็จแล้วนะ…”
อายาอิ —ไม่สิ ยูเมะเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาขณะที่ถือชามข้าวไปที่อ่างล้างจาน
ต้องบอกว่ามันช่างเป็นความโชคร้ายของผม เพราะว่าผมก็กินเสร็จแล้วเหมือนกัน
“…ผมไปด้วย”
ผมถือชามข้าวตามเธอไปที่อ่างล้างจาน
ดูแล้วมันช่างน่าหงุดหงิดใจ ผมที่ยาวของเธอมันน่ารำคาญและเปียกปอน สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าควรเรียกว่าเป็นบ่อน้ำมากกว่าอ่างล้างจานอีกกระมัง
ขนตาสลวยถูกเบี่ยงเบนมาทางผม เธอจ้องมองผมโดยไม่พูดอะไร มีเพียงแค่เสียงของจานที่กระทบกันเท่านั้น
ผมไม่พูดอะไร จากนั้นก็เดินไปยืนข้างเธอและเริ่มล้างจานเช่นกัน
ความจริงผมสามารถหลีกเลี่ยงที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเธอได้ แต่ว่ามันดันมีปัญหาอยู่
“โอ้~~ พ่อดีใจนะที่เห็นพวกเด็กๆ สนิทกันเร็วแบบนี้”
“ใช่แล้วล่ะ! วันนี้พวกเขาเพิ่งไปร้านหนังสือด้วยกันมาด้วยนะ แหม่ ถ้าหากมีความสนใจสิ่งเดียวกันก็มักจะคุยกันถูกคอได้ง่ายล่ะน้า~”
“เท่านี้ความกังวลของผมก็คลายใจไปได้เปราะหนึ่งแล้วล่ะ”
พ่อของผมกับคุณแม่ของยูเมะซังพูดคุยถึงพวกเราอย่างมีความสุขโดยไม่ได้รับรู้เลยว่าพวกเรานั้นหามีความสุขไม่
“…นายคงเข้าใจสินะ…”
“…อะไร?”
ยูเมะซังกระซิบข้างหูผมขณะกำลังล้างจาน
“เราจะทำให้พวกเขารู้เรื่องของเราไม่ได้”
“ไม่บอกผมก็รู้อยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของของเราผมเก็บลงหลุมไปนานแล้ว”
“…อย่างนั้นก็ดี”
“สายตาแบบนั้นน่ะ…เป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”
“…มันเป็นความผิดของนายนั่นแหละ 100% เลย”
“…อะไรอีกล่ะนั่น”
“อะไร!”
“พวกเธอสองคนคุยอะไรกันอยู่เหรอ”
เสียงของพ่อผมดังขึ้นจากห้องนั่งเล่น เสียงนั้นสลัดความคิดชั่วร้ายของผมออกไป
“กำลังพูดถึงหนังสือที่เพิ่งซื้อมาน่ะครับ”
“ใช่ค่ะ…พวกเรากำลังคุยกันเรื่องนั้นอยู่”
ยูเมะซังตอบกลับไปพร้อมกับเตะขาผมทั้งอย่างนั้น
“(ผมว่าวิธีพูดของเธอมันแปลกๆ นะ เกรดภาษาญี่ปุ่นของเธอมันตกต่ำรึไง)”
“(พูดอะไรของนายน่ะ ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ ฉันสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นทั่วประเทศได้เลข 2 หลักเชียวนะ)”
“(ผมล่ะคิดผิดจริงๆ ที่เผลอเคยชื่นชมและยกย่องเธอ)”
“(พูดตรงๆ ฉันก็โกรธตัวเองที่เคยยอมรับคำสรรเสริญจากนาย)”
ในฉากหน้าพวกเราต้องแสดงว่าเป็นพี่น้องที่เข้ากันได้ดี เราไม่มีทางที่จะทำให้คุณพ่อและคุณยูนิเสียใจที่แต่งงานใหม่แน่ๆ ความตั้งใจนี้คือสิ่งที่ผมกับยูเมะซังมีร่วมกัน
จะอะไรก็ช่างแค่เก็บความสัมพันธ์นั่นลงหลุมต่อไปก็แค่นั้น ผมเดินขึ้นมาที่ห้องนอนของผมเพื่อที่จะอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมา
ก๊อก ก๊อก , เสียงนั่นดังมาจากที่ประตูห้อง
“หืม..? , มีอะไรเหรอครับพ่_”
ผมไม่มีทางที่จะทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้พ่อกับคุณยูนิปวดหัวเด็ดขาด จึงใช้ที่คั่นหนังสือคั่นหน้าไว้แล้วเปิดประตูออกไป
ภาพที่เห็นไม่ใช่พ่อ แต่เป็นเด็กสาวที่ผมเกลียดมากที่สุด หรือก็คือ อิริโด ยูเมะ
“…มีอะไร…”
ในน้ำเสียงของผมนั้นเย็นชาหาใดเปรียบเมื่อรู้ว่ายูเมะซังมาเคาะประตู
“..ฮึ่ม..”
