17 ก.ค. 2023 เวลา 06:40 • กีฬา

ไขข้อข้องใจแฟนบอล ทำไมอาร์เซน่อลถึงเสริมทัพแบบจัดหนักได้โดยไม่ต้องพะวงกฎ FFP

หลังจากที่อาร์เซน่อลประกาศเปิดตัว ดีแคลน ไรซ์ เป็นนักเตะใหม่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้ในช่วงซัมเมอร์นี้ ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ใช้งบเสริมทัพรวมกันไม่ต่ำกว่า 200 ล้านปอนด์ไปแล้วจากการเซ็นสัญญาผู้เล่นใหม่หลักๆ เข้ามา 3 คน
ไค ฮาแวร์ตซ์ ย้ายจากเชลซีด้วยราคา 65 ล้านปอนด์
ยูร์เรียน ทิมเบอร์ ย้ายจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 34 ล้านปอนด์ ซึ่งหากรวม add ons ต่างๆ จะทำให้ดีลของกองหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์มีมูลค่าถึง 38.5 ล้านปอนด์ในอนาคตได้
ขณะที่ ดีแคลน ไรซ์ มีค่าตัวสูงถึง 100 ล้านปอนด์ และยังมี add ons อีก 5 ล้านปอนด์ รวมกันเป็น 105 ล้านปอนด์
ด้วยงบเสริมทัพทะลุ 200 ล้านปอนด์ ทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นทีมที่ใช้เงินมากที่สุดในตลาดซื้อขายประจำซัมเมอร์นี้ไปแล้ว โดยทีมอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีกยังใช้งบไม่เกิน 100 ล้านปอนด์กันเลยสักทีม (ถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปิดดีลกับ อองเดร โอนาน่า ได้ในสัปดาห์นี้ อาจจะใช้เกินมานิดหน่อย ถ้าเอาค่าตัวของโอนาน่าไปรวมกับราคา 60 ล้านปอนด์ของ เมสัน เมาท์)
ย้อนไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว อาร์เซน่อลก็ใช้งบเสริมทัพไม่ใช่น้อยๆ เช่นกัน พวกเขาควักเงินรวมกันราวๆ 180 ล้านปอนด์จากการลงซื้อนักเตะ 2 ตลาด เพื่อคว้าตัว ฟาบิโอ วิเอร่า, แม็ตต์ เทอร์เนอร์, มาร์กินญอส, กาเบรียล เชซุส, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, เลอันโดร ทรอสซาร์, ยาคุบ คิวิออร์ และ จอร์จินโญ่ มาก่อนแล้ว
2
หรือในปี 2021 ทีมปืนใหญ่ก็ใช้เงินไปมากกว่า 120 ล้านปอนด์กับการซื้อขาด มาร์ติน โอเดการ์ด จาก เรอัล มาดริด (30 ล้านปอนด์), ซื้อ เบน ไวท์ จากไบรท์ตัน (50 ล้านปอนด์), ซื้อ อารอน แรมส์เดล จาก เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (25 ล้านปอนด์), ซื้อ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ จากโบโลญญ่า (16 ล้านปอนด์) ไหนจะเสริมตัวสำรองอย่าง นูโน่ ตาวาเรส กับ อัลแบร์ ซอมบี โลกงก้า เข้ามาในซัมเมอร์ปีนั้นอีก
1
สิ่งที่หลายคนสงสัยก็คือทีมปืนใหญ่ไม่ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มานานหลายปีแล้ว ทำไมถึงสามารถใช้เงินเสริมทัพในช่วงตลาดซัมเมอร์ 3 ปีหลังสุดได้มากขนาดนี้ มันจะไม่ผิดกฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ (FFP) หรือ?
