7 ก.ค. 2023 เวลา 03:31 • ความคิดเห็น
6 นิสัย และ การให้อภัย
และ การให้อภัย
เรื่องจริง​ ณ​ ลานประหาร ที่ประเทศอิหร่าน
ชายหนุ่ม อายุ 24 ปี กำลังจะถูกแขวนคอ เพราะเขาฆ่าคนวัยเดียวกับเขา เมื่อตอนอายุ 17 ปี
7 ปีผ่านไป เขาถูกพิพากษาโทษแขวนคอ โดยให้ญาติของเหยื่อเป็นฝ่ายกระทำคืน โดยให้เตะเก้าอี้ใต้เท้าที่เขายืนออก
แม่ของผู้ตายตบหน้าฆาตกรอย่างแรงก่อนจะทำการแขวนคอ เพราะลูกของเธอโดนไอ้ชั่วนี่ฆ่า ทำให้เธอโกรธแค้นและเสียใจมาก
ส่วนแม่ของคนที่จะถูกแขวนคอ เมื่อเห็นลูกตัวเองกำลังจะตายไปต่อหน้า ก็หมดเรี่ยวแรงทรงกาย​ ทรุดลงไปกับพื้น
และแล้ววินาทีตราตรึงใจก็ปรากฏ สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ....แม่ของผู้ตายไม่ได้เตะเก้าอี้ แต่เธอกลับเอื้อมมือไปคลายปลดเชือกประหารที่คอของฆาตกร!
แม่ของฆาตกร เข้าไปก้มลงจูบเท้าแม่ของผู้ตาย
ทั้งสองแม่ต่างหลั่งน้ำตา แม่ที่ลูกของเธอถูกปลิดชีพบอกว่า..
"เพราะว่า​ ฉันทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกรัก ฉันไม่ต้องการให้แม่อีกคน ทนทุกข์ทรมานเหมือนกับฉัน"
.
นี่แหละความยิ่งใหญ่ของพลังแห่งการให้อภัย ความเมตตา ความกล้าหาญของมนุษยชาติ !
1
ความกล้าหาญที่เธอยกโทษให้ฆาตกร ยิ่งใหญ่กว่าความกล้าหาญที่จะฆ่าเขาอีก
หวังว่าหลายๆคนที่อ่าน คงได้เรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของคำว่า "แม่"
เรื่องการให้อภัยผู้อื่นนับเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวคนเรามากที่สุด เพราะในทุกๆ ความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะในครอบครัว ในหมู่เพื่อน หรือแม้แต่กับคนที่เราไม่รู้จัก ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นจนต้องมีการให้อภัยกัน
นักจิตวิทยาท่านหนึ่งกล่าวว่า เหตุที่ทำให้คนมีความสุขคือ "ความเป็นเพื่อน" และ "การให้อภัย" ไม่ใช่ความร่ำรวย
คนที่มีความสุขที่สุดจะห้อมล้อมตนเองด้วยครอบครัวและเพื่อนฝูง ไม่สนใจที่จะแข่งรวยกับคนข้างบ้าน แต่จะสนุกกับกิจกรรมประจำวันอย่างเต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นคนที่ให้อภัยคนอื่นได้ง่าย
ความสามารถในการยกโทษให้ผู้อื่นนั้น เป็นคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับความสุขมากที่สุด ซึ่งเราเรียกว่า "ราชินีแห่งคุณงามความดี" ทั้งมวล
สรุปที่แปลโดย :
William Exotique
Credit : 佟毓耀
………………………….