เธอตอบกลับมาได้อารมณ์เสียมาก คล้ายกับจะบอกว่า “ไอ้ท่าทีนั่นมันอะไรน่ะ” ถ้ากำแพงอารมณ์ของผมไม่มากพอ จังหวะนี้ผมคงชกเธอไปแล้ว
“ฉันมีบางอย่างจะคุยกับนาย ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
“จะบ้ารึไง ผมกำลังยุ่งอยู่นะ”
“ฉันรู้อยู่แล้ว หนังสือที่ซื้อมาวันนี้ใช่ไหม แต่ว่านั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันมาที่นี่ เพราะว่าฉันอ่านจบแล้ว”
“ชิ”
ดูเหมือนความคิดของทางนี้จะถูกอ่านออกหมด มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เรารู้จักกัน เธอมักจะอ่านหนังสือได้เร็วกว่าผมเสมอ ถ้าหากเราเริ่มอ่านพร้อมกัน เธอจะอ่านจบก่อนในขณะผมยังอยู่ที่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง มันช่างบ้าบอจริงๆ
นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ผมเกลียดเธอ , ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราเลิกกัน
“…อะไรล่ะ?...คุยตรงนี้ไม่ได้รึไง?”
“ให้เข้าไปเถอะ ฉันไม่อยากให้แม่ได้ยินเรื่องนี้”
“ชิ”
“อย่าทำเสียงดังไปเชียว”
“ถ้าเธอหายไปต่อหน้าต่อตาผม ผมจะเงียบเสียงให้ไวเลย”
ไม่สบอารมณ์เลย หลังจากที่แน่ใจว่าพ่อกับคุณยูนิเข้าห้องของตนไปแล้ว ผมก็ปล่อยให้มารผจญเข้าห้องของผม ขณะที่เท้าของเธอแตะพื้นห้องของผม
“ห้องโอตาคุนี่มันน่าขยะแขยงจริงๆ แค่เห็นก็คลื่นไส้แล้ว”
“โอ๊ะโอ๋…รู้สึกว่าครั้งที่แล้วที่เธอมาห้องผม เธอจะพูดว่า 'ว้าว! อย่างกับคลังสมบัติเลย' ไม่ใช่เหรอ”
“ช่วยลืมๆ ไปเถอะ…ฉันแค่นึกถึงก็รู้สึกเกิดความอัปยศในชีวิตแล้วล่ะ อ่ะ! นิยายเชอร์ล็อค โฮล์มส์ครบชุดพร้อมกล่องนี่!”
“หยุดไว้ที่ตรงนั้นดีกว่านะเธอน่ะ ไม่งั้นเธออาจจะร้องร่ำไห้ในปากเหวลึกแบบศาสตราจารย์โมริอาตี้ก็ได้นะ”
ผมถอยหายใจและนั่งลงบนเตียงที่มีหนังสือกระจายอยู่ดาษดื่น
“แล้วตกลงเธอมีอะไรจะคุยกับผมงั้นเหรอ”
“ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว…”
ยูเมะซังเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าที่้เย็นชา
“ฉันทนไม่ไหวแล้ว…ที่จะต้องให้นายเรียกฉันว่า 'ยูเมะ' น่ะ!!!”
ผมขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด —ไม่จำเป็นต้องปิดบังความไม่พอใจกับเธอหรอก
“เธอก็เรียกผมว่า 'มิซึโตะ' ไม่ใช่รึไง”
“ถ้าฉันพูดเองยังพอรับได้ แต่ว่าแค่ฟังนายพูดฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว ทั้งที่ตอนค- ทั้งที่ตอนอยู่ม.ต้นไม่เห็นจะเคยเรียกแท้ๆ”
เมื่อกี้เธออยากจะพูดว่าตอบคบกันสินะ
“น่าเสียดายที่เรานามสกุลเดียวกัน จะให้เรียกอะไรได้อีก”
“ก็มีไม่ใช่เหรอ”
“…อะไร…”
“พี่สาวไง”
“ห้ะ”
“ใช่ๆ เราเป็นพี่น้องกัน นายก็ต้องเรียกฉันว่าพี่สาวสิถูกแล้ว”
“เดี๋ยว! ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
ผมเอาหัวโขก
“เธอเนี่ยนะ จะเป็นพี่สาวผม จะไร้สาระก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิ”
“ห้ะ”
“ผมเป็นพี่ชายเธอต่างหาก ส่วนเธอก็เป็นน้องสาวไปซ่ะ”
“ดูเหมือนเซลล์สมองน้อยๆ ของนายจะยังไม่ตื่นนะ”
“ถ้ามันทำให้เธอหลับไปตลอดกาลได้ผมก็ยินดี”
“ช่วยไม่ได้ เดี๋ยวฉันคนนี้ที่ได้คณิตศาสตร์ระดับประเทศจะอธิบายให้นายฟัง”
แม้เธอจะเก่งภาษาญี่ปุ่นแต่เธอก็ดันเก่งคณิตศาสตร์มากกว่าซึ่งแตกต่างจากธรรมชาติของหนอนหนังสือจริงๆ เธอควรขอโทษคนทั้งโลกซ่ะ
“ประโยคเงื่อนไขที่ 1 มนุษย์ทั้งหลายจะให้ศักย์คนที่เกิดก่อนว่าเป็นพี่ ส่วนอีกเรื่องคือเป็นความจริงที่ว่าฉันเกิดก่อนนายดังนั้นฉันก็พี่ เข้าใจไหม?”
เธอกำลังจะบอกว่าประพจน์ของเธอไม่ใช่ประโยคเปิดแต่ประพจน์ที่สมเหตุสมผลสินะ
“ขอโทษนะ เธอจำวันเกิดของพวกเราไม่ได้รึไง”
ผมกับเธอเกิดวันเดียวกัน
ใช่ นี่ก็เป็นกับดักที่ถูกวางไว้โดยพระเจ้าที่ให้ผมมีชะตากรรมแบบนี้
จึงทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนเข้ากันได้ดี ก็แค่เหมือนน่ะนะ ผมยังมีความทรงจำของพีธีกรรมอันชั่วร้ายนั่นอยู่เลย ทั้งที่จะเก็บใส่กล่องและล็อคไว้แท้ๆ พิธีกรรมการฉลองวันเกิดร่วมกัน พิธีกรรมแลกของขวัญนั่น
“งั้นเราก็ควรจะเป็นแฝดกันมากกว่าพี่น้องนะ”
“แต่ฉันว่าเมื่อกี้นายเพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นพี่อยู่เลยแท้ๆ”
“แต่ผมยอมรับการมีน้องสาวมากกว่าการมีพี่สาวเสียอีก ไม่รับข้อโต้แย้งใดๆ”
“ที่บอกว่าเกิดวันเดียวกันฉันยอมรับ แต่ว่ามันต่างกันที่เวลานะ”
“เวลางั้นเหรอ”
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดรูปให้ผมดู มีรูปถ่ายทารกพร้อมคำอธิบาย
“นายน่ะ เกิดเวลา 11.34 น. ส่วนฉันน่ะ 11.04 น. อย่างน้อยฉันก็เกิดก่อนนาย 30 นาทีมีศักย์เป็นพี่นั่นแหละ”
นี่เธอลงทุนเปิดอัลบั้มครอบครัวเพื่อเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ
“ฉันว่าเธอดูโรคจิตยิ่งกว่าโอตาคุอย่างผมอีกนะ”
ผมไม่คิดจะเกรงใจเธออยู่แล้วเลยพูดอย่างตรงไปตรงมา ยูเมะซังก็เริ่มหน้าแดงขึ้นดูท่าว่าจะเพิ่งรู้สึกตัว
“ละ…แล้วมันจะทำไมเล่า! เหตุผลที่สมบูรณ์แบบต้องการหลักฐานที่ชัดเจนนะ”
“จะเล่นไขปริศนาก็เชิญทำไปคนเดียวเถอะ หรือต้องให้ผมพูดว่า 'ว้าว เธอเก่งจังเลย' แบบนี้เอาไหม”
“นี่มันเรียกว่าเป็นการทวงคืนความจริงต่างหาก นายไม่คิดจะโต้แย้งคำพูดของฉันสักนิดมีดีแค่เปลี่ยนเรื่อง ถ้าหากไม่ทำแบบนี้เดี๋ยวนายก็อ้างนู้นอ้างนี่อีก แต่ขอโทษนะ ที่ฉันอ่านนายออกหมดแล้ว คุณข้อบกพร่องของโลกใบนี้”
“ข้อบกพร่องเหรอ เธอกำลังพูดถึงความเน่าเหม็นของตัวเองอยู่รึเปล่า?”