บทความนี้มีคำตอบมาให้หายข้องใจกันครับ
สำหรับกฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ของพรีเมียร์ลีก แต่ละทีมต้องห้ามขาดทุนเกิน 105 ล้านปอนด์ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ถูกจับตาตรวจสอบ แต่ถ้าเจ้าของทีมไม่ลงทุนช่วยเลยจะขาดทุนได้ห้ามเกิน 15 ล้านปอนด์เท่านั้น (และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงถูกจำกัดงบในปีนี้ ทั้งที่รายได้สโมสรก็มีมากมาย)
อย่างไรก็ตาม จากการที่มีวิกฤติโควิด-19 เล่นงานเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงกลางปี 2021 (ฤดูกาล 2019-20 เล่นแบบปิดสนามในช่วง 10 นัดสุดท้าย ส่วนซีซั่น 2020-21 เตะแบบไร้รายได้จากผู้ชมในสนามตลอดทั้งฤดูกาล) ทำให้พรีเมียร์ลีกมีการผ่อนปรนกฎนี้ให้พอสมควร
งบที่ใช้ไปกับการพัฒนาสนาม, การพัฒนาทีมเยาวชนและทีมหญิงระหว่างซีซั่น 2019-20 และ 2020-21 จะไม่ถูกนำมาคิดคำนวณ และในช่วง 2 ฤดูกาลที่ว่า จะมีการนำงบของ 2 ซีซั่นมารวมกันแล้วหาร 2 เพื่อเพิ่มเพดานการขาดทุนได้มากกว่าเดิมเป็นกรณีพิเศษ
ด้วยเหตุนั้นการขาดทุนของอาร์เซน่อลถึง 168 ล้านปอนด์ก่อนหักภาษีในช่วงเวลา 3 ซีซั่นตั้งแต่ 2019-20 จนจบฤดูกาล 2021-22 จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการละเมิดกฎ FFP มากนัก เพราะตัวเลขส่วนใหญ่ถูกแบ่งออกมาแล้วนำไปหาร 2 ก่อนแล้ว
Swiss Ramble สื่อการเงินสายเจาะลึกธุรกิจฟุตบอลรายงานว่าในช่วงระหว่างนั้น แต่ละสโมสรได้รับการอนุโลมตัดตัวเลขที่ขาดทุนออกไปได้เฉลี่ยทีมละ 162 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
ซึ่งนับตั้งแต่พ้นวิกฤติโควิด-19 เป็นต้นมา อาร์เซน่อลค่อยๆ มีรายได้ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากผลงานในสนามที่เปลี่ยนเป็นเงินได้มากขึ้น โดยต้องไม่ลืมว่า เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม คือสนามที่สโมสรในพรีเมียร์ลีกเป็นเจ้าของที่มีความจุเป็นรองแค่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม เพียง 2 สนามเท่านั้น
ฤดูกาล 2021-22 จากไม่ได้เล่นฟุตบอลยุโรปเลยสักรายการ แต่ซีซั่นที่ผ่านมาพวกเขาได้เล่น ยูโรปา ลีก และเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย
จากที่จบอันดับ 5 ในพรีเมียร์ลีกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฤดูกาลล่าสุดที่ผ่านมาพวกเขาคือรองแชมป์ แบบเกือบจะเบียด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ตกม้าตายในช่วงโค้งสุดท้ายไปเองซะก่อน
การได้กลับสู่เวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง ยิ่งมีค่าเท่ากับให้พวกเขาได้งบเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 50 ล้านปอนด์
1
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้อาร์เซน่อลมีสถานะการเงินที่แข็งแรงมากในช่วง 2 ปีมานี้ นั่นก็คือพวกเขาคือสโมสรที่จัดการเพดานค่าเหนื่อยให้อยู่ในการควบคุมได้อย่างดีที่สุด
จากข้อมูลของเว็บไซต์ capology.com เผยว่าเมื่อฤดูกาล 2022-23 ที่ผ่านมา อาร์เซน่อลมีนักเตะที่ค่าเหนื่อยระดับสัปดาห์ละ 150,000 ปอนด์ขึ้นไปตั้งแต่ต้นซีซั่นเพียง 3 คนเท่านั้น ได้แก่ กาเบรียล เชซุส ที่ค่าจ้างแพงสุด (สัปดาห์ละ 265,000 ปอนด์), โธมัส พาร์เตย์ (สัปดาห์ละ 200,000 ปอนด์) และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ (สัปดาห์ละ 150,000 ปอนด์)
กาเบรียล เชซุส คือนักเตะค่าจ้างแพงสุดของอาร์เซน่อลชุดปัจจุบัน ได้รับสัปดาห์ละ 265,000 ปอนด์
ตัวหลักอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ บูคาโย่ ซาก้า ก่อนจะต่อสัญญาใหม่เมื่อช่วงต้นปี มีรายรับแค่คนละ 70,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เท่านั้น กว่าจะมีค่าจ้างคนละไม่ต่ำกว่า 180,000 ปอนด์ในสัญญาฉบับปัจจุบัน นั่นก็คือผ่านพ้นเดือนมกราคม 2023 มาแล้ว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมปืนใหญ่จัดการลดรายจ่ายเรื่องค่าเหนื่อยนักเตะลงไปได้มาก คือความเด็ดขาดของสโมสรที่ให้อำนาจ มิเกล อาร์เตต้า จัดการกับสตาร์ดัง เริ่มจากการปล่อย เมซุต โอซิล ออกจากทีมในช่วงต้นปี 2021, ยกเลิกสัญญากับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2022 รวมถึงการตัดสินใจไม่ต่อสัญญาใหม่กับกองหน้าค่าเหนื่อยแพงอย่าง อเล็กซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว
อาร์เซน่อลจ่ายค่าเหนื่อย 3 แข้งดังกล่าวไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 180,000 ปอนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายของโอซิลคือนักเตะที่ค่าจ้างแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อรับเหนาะๆ ถึงสัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์หลังการต่อสัญญาเมื่อเดือนมกราคม 2018 ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมปืนโตจำเป็นต้องรั้งเขาไว้ให้ได้ หลังเพิ่งเสียสตาร์ดังอีกคนอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ ออกไปให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หมาดๆ
การที่ซีซั่นก่อนทีมปืนใหญ่ไม่มีนักเตะค่าเหนื่อยโหดทั้ง โอซิล, โอบาเมย็อง, ลากาแซ็ตต์ รวมถึงปล่อยตัวอีกหนึ่งแข้งค่าจ้างแพงอย่าง นิโกล่าส์ เปเป้ ไปให้นีซยืมตัว โดยที่ปีกขวาทีมชาติโกตดิวัวร์ยอมลดค่าเหนื่อยลง 25% ในการไปเล่นที่ ลีก เอิง อีกครั้งแบบชั่วคราว ทำให้รายจ่ายลดลงอย่างมหาศาล
จากที่บิลค่าเหนื่อยตลอดทั้งฤดูกาล 2020-21 สูงถึงเกือบๆ 150 ล้านปอนด์ เหลือเพียงไม่ถึง 123 ล้านปอนด์เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา
และเมื่อไปดูรายจ่ายบิลค่าเหนื่อยของสโมสรยักษ์ใหญ่ทีมอื่นๆ ของพรีเมียร์ลีกบนเว็บไซต์ capology.com จะพบว่าทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี และแม้แต่ทีมที่ว่ากันว่าเจ้าของรัดเข็มขัดสุดๆ อย่างลิเวอร์พูล ล้วนมีการทุ่มค่าจ้างนักเตะที่สูงกว่าทีมปืนใหญ่มากทั้งหมด
เควิน เดอ บรอยน์ กองกลาง แมนฯ ซิตี้ คือนักเตะค่าเหนื่อยสูงที่สุดของพรีเมียร์ลีก
ทีมทริปเปิ้ลแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีนักเตะไม่น้อยกว่า 10 คนที่ค่าจ้างไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 150,000 ปอนด์ โดย เควิน เดอ บรอยน์ คือผู้เล่นค่าเหนื่อยแพงที่สุดของพรีเมียร์ลีก (400,000 ปอนด์/ สัปดาห์) ตามมาด้วยดาวยิงซูเปอร์สตาร์อย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ที่รับเหนาะๆ สัปดาห์ละ 375,000 ปอนด์ ต่อด้วย แจ็ค กรีลิช ที่รับเละสัปดาห์ละ 300,000 ปอนด์
รายจ่ายค่าเหนื่อยของ แมนฯ ซิตี้ ตลอดทั้งซีซั่นก่อนรวมๆ แล้วประมาณ 186 ล้านปอนด์ มากกว่าอาร์เซน่อลถึง 63 ล้านปอนด์ แม้ทีมเรือใบสีฟ้าจะเป็นสโมสรที่มีนักเตะทีมชุดใหญ่ไม่เยอะมาก แต่คัดคุณภาพ และจ่ายค่าจ้างแพงแบบเนื้อๆ เน้นๆ โดยกุนซืออย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คือโค้ชที่ค่าเหนื่อยแพงที่สุดของพรีเมียร์ลีก รับเงินค่าจ้างคุมทีมถึงปีละราวๆ 19 ล้านปอนด์
