5 ก.ค. 2023 เวลา 12:26 • ดนตรี เพลง

Somewhere only we know ~ ณ ที่แห่งหนึ่ง ที่เราทั้งคู่รู้กัน

ทุกๆ ปีผมจะวนดูโฆษณาอยู่ตัวหนึ่งเสมอ โฆษณาตัวนี้เป็นของร้านขายของที่ต้องการโปรโมตยอดขายช่วงเทศกาลคริสต์มาส จุดเด่นของโฆษณาชิ้นนี้คือการเล่าเรื่อง และก็เพลงประกอบ โดยเฉพาะเพลงประกอบ "Somewhere only we know" ที่ต้นฉบับแต่งโดยวง Alternative "Keane" แต่ถูกเอามาเรียบเรียงใหม่โดย Lily Allen (จนออกมาเป็น Version ที่หวานที่สุด)
โฆษณาชิ้นนี้ใช้อนิเมชั่นเล่าเรื่องราวของกระต่ายป่ากับหมี ที่เจ้าหมีต้องจำศีลในทุกๆฤดูหนาว เลยทำให้เจ้าหมีตัวนี้พลาดเทศกาลคริสต์มาสทุกปี เจ้ากระต่ายน้อยพยายามทำทุกทาง เพื่อช่วยให้เจ้าหมีมีโอกาสได้เห็นความสุข ความสนุกสนาน มิตรภาพ และความอบอุ่นของครอบครัวระหว่างเทศกาลคริสต์มาส
สำหรับคนไทย คริสต์มาสไม่ใช่อะไรที่เราคุ้นเคย เราคงนึกถึงมันเป็นแค่เทศกาลซื้อของเสียมากกว่า แต่สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนถ้าไม่พูดถึงเรื่องศาสนา ทุกคนก็จะยกว่ามันเป็นเทศกาลที่สมาชิกครอบครัวที่หลงหายหรือแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปอยู่ตามที่ต่างๆ จะได้กลับมาพบกัน พ่อ-แม่ พี่-น้อง ลุงป้า น้าอา คนรัก ลูกๆ จะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง มันเป็นเทศกาลที่อบอุ่น เป็นเทศกาลที่มีค่าที่สุดของปี พูดง่ายๆว่ามันคือวันรวมญาติ
ดังนั้นการที่ใครสักคนพลาดเทศกาลคริสต์มาส มันหมายถึงเขาต้องอยู่โดดเดี่ยว ร้านค้าและบริการต่างๆจะปิดหมด หิมะตกออกไปไหนไม่ได้ ผู้คนอยู่แต่ในบ้าน และสิ่งที่สวยงามเกี่ยวกับการติดอยู่ในบ้านกับคนที่เรารักนั่นคือ ในขณะที่ด้านนอกเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ แต่ภายในบ้านเรามีกันและกัน (ส่วนบ้านเราให้นึกถึงตอนฝนตกหนัก แต่เราอยู่ในบ้านที่ปลอดภัยกับคนในครอบครัว) มันเป็นความอบอุ่นทางใจที่หาจากที่ไหนไม่ได้ แต่ก็น่าเสียดายที่ปัจจุบัน "สิ่งสวยงามที่เรียบง่าย" เช่นนี้กำลังจางหายไปจากครอบครัวค่อนข้างเยอะ
นี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้โฆษณาตัวนี้มี Impact ทางด้านอารมณ์ค่อนข้างสูง และในปัจจุบันโฆษณาตัวนี้ก็ยังถือเป็นหนึ่งในโฆษณาประจำเทศกาลคริสต์มาสที่ดีที่สุด แม้จะออกมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วก็ตาม
เจ้าหมีในเรื่อง เขาไม่สามารถฝืนธรรมชาติได้ เขาต้องจำศีลทุกๆฤดูหนาว ส่วนเจ้ากระต่ายก็เสียใจทุกครั้งที่เจ้าหมีจะต้องเข้าไปนอนจำศีล เพราะหมายถึงทั้งสองจะไม่ได้แบ่งปันช่วงเวลาดีๆด้วยกัน ถ้าหากคิดมากหน่อย มันก็ค่อนข้างเป็นการเปรียบเทียบทางสัญลักษณ์ว่า บางครั้งคนเราอาจจะโดนล้อมกรอบ โดนรัดตัวด้วยภาระหน้าที่การงานต่างๆ ที่ทำให้ไม่สามารถกลับมาหาคนที่รัก หรือจำเป็นต้องละเลยครอบครัว