เป็นคนบ้านิยายสืบสวนที่กลับลำมาทำร้ายตัวเองทั้งนั้น เธอเป็นประเภทที่ไม่สนใจความท้าทายที่นักเขียนเขียนไว้ให้นักอ่านได้อ่านเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น
“เงื่อนไขที่บอกว่าคนที่เกิดก่อนเป็นพี่น่ะ มันไม่เป็นจริงทุกกรณีหรอกนะ เช่นว่า ในสมัยก่อนญี่ปุ่นจะให้แฝดที่เกิดก่อนเป็นน้องยังไงล่ะ”
“เอ๊ะ? ทำไมล่ะ”
ยูเมะซังเริ่มเอียงคอสงสัย
“ถ้าเป็นแฝดกันคนพี่จะอยู่ในครรภ์ที่ลึกกว่าคนน้อง ดังนั้นเวลาทำคลอดตามธรรมชาติคนแรกที่ออกมาจากมดลูกก็คือคนที่อยู่ในครรภ์ถัดออกมาหรือก็คือเป็นน้องไง เข้าใจรึยัง ที่ผมบอกว่าเป็นแฝดแถมเธอก็เกิดก่อนจึงมีศักย์เป็นน้องไง ไม่ฟังข้อโต้แย้งครับ”
“หา…เราไม่ใช่แฝดกันด้วยซ้ำ”
“ถ้าจะพูดแบบนั้น พวกเราก็ไม่ใช่พี่น้องกันสักหน่อย ถ้าแบบนั้นก็เรียกว่า ยูเมะซัง เหมือนเดิมก็แล้วกัน”
“อึก…”
เธอเริ่มบ่นหลังจากที่ผมปัดตกเหตุผลของเธอร่ำไป ตอนนี้ผมเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมานิดๆ
“ไม่...เดี๋ยวนะ”
“ไม่รอ…ออกไปจากห้องของผมซ่ะ”
“เหตุผลที่ว่าเป็นแฝดคนพี่คนน้องน่ะ มันเป็นเรื่องไม่ใช่สากลไม่ใช่เหรอ ถ้าตามหลักแล้วเงื่อนไขของฉันอันแรกน่ะถูกต้องแล้ว นายหลอกฉันไม่ได้หรอก”
“ไม่ว่าเธอจะพูดยังไง ฉันก็เป็นพี่ Q.E.D. ปิดคดีได้”
“เดี๋ยวก่อน! ฉันต้องเป็นพี่สิ แค่ฉันคิดว่าตัวเองต้องเป็นน้องของคนอย่างนายก็รู้สึกน่าสมเพชแล้ว”
สายตาของเราประสานกันอีกครั้ง แต่ว่ามันเป็นประกายไฟราวกับเรื่องของยามาดะ ฟูทาโร่สายตาที่เฉือดเฉือน สายโลหิตที่ไหลเวียน ยูเมะซังที่ท่าทางจริงจังก็คงไม่ต่างกับอามาคุสะ ชิโระในมาไค เทนโชเลยสักนิด ผมมองไปที่เธอพร้อมกับถอนหายใจ
“เรื่องนี้คงใช้เหตุผลคุยกันไม่ได้หรอก เพราะ ยังไงพวกเราก็มีอคติต่อกัน งั้นเรามาจบปัญหาด้วยเกมดีกว่า”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อคำของนายเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าฉันก็คิดแบบนั้น”
“แล้วเชิงรูปธรรมจะทำไง ค้อน? กรรไกร? กระดาษ? โยนเหรียญ? ฯลฯ”
“รอแป๊บ”
“ไม่...ผมไม่รอ! ออกไป”
“หยุดพูดสักที ไอ้เครื่องตอบกลับอัตโนมัติ”
อ๊ะ ผมลืมปิดแชตบอท
เธอวางท่าใหญ่โตพร้อมเอื้อนเอ่ยออกมา
“ฉันอยากจะปฏิเสธนายไปตลอดกาลเลย แต่ว่าโทษทีที่ฉันจะให้โอกาสการมีชีวิตอยู่ของนาย”