- การให้อภัย ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตได้
แต่การให้อภัยนั้นอาจเปลี่ยนอนาคตได้
พุทธทาสภิกขุ
เอ็ดดี้เป็นชาวยิวที่เกิดในเยอรมัน ในเมืองไลป์ซิกอันสวยงาม เขาคิดและภูมิใจในความเป็นคนเยอรมันมาตลอด เอ็ดดี้ถูกส่งไปเรียนทางด้านวิศวกรรมจนมีความรู้ทางด้านช่างเป็นอย่างดีซึ่งภายหลังได้ช่วยเขาให้เอาตัวรอดอยู่หลายครั้ง ก่อนที่เขาจะกลับมาบ้านแล้วถูกจับ ซ้อมจนแทบปางตายและส่งเข้าค่ายกักกัน
เอ็ดดี้ระเหเร่ร่อน ถูกส่งไปหลายที่ หนีออกมาก็ถูกจับได้บ้าง ถูกซ้อม ถูกทารุณกรรม จนท้ายสุดก็ถูกส่งเข้าค่ายกักกันที่หฤโหดและทารุณที่สุดในประวัติศาสตร์
ของมนุษย์ชาติ ก็คือค่ายกักกัน Auschwitz ถูกทรมาน ถูกใช้แรงงาน มีเพียงเศษขนมปังประทังชีวิต จนน้ำหนักลดเหลือแค่ 28 กิโลกรัม จวนอยู่จวนไป ถูกทำร้าย ป่วยหนัก อาศัยความหวังเพียงน้อยนิดและเพื่อนคนเดียวที่เหลือรอดเป็นกำลังใจให้กันและกัน ท้ายสุดก็รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ แม้สุดท้ายก็รอดจากการเดินทางไกลที่นาซีบังคับให้เดินหนีเพื่อทำลายหลักฐานโดยปราศจากอาหารและน้ำ ระหว่างทางมีคนตายเป็นหมื่น เอ็ดดี้รอดมาได้ แต่ครอบครัวที่มี
3
ทั้งหมด พ่อ แม่ เพื่อนฝูง ไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว
หลังจากสงครามสงบ เอ็ดดี้พยายามใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากและทุกข์ระทมจากแผลในใจ จนมาเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนความคิดตอนมีลูกคนแรก หลังจากนั้นเขาก็ตั้งใจที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาย้ายครอบครัวมาที่ออสเตรเลีย ลงหลักปักฐานมีครอบครัวใหญ่ จนเขารู้สึกตัวเองว่าเป็นคน
ที่มีความสุขที่สุดในโลกในชีวิตบั้นปลาย บทเรียนที่เอ็ดดี้เล่าไว้ในหนังสือ the happiest man on earth มีหลายประเด็น จากคนที่อยู่ต่ำสุดในขุมนรกเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะเจอได้จนมีความสุขที่สุดในโลก จากคนที่ร่างกายถูกทรมานจนไม่น่าจะมีชีวิตรอด แต่กลับอยู่ได้ถึง 101 ปี ปัญญา (wisdom) ของเอ็ดดี้จึงเป็น
เรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เอ็ดดี้บอกว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่มีค่ามากกว่าเงินทอง ความสุขของการที่ได้อยู่ร่วมกันของครอบครัวแม้แต่ในเวลาที่ยากลำบากที่สุดนั้น ต่อให้มีเงินทองก็หามาไม่ได้ เอ็ดดี้ถูกพรากจากครอบครัวและในที่สุดก็เสียพ่อแม่ไปจากการที่ถูกแยกแถวให้เขาไปซ้ายเพราะยังทำงานกรรมกรได้ ส่วนพ่อเขาไป