มันเป็นความทุกข์ใจ มันเป็นความเศร้า แต่เราฝืนมันไม่ได้ เพราะบางครั้งมันคือหน้าที่ และมันก็เป็นธรรมชาติของชีวิตที่ว่า "ชีวิตมันไม่ง่าย" หากเราสังเกตหน้าเจ้าหมีจริงๆ เราก็จะเห็นว่าเขาไม่ได้มีความสุขกับการที่เขาต้องนอนจำศีลตามธรรมชาติสักเท่าไหร่ เขาเศร้า เขาเสียใจ ส่วนเจ้ากระต่าย ที่โดยธรรมชาติของเขาเป็นสัตว์ที่ Active เขาก็เสียใจที่ไม่สามารถแบ่งปันเวลาดีๆด้วยกัน
มีฉากสำคัญหลายฉากที่สองตัวละครนี้มองกันและกันด้วยความอาลัยอาวรณ์ ซึ่งตรงนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายอะไร เมื่อได้ฟังเพลงและดูสีหน้า ดูการแสดงอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆมันก็จะถ่ายทอดออกมาแล้วคนดูจะรู้สึกได้เอง
สิ่งที่ผมประทับใจเกี่ยวกับอนิเมชั่นของเรื่องนี้ก็คือ การจัดวางท่าทางการนอนของหมี ที่เอามือปิดหน้าไม่ต่างกับการนอนเอามือก่ายหน้าผาก มันเป็นภาพของการนอนหลับเพื่อให้ลืม นอนหลับบนความทุกข์ สภาวะจำยอม มันมีความเศร้าโศกเสียใจในนั้น มันมีความผิดหวังในนั้น
นิทานสั้นเรื่องนี้จบลงด้วยว่า เจ้ากระต่ายวางของขวัญชิ้นหนึ่งไว้ให้ และของขวัญชิ้นนั้นจะทำให้เจ้าหมีมีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกันครอบครัว แล้วมันสำคัญตรงไหน??? ทำไมโฆษณาชิ้นนี้ถึงได้ประทับใจคนดูอยู่จนถึงปัจจุบัน ถ้าพูดถึงเนื้อเพลง มันจะมีท่อนนึงที่เขียนว่า "เรื่องง่ายๆเรื่องพื้นฐาน เรื่องทั่วๆไป มันหายไปไหนหมด" ซึ่งนั่นคงหมายถึงความสุขเล็กๆ การใช้เวลาร่วมกัน การแบ่งปัน การร่วมทุกข์-ร่วมสุข
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งง่ายๆ ล้วนเป็นส่วนประกอบในชีวิตที่ง่ายๆ แต่ทรงพลัง ที่เมื่อพิจารณาดูอีกที มันก็ง่ายซะจนเราลืมว่ามันสำคัญแค่ไหน แล้วบางครั้งเราก็ลืมไปว่า เราละเลยเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ไป เพราะมีเรื่องใหญ่กว่าให้ต้องทำ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น เราถึงจะตระหนักว่าของพื้นฐานเหล่านี้มันสำคัญกับเรา เราห่างหายจากมันไปนานขนาดไหน และเราเหนื่อยขนาดไหนที่เราต้องตามค้นหามัน ทั้งๆที่มันควรวางกองอยู่ตรงหน้า
การนอนจำศีลไม่ต่างกับการหยุดพัก ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนเคยผ่านจุดที่เราเหนื่อยจนเรารู้สึกว่าเราอยากจะนอน และนอนพักไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ต้องตื่นอีก มันน่าจะคล้ายๆกัน แต่โชคยังดีที่โฆษณาตัวนี้จบแบบ Happy Ending เจ้าหมีตื่นขึ้นและมีโอกาสได้ไปร่วมเฉลิมฉลองกับกระต่าย กับครอบครัวเพื่อนๆในป่า และนั่นเป็นความสุขที่วิเศษที่สุดที่ทำให้เจ้าหมียิ้มได้อีกครั้ง (หลังจากที่เราเห็นเขาเศร้ามาทั้งเรื่อง)