“พอเถอะ…ผมรำคาญ ถ้ามัวแต่วางท่าผมจะจบเรื่องด้วยการโยนเหรียญเสี่ยงทาย”
“เหอะ ทำมาเป็นพูดงั้นนายก็ฟังแล้วก็จำซ่ะ ต่อจากนี้เราต้องแสดงบทพี่น้องถูกไหม”
“อืม…ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายมาก ถ้ามีใครสักคนหลุดไม่แสดงตามบทพี่น้องทั่วไปก็ถือว่าแพ้”
“หืม…เธอแน่ใจเหรอว่าจะใช้กฎนี้”
“อะไรล่ะ”
“ถ้าเป็นกฎนี้ ยังไงผมก็ชนะ”
“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”
อันที่จริงถ้าว่ากันตามตรรกะแล้วยังไงคำพูดผมก็มีมูล
“เอาเถอะ ยังไงซ่ะก็ต้องแสดงบทพี่น้องอยู่แล้วทำแบบนี้ก็ถือว่าไม่เพิ่มภาระกว่าที่เป็นอยู่ อาจจะทำให้ผมสนุกขึ้นมาก็ได้ งั้นกฎนี้ รวมไปถึงตอนที่พ่อกับคุณยูนิไม่อยู่ด้วยถูกไหม”
“ใช่ ตามนั้น กฎนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป”
“เข้าใจแล้วคนที่หลุดบทก็จะกลายเป็นน้อง แต่ว่าการแพ้หนึ่งครั้งก็จะเป็นน้องแค่ครั้งเดียว รายละเอียดค่อยว่ากันหลังจากนั้น”
“ถือเป็นเมตตาของฉันที่ให้โอกาสนายได้แก้ตัวแล้วกัน”
“งั้นเหรอ งั้นก็เริ่มได้”
เสียงประกบมือของยูเมะซังดังขึ้น หลังจากคำพูดนั้นเธอตรงดิ่งไปที่ชั้นวางหนังสือของผมและเริ่มค้นหาอะไรบางอย่าง
“ห้ะ…เดี๋ยว เธอจะทำอะไรน่ะ”
“เอ๋~ เป็นพี่น้องกันจะดูหนังสือของอีกฝ่ายไม่ได้งั้นเหรอ”
เธอยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ทำให้ผมรู้ถึงแก่นของกฎนี้ แก่นที่ว่าคือถึงเป็นเรื่องที่น่ารำคาญหรือเป็นสิ่งที่เกลียดก็ตามแต่ถ้าหากเป็นเรื่องที่พี่น้องปกติสามารถทำได้ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด
ด้วยวิธีนี้เธอจะทำให้ผมสติแตกจากการกระทำของพี่น้องที่ผมไม่ชอบ ผู้หญิงคนนี้คิดกฎมาเพื่อปั่นประสาทผมแต่แรกแล้ว เธอคนนี้มันเน่าเหม็นจากภายใน ถ้าจะมีเด็กผู้ชายตกหลุมรักผู้หญิงแบบนี้ก็แสดงว่าคนๆ นั้นก็ต้องมีแก่นที่สกปรกเช่นกัน
เฮ้ยๆ ผมจ้องมองเธอที่ดึงหนังสือออกมา แถมยังไปเปิดลิ้นชักนู้นนี้อีก แค่มีคนมาเช็คห้องก็เหมือนโดนอ่านใจไปแล้ว ที่สำคัญก็คือผมมีของที่ห้ามดูอยู่นะเฟ้ย แถมข้างโต๊ะก็ยังมีกล่องแพนโดร่าที่ไม่ว่ายังไงก็ห้ามเปิดอยู่นะ
นิยายที่เขียนสมัยม.ต้นหลังจากที่ผมป่วยหนักผมก็จะมองสิ่งที่ได้รับจากผู้หญิงคนนั้นตอนเราคบกัน มันก็รู้สึกอบอุ่นจนเขียนมันออกมา