ขวาเพื่อถูกรมแก๊สที่ค่ายกักกันอย่างกะทันหัน ไม่มีแม้แต่โอกาสได้บอกลา เอ็ดดี้บอกว่ายอมเสียทุกอย่างเพื่อที่จะได้กอดพ่อกอดแม่อีกครั้ง และเตือนให้ทุกคนทำทันทีกับคนที่เรารักเมื่อมีโอกาส
เอ็ดดี้ได้เห็นคนปกติ เพื่อนฝูงที่เห็นกันมา ผู้คนที่รู้จักที่ทักทายกัน ยิ้มแย้มแจ่มใส พอถูกปั่นหัว ชักจูง ด้วยความอ่อนแอในใจนั้นสามารถถูกเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังได้โดยง่าย จากคนปกติก็กลายเป็นฝูงชนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผลถึงกับจะ
ล้างเผ่าพันธุ์ ทำร้ายคนที่เคยรู้จักมาหลายปีเพราะความเชื่อผิดๆ ความเกลียดชังเป็นเหมือนโรคติดต่อที่ทำลายทั้งตัวเองและผู้อื่นได้อย่างน่ากลัว
พรุ่งนี้จะมาถึงเสมอ ถ้าเราเอาตัวรอดวันนี้ไปให้ได้ ใช้ชีวิตไปทีละวัน เอ็ดดี้เห็นคนที่ยอมแพ้ ฆ่าตัวตาย สิ้นหวังเพราะมองไม่เห็นว่าความทุกข์ทรมานจะจบเมื่อไหร่ สำหรับตัวเขาเองคือการใช้ชีวิตให้รอดไปทีละวันและมีความหวังแม้เพียงจะน้อยนิด จนทำให้เขาเอาตัวรอดมาได้
แม้แต่ในช่วงที่ต้องหนี ต้องดิ้นรน ทุกข์ทรมาน เอ็ดดี้ก็มักจะได้รับความช่วยเหลือเล็กๆน้อยจากคนที่ไม่รู้จัก ที่มีน้ำใจให้เสมอ ชาวบ้านที่แทบไม่มีอะไรกินก็ยังแบ่งปันอาหารให้ หมอที่แอบมาช่วยผ่าตัดเอาลูกกระสุนออก ฯลฯ เอ็ดดี้จึงมีความหวังกับผู้คนเสมอ เขาบอกว่าเราสามารถเจอ kindness ได้ในทุกที่แม้กระทั่งคนแปลกหน้าก็ตาม
เอ็ดดี้เหลือเพื่อนคนเดียวที่รอดชีวิตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ ให้กำลังใจ เป็นคนเดียวในโลกที่รู้จักเอ็ดดี้ว่าเป็นใครมาจากไหน เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจตลอดช่วงเวลาในค่ายกักกัน เอ็ดดี้บอกว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการที่ถูกรักโดยคนอื่น และความรักความปรารถนาดี มิตรภาพที่มีคนคอยแชร์ทั้งสุขและทุกข์นั้นเป็นยาวิเศษที่ดีที่สุดในโลก
ความรู้ที่ได้จากการเล่าเรียนเป็นเครื่องช่วยชีวิตที่สุดยอด จากการที่พ่อบังคับเคี่ยวเข็ญเขา ผ่านกระบวนการยากลำบากต่างๆมากมายเพื่อให้เขาได้เรียนวิศวกรรม ทำให้เขารู้จักใช้เครื่องมือ เข้าใจเครื่องจักรต่างๆ ทำให้เขามีประโยชน์พอที่จะไม่ถูกสังหารทิ้ง พาเขาไปในโอกาสที่ทำให้เขารอดชีวิตมาหลายต่อหลายครั้ง เวลาเอ็ดดี้เจอสถานการณ์คับขันแล้วเอาตัวรอดจากวิชาความรู้ที่มี เขาจะนึกขอบคุณพ่อเขาทุกครั้ง
ร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเครื่องจักรที่ดีที่สุดในโลก เอ็ด
ดี้ถูกทรมานทรกรรม อดข้าว อดน้ำ ใช้ชีวิตขาดสารอาหาร น้ำหนักลดเหลือ 28 กิโลกรรม ถูกทุบตี โดนทุบหัวจนสมองกระทบกระเทือนไม่รู้กี่ครั้ง ถูกยิงต้องผ่ากระสุนออก ถูกทำร้ายร่างกายอย่างแสนสาหัส
