2 ก.ค. 2023 เวลา 11:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Indiana Jones and the Dial of Destiny

การผจญภัยครั้งที่ 5 ที่ไม่คิดว่าจะมีอีกแล้ว ของนักโบราณคดีที่เพื่อน ๆ เรียกว่า “อินดี้”
อินเดียน่า โจนส์ ในวันที่เกษียณจากการทำงาน แต่กลายเป็นต้องเข้าไปพัวพันกับลูกสาวบุญธรรมในการตามหากงล้อเวลาของอาร์คีมิดีส แข่งกับพวกนาซีหลงยุคที่นำโดย ดร.เจอร์เกน โวลเลอร์ ว่ากันว่าใครที่ได้ครอบครองจะสามารถย้อนเวลาได้
นับเป็นบทสร้างชื่อเสียงในระดับอภิมหาตำนานให้แก่ปู่แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในการสร้างแคแร็กเตอร์อันน่าจดจำของนักโบราณคดีผู้ต่อสู้กับกองทัพนาซี อินเดียน่า โจนส์ ถึงขนาดที่ปู่ฟอร์ดเองก็ออกปากให้สตูดิโอเลิกความคิดจะหาใครมาแทนที่ปู่ และปล่อยให้อินดี้ตายไปพร้อมกับปู่
แต่หลังจากที่พยายามเข็นภาค 4 Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (2008) เราก็เริ่มจะเห็นความโรยราของปู่ฟอร์ดในการต้องฝืนสังขารเล่นแอ็คชั่น แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปอีก 15 ปี ปู่ฟอร์ดก็ต้องกลับมาสวมแจ็กเก็ตหนัง สวมหมวกหวดแส้ออกไปผจญภัยในวัย 81 ปี ยังดีที่หลายต่อหลายฉากปู่ไม่ต้องแสดงเอง และการดีไซน์งานแอ็คชั่นในภาคนี้ก็ให้เหมาะสมกับปู่แล้ว
แน่นอกว่าปู่ฟอร์ดยังคงเป็นอินดี้ในวัยเกษียณที่ชีวิตพังทลาย จนไม่แน่ใจว่าจะอยู่เพื่อใคร การที่มีเหตุให้ต้องไปผจญภัยอีกครั้งก็เหมือนเติมเชื้อไฟที่ใกล้มอดให้แก่ชีวิต และทำให้ชีวิตมีความหมายอย่างที่เคยเป็นสมัยหนุ่ม
ตัวละครผู้ร้ายประจำภาคนี้ แมดส์ มิคเคลเซ่น ดาวร้ยประจำฮอลลีวู้ด รับบทเป็น ดร.เจอร์เกน โวลเลอร์ ที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนอกจากแสดงความร้ายตามที่บทให้มา เช่นเดียวกับตัวร้ายคุ้นชินแบบใน Logan ของ บอยด์ โฮลบรู้ด ที่มาในพิมพ์เดียวกัน
ลูกสาวบุญธรรมของอินดี้ เฮเลน่า ชอว์ ของ โฟบี้ เวลเลอร์-บริดจ์ ที่เหมือนมัทท์ (บทลูกชายของอินดี้ที่ ไชอา ลาบัฟ รับบทในภาคที่แล้ว) เวอร์ชั่นผู้ชาย รอบจัด และเก่งโบราณคดี น่าจะเป็นการดีไซน์ตัวละครขึ้นมาแบบโยนหินถามทางเผื่อดังขึ้นมาจะได้สร้างภาคแยกของเฮเลน่าแทน
ตัวละครเก่า ๆ อย่างเช่น จอห์น รีห์ส-เดวี่ส์ กลับมาเป็น ซัลลาห์ เพื่อนรักชาวอียิปต์ของอินดี้, คาเรน อัลเลน ในบท แมเรี่ยน รักหนึ่งเดียวของอินดี้ และหน้าใหม่ อันโตนิโอ แบนเดอราส เป็น เรนัลโด สหายเก่าที่อินดี้ต้องขอความช่วยเหลือ
เจมส์ แมนโกลด์ ที่ตอนนี้กลายเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในหลายโปรเจ็คส์ รับไม้ต่อจาก สตีเวน สปีลเบิร์ก ในการนำอินดี้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง นับเป็นโจทย์ที่มีท่าบังคับเยอะจนยากที่จะใส่อะไรที่สดใหม่เข้าไปได้ แต่ในขณะเดียวกัน แมนโกลด์ ก็ทำให้อารมณ์ของหนังแบบอินดี้ยังอยู่ครบจนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเมื่อเปลี่ยนผู้กำกับ ฉากแอ็คชั่นและการตีความปริศนายังคงได้อารมณ์แบบขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าครบถ้วน เช่นเดียวกับดนตรีของ จอห์น วิลเลี่ยมส์ ที่ยังคงไว้ใจได้เสมอ และฮึกเหิมทุกครั้งเมื่อได้ยินธีมประจำตัวอินดี้
เหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่มาเล่าว่าไปเจออะไรมาบ้าง ดีใจที่ได้เจอ แม้จะไม่มีมนต์ขลังเหือนเก่า แต่ยังเป็นเพื่อนคนเดิม เพิ่มเติมคือทำให้เราหายคิดถึง ภาพรวมดีกว่าภาคที่แล้วครับ
เพราะตัวตนของเราคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นอย่างที่ควรเป็น ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ถ้านั่นคือตัวเรา ก็จะไม่มีอะไรมาสั่นคลอนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเรา และการกระทำของเราได้
Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023)
Directed: James Mangold/Starring: Harrison Ford, Phoebe Waller-Bridge, Mads Mikkelsen, Antonio Banderas, John Rhys-Davies, Boyd Holbrook
ขอบคุณที่มาข้อมูล/ภาพประกอบ: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Youtube, disney.co.th
โฆษณา