“ว้าว นายยังเก็บของแบบนี้ไว้อีกเหรอ ยังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ หรือว่าจะเรื่องแบบนั้น น่าเวทนาจัง”
ในที่สุดเธอก็เปิดในสิ่งที่ไม่ควรเปิดแล้วนะ การที่เธอพูดแบบนั้นเธอแพ้แล้วละ คราวนี้ถึงตาเราไล่ต้อนเธอบ้าง
'กฎพี่น้อง' งั้นเหรอ หึๆ
“พอเถอะ…”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่โอนอ่อนจนผมสีดำของเธอสะบัดกลับไปแล้วนำหน้ามาประสานกัน
ผมเดินเข้าไปใกล้เธอ จ้องมองเธอ จนเธอเงยหน้าขึ้นมามองผม
“อะไรที่ทำให้ต้องทะเลาะกับเธอน่ะ พอเถอะ”
“…เอ่อ…”
ดวงตาของเธอเบิกกว้างออกคงรู้สึกสับสนกับพฤติกรรมของผม
“ผมขอโทษถ้าเธอยังโกรธผมอยู่ ผมจะยอมออกไปสายตาคู่นี้ของเธอก็ได้ ถ้าเธอต้องการ เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำให้เราทะเลาะกันน่ะ พอเถอะ”
ผมวางมือบนไหล่ของยูเมะซังพร้อมกับคำพูดที่จริงจังและจ้องมองไปที่ดวงตาของเธอ
“…อิริโด…คุง”
“ครับ ครับ…คุณแพ้แล้วครับ”
“เอ๊ะ!”
ถึงคราวผมยิ้มอย่างมีเลศนัยบ้างแล้ว ในขณะที่เธอกำลังอ้าปากค้าง
“พี่น้องกันน่ะ เค้าไม่เรียกกันด้วยนามสกุลหรอก”
ยูเมะซังอึ้งซึ่งเปรียงดั่งใส่ชาในน้ำร้อนแล้วน้ำค่อยๆ เปลี่ยนสีไป
ผมทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีต —ใช่ กฎนี้ถูกสร้างเพื่อให้มีแนวการเล่นแบบนี้ตั้งแต่แรก
“ดะ…เดี๋ยวสิ ในกรณีแบบนี้ ไม่ใช่ว่านายแพ้ตั้งแต่พูดแบบนี้เหรอ”
“หืม…? เป็นพี่น้องกันก็ไม่อยากทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ”
“อึก…”
หูของเธอเริ่มแดงขึ้นมาและผมก็มองสิ่งนั้นด้วยปิติที่ล้นหลาม
“เอาละ งั้นฉันก็ขอให้เธอเป็นน้องสาวฉันหนึ่งครั้งเลยก็แล้วกัน”
“แล้วนายจะฉันทำยังไง”
“นั่นสินะ…เอาเป็นว่าเธอคิดว่าการเป็นน้องฉันต้องทำยังไงก็เอาตามนั้นแล้วกัน”
จงแสดงพลังของน้องสาวในตัวเธอออกมาซ่ะ ผมจะทำให้เธอละอายใจไปในความทรงจำตลอดกาลเลย
“งั้นเปลี่ยนวิธีการพูดให้ผมดูหน่อย”
“ยะ—ยังไง”
“แล้วแต่เธอจะคิด”
พูดออกมาๆ น้องสาวในอุดมคติของเธอเป็นยังไงกัน ห้ะ!!!!! ขอดูหน่อย
'เอ่อ' ยูเมะซังดูไม่พอใจมากเลยนะครับ เธอมองมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ มือกำหมัดทาบไว้ที่อก
“น่าอายเกินไปแล้ว”
เสียงที่สั่นเครือนั่นลอยเข้ามาในหูของผม ใช่ๆ ต้องแบบนั้นแหละ จำไว้ซ่ะ อายาอิ ยูเมะ
“—โอะ…โอนี่ซาง~~”
“…………….”