หากตีความเข้าไปให้ลึกถึงชีวิต บางทีโฆษณาตัวนี้อาจต้องการบอกว่า อย่าเพิ่งหมดหวังกับชีวิต ในวันที่อะไรหลายๆอย่างดูไม่เป็นไปตามใจ ในวันที่เราไม่ไหว ในวันที่เราหมดแรง บางครั้งมันจำเป็นที่เราต้องมีคนอยู่ข้างๆ ต้องมีกันและกัน มีครอบครัว มีเพื่อน เพื่อที่ว่าในยามที่เราหลับ จะมีใครอีกคนคอยดูแลเรา และปลุกเราตื่นขึ้น เพื่อที่จะได้เห็นแสงสว่างของชีวิตในวันถัดไป
ผมจะแปลเนื้อเพลงไว้ด้านล่าง ประโยคต่อประโยค คำต่อคำ (จริงๆอาจไม่ต้องแปลก็ได้ เพราะเนื้อร้องไม่ซับซ้อน) โฆษณาตัวนี้ให้ความหวัง ให้ความอบอุ่นใจกับหลายๆคน หวังว่ามันจะเตือนคนที่ผ่านเข้ามาดูว่า อย่าลืม ในวันที่เราวุ่นวาย เราอาจจะพลาดละเลยของพื้นๆ บางครั้งของพื้นๆเหล่านั้นอาจจะเป็นแหล่งกำลังใจให้เรา เป็นพลังให้เราเดินต่อไปข้างหน้า และที่สำคัญที่สุด...เป็นสิ่งย้ำเตือนว่า
"เธอยังมีคนที่รักและห่วงใย เธอไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว"
ขอให้ทุกอย่างโอเค ขอให้เป็นวันที่ดี ใส่ใจตัวเองและใส่ใจคนรอบข้าง ขอพระเจ้าเสริมกำลังครับ
I walked across an empty land
ฉันเดินทางผ่านดินแดนรกร้างว่างเปล่า
I knew the pathway like the back of my hand
ฉันรู้จักเส้นทางนี้ดี (จำยอม)
I felt the earth
Beneath my feet
ฉันรู้สึกถึงผืนดินที่ใต้ฝ่าเท้า
Sat by the river
and it made me complete
ฉันนั่งลงริมแม่น้ำ ในที่สุดมันก็จบ
Oh simple thing
Where have you gone
เรื่องง่ายๆ พื้นๆ (ความสุข) มันหายไปไหนหมด (รำพึง รำพัน)
I'm getting tired and I need someone to rely on
ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันอยากมีใครอยู่ข้างๆ
I came across
A fallen tree
ฉันเห็นต้นไม้ล้ม (ความล้มเหลว)
I felt the branches of it looking at me
กิ่งของมันเหมือนจ้องมองฉัน (guilt)
Is this the place
We used to love
ที่ตรงนี้น่ะเหรอ ที่เราสองคนเคยรัก (ผิดหวัง)
Is this the place that I’ve been dreaming of
ที่ตรงนี้น่ะเหรอที่ฉันเคยเฝ้าฝันถึง (ผิดหวัง)
Oh simple thing
Where have you gone
I’m getting old and I need something to rely on
ฉันแก่ตัวลง ฉันอยากมีที่ยึดเหนี่ยว (สิ้นหวัง)
And if you have a minute why don’t we go
Talk about it somewhere only we know
(อีกคนเข้ามา) ถ้ามีเวลา ลองเล่าให้ฉันฟังไหม
ไปคุยกันในที่ที่เธอและฉันสบายใจ
This could be the end of everything
(หากปล่อยไว้) เธออาจจบทุกอย่าง (ตันฉบับพูดถึง self-deletion)
So why don’t we go
Somewhere only we know
งั้นเราไปที่ที่เราคุ้นเคยกันไหม
โฆษณา