ร่างกายดูน่าจะพังพินาศยากจะฟื้นฟู แต่เอ็ดดี้ก็รอดและฟื้นตัวจนแข็งแรง พร้อมพลังใจที่เข้มแข็ง ความสุขที่มี ทำให้ร่างที่บอบช้ำนั้นอยู่มาได้ร้อยปี เอ็ดดี้ถึงไม่ค่อยชอบใจนักเวลาเห็นเด็กรุ่นใหม่ไม่ดูแลตัวเอง ใช้สารเสพติดที่ทำร้ายร่างกายที่ควรจะดูแลให้ดีที่สุด เพราะเป็นเครื่องจักรที่ทำให้ให้เอ็ดดี้ซ่อมตัวเองจนรอดมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
………เอ็ดดี้เล่าใน ted talk ว่า เขาไม่เคยที่คิดจะเกลียดใครเลย แม้แต่คนที่ทำร้ายเขาขนาดนั้น เขาบอกว่าความเกลียดชังเหมือนโรคร้ายที่อาจจะทำลายศัตรูได้ก็จริงแต่ก็ทำลายตัวเราไปด้วยระหว่างทาง วันที่
เขามีลูกคนแรกและคิดได้ว่าเขาควรจะใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ให้สมกับที่รอดชีวิตมาได้ เขาสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นคนที่มีความสุข ยิ้มแย้ม สุภาพกับทุกคน ช่วยเหลือผู้อื่นและมีเมตตากับทุกชีวิต ซึ่งเขาก็ทำได้จนอายุร้อยปี เขาบอกว่าความสุขและสงบในใจ ครอบครัวใหญ่ที่น่ารักของเขานั้นนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีที่ทำให้เขาอายุยืนและแข็งแรงอย่างน่ามหัศจรรย์
เอ็ดดี้บอกว่าพรุ่งนี้นั้นมาถึงแน่ๆ แต่ที่สำคัญคือต้องมีความสุขกับวันนี้ก่อน เป็นบทเรียนที่เขาได้รับจากการอยู่รอดแบบวันต่อวัน เอ็ดดี้บอกว่าเขาโกงความตายมาได้ รอดมาอย่างปาฏิหารย์ ถ้าเขาสามารถช่วยคนที่ทุกข์ระทมได้ยิ้มอีกครั้ง นั่นก็คือความสุขที่สุดของเขาแล้ว
เอ็ดดี้ จาคู บุรุษผู้มีความสุขที่สุดในโลก เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน
สิริอายุได้ 101 ปี…
"ความดี ๘ ประการ" ยิ่งทำมาก
ยิ่งมีแต่สิ่งดีๆเข้ามาชีวิต
๑.ฝึกเป็นผู้ให้และละความตระหนี่
๒.มีความสุภาพนอบน้อมถ่อมตน
๓.กตัญญูต่อบิดามารดาหรือผู้มีพระคุณ
๔.มีวาจาที่สุภาพและประกอบด้วยเมตตา
๕.ฝึกเป็นคนที่ไม่โกรธง่าย ไม่กระฟัดกระเฟียด
๖.ฝึกเป็นคนที่ไม่อิจฉาริษยาใคร
๗.หมั่นเจริญสมาธิภาวนาให้มากๆทำให้บ่อยๆ
๘.ฝึกเป็นคนให้อภัย ไม่พยาบาท ไม่จองเวรใคร
อันว่าความดีนั้นหากใครทำได้ตามที่ว่ามานี้
ความสุขย่อมจะค่อยๆเกิดขึ้นความทุกข์จะค่อยๆเบาบางลง
ผู้ใดที่กำลังประสบกับความทุกข์ก็ขอให้
กระทำสิ่งที่ได้บอกมานี่ให้มากๆ
แล้วเดี๋ยวสิ่งดีๆย่อมจะเป็นที่ประจักษ์เอง
ขอให้ใช้โอกาสที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้
ทำคุณงามความดีให้มากๆเถิด
เพื่อความสุขและประโยชน์ของเราเอง
..
"อันความดี ยิ่งทำมาก เป็นกุศล
ไม่หมองหม่น สร้างคุณค่า ให้ตัวเรา
มีความสุข ตัวทุกข์นี้ ย่อมบรรเทา
คอยขัดเกลา เพิ่มประโยชน์ จิตใจงาม.."
#เมื่อคิดจึงได้เขียน
โฆษณา