ผมดันหน้าไปทางอื่นเสียได้
“บะ…แบบนี้ก็เอาท์แล้วนะ!! พี่น้องน่ะ เขาไม่เขิน เพราะ แค่เรียกกันหรอก”
“ใครบอกว่าผมเขิน”
“คิดว่าฉันเห็นใบหน้าแบบนั้นมากี่รอบแล้วกัน ห้ะ!!!!?”
“จะไปรู้ได้ยังไง เราเพิ่งเจอหน้ากันเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองนะ”
“คนหน้าไม่อาย น่ารังเกียจ น่ารังเกียจ น่ารังเกียจ น่ารังเกียจที่สุด”
สีหน้าของเธอดูโกรธกริ้วและกระทืบพื้นไม่หยุด ถ้าเสียงดังแบบนี้อีกสักพักพวกคุณพ่อก็คงจะได้ยิน
“เสียงอะไรกันน่ะ ยูเมะ”
“ครับ ๆ หมดเวลาครับ ถ้าคุณยูนิขึ้นมาก็เป็นอันว่าเธอแพ้อย่างสมบูรณ์”
“อ้ะ”
สีหน้าของเธอแปรเป็นความว้าวุ่น
“เอาล่ะนะ ทีนี้เธอคงเห็นความห่างชั้นทางความคิดของผมกับเธอแล้ว ต่อไปก็อย่ามาทำให้ผมรำคาญก็แล้วกัน ออกไปจากห้องผมซ่ะ”
ผมรู้ว่าผมพูดแรงแต่มันคือความจริงและผมก็ไม่คิดจะเกรงใจผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว
“หะ..โหดร้าย ทั้งที่ตอนนั้นไม่เคยพูดใส่กันขนาดนี้แท้ๆ”
ปฏิกิริยากลายเป็นหน้าแดงแล้วมีน้ำตาไหลออกมาเล็กน้อย ผมไม่รู้เธอเสียใจหรือกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ผมเดินไปใกล้เธออีกเล็กน้อยลูบไปที่หน้าม้าของเธอ พร้อมปลอบว่าอย่าร้องไห้เลย มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดดีแฮะ
ผมคงจะถูกอารมณ์ความทรงจำพาไปมากสินะ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการอ่านหนังสือ การถูกโจมตีด้วยความรู้สึก ก็ไม่ต่างจากการเปิดจินตนาการและอินไปกับมัน ใช่ ผมว่าผมอินมากเกินไป
ผมพูดแบบนั้นและเอื้อมมือขวาไปแตะทั้งที่ไม่เต็มใจ ลูบหัวยูเมะซังเบาๆ ราวกับลูกแมว
“ผมผิดเองครับ ขอโทษนะครับ คุณพี่สาว”
ความทรงจำผุดขึ้นในหัว เป็นความคิดถึงที่หายไปนาน มันเคยเป็นแบบนี้ ทุกครั้งอายาอิเธอก็มักจะแสดงอาการเขินอาย
แต่ว่าตอนนี้กลับเป็นอิริโด ยูเมะที่ท่าทางตกตะลึงเมื่อครู่อันตรธานไป แปรเปลี่ยนเป็นภูเขาไฟปะลุลูกใหญ่
“กะ…การกระทำที่อยากทำอะไรก็ทำของนายนั่นแหละ! ที่ฉันเกลียดที่สุดเลย!!!!!!!!”
เธอที่พูดแบบนั้นก็รีบเดินไปชนกองหนังสือสะดุดล้มเข้าแต่ว่าก็ออกจากห้องไปในท้ายที่สุด
ผมยืนอยู่ในห้องคนเดียว พินิจถึงเหตุการณ์เมื่อครู่…ปฏิกิริยาแบบนั้นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นจากเธอ ไม่สิ
“อย่างไอ้การอยากเอาชนะทั้งที่ตัวเองอ่อนแอ ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั่นน่ะ…ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเกลียดเธอเช่นกัน”
โฆษณา