ลิเวอร์พูลมีค่าใช้จ่ายในบิลค่าเหนื่อยสูงขึ้นมา หลักๆ คือผลจากการต่อสัญญากับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยอัพค่าจ้างให้สตาร์ทีมชาติอียิปต์จากสัปดาห์ละ 200,000 ปอนด์ เป็นสัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์ ทำให้บิลค่าจ้างทีมหงส์แดงตลอดซีซั่นก่อนรวมกันอยู่ที่ 164,580,000 ปอนด์ หรือมากกว่าอาร์เซน่อลถึง 41 ล้านปอนด์โดยประมาณ
ทางด้าน แมนฯ ยูไนเต็ด คือทีมที่มีรายจ่ายค่าเหนื่อยมากเป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก หลักๆ คือค่าจ้างของ ดาบิด เด เคอา ที่ได้ถึงสัปดาห์ละ 375,000 ปอนด์, เจดอน ซานโช่ กับ คาเซมิโร่ คนละ 350,000 ปอนด์/ สัปดาห์, ราฟาแอล วาราน รับไป 340,000 ปอนด์/สัปดาห์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในช่วงก่อนจะยกเลิกสัญญากับสโมสร (สัปดาห์ละ 515,000 ปอนด์)
ทีมปีศาจแดงคือสโมสรที่มีนักเตะค่าเหนื่อยสูงกว่า 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์มากที่สุดของพรีเมียร์ลีก (ไม่ต่ำกว่า 11 คน) นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงกำลังประสบปัญหาใช้เงินมากเกินไปในตลาดซื้อขายไม่ได้ เพราะสโมสรปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรังมานานติดต่อกันหลายซีซั่นเกินไป แม้จะมีรายรับเข้าสโมสรมหาศาลทุกปีก็ตาม
ส่วนเชลซีภายใต้การบริหารของ ท็อดด์ โบห์ลี่ คือสโมสรที่จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะทีมชุดใหญ่มากกว่าใครๆ (ซีซั่นก่อนจ่ายค่าเหนื่อยรวมกัน 220,844,000 ปอนด์) เพราะซื้อผู้เล่นมาสะสมไว้เต็มไปหมดจนล้นสนามซ้อม แต่คาดว่าในฤดูกาล 2023-24 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ตัวเลขในบัญชีของทีมสิงห์บลูส์จะเขียวขจีมากขึ้นเยอะ หลังจากผ่องถ่ายผู้เล่นที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ไม่ใช้ออกไปได้มากแล้ว
อีกปัจจัยที่ทำให้อาร์เซน่อลสามารถใช้เงินอย่างมหาศาลได้ในช่วงหลัง เชื่อว่าหลายคนคงรู้กันอยู่แล้ว นั่นก็คือการลงบัญชีรายจ่ายซื้อนักเตะ สามารถ “แบ่งผ่อน” ได้เป็นระยะเวลาสูงสุดถึง 5 ปี
ตัวอย่างเช่น กาเบรียล เชซุส ย้ายจาก แมนฯ ซิตี้ มาด้วยค่าตัว 45 ล้านปอนด์เมื่อปีที่แล้ว และเซ็นสัญญากัน 5 ปี จะถือว่าทีมปืนใหญ่ลงรายจ่ายค่าตัวของเชซุสแค่ปีละ 9 ล้านปอนด์เท่านั้น ส่วน ดีแคลน ไรซ์ ที่ค่าตัวเบื้องต้น 100 ล้านปอนด์ แม้จะต้องชำระเงินทั้งหมดให้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ภายใน 2 ปี แต่เวลาลงบัญชีรายจ่ายของสโมสรจะยังถือว่าเฉลี่ยค่าตัวเป็นช่วงเวลา 5 ปี ตกปีละ 20 ล้านปอนด์เท่านั้น
ซึ่งหลังจากที่มีการเสริมทัพเป้าหมายหลักเข้ามาให้ มิเกล อาร์เตต้า ครบแล้วทั้ง 3 คน ช่วงต่อจากนี้เราน่าจะได้เห็นพลพรรค เดอะ กันเนอร์ส ถอนทุนคืนด้วยการขายนักเตะออกไปบ้าง หลังจากขาย กรานิต ชาก้า ให้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัว 21.4 ล้านปอนด์ไปแล้ว
ชื่อของ โธมัส พาร์เตย์ ที่ตกเป็นข่าวกับสโมสรในซาอุดีอาระเบีย, คีแรน เทียร์นี่ย์ ที่ได้รับความสนใจจากนิวคาสเซิ่ล และ โฟลาริน บาโลกัน กองหน้าทีมชาติสหรัฐอเมริกาที่แจ้งเกิดจากผลงานยิงไป 21 ประตูให้แร็งส์ใน ลีก เอิง เมื่อฤดูกาลที่แล้วด้วยสัญญายืมตัว พวกนี้น่าจะขายระดมทุนกลับคืนมาได้เหยียบๆ 100 ล้านปอนด์ หรือมากกว่านั้นได้ก่อนปิดตลาด
ตอนนี้อาร์เซน่อลกำลังบริหารสโมสรแบบไปได้ถูกทางมากๆ พวกเขามีขุมกำลังที่อายุเฉลี่ยน้อยมากและพร้อมลุ้นแชมป์ในระยะยาว โดยที่ค่าเหนื่อยนักเตะไม่ได้โอเวอร์เกินไป ส่วนการลงทุนเสริมทัพ ก็ล้วนเป็นการซื้อผู้เล่นที่เฮดโค้ชอย่าง มิเกล อาร์เตต้า ต้องการจริงๆ ทั้งหมด
ผลงานในสนามกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้เหลือรอจับตาดูแค่ว่าความสำเร็จที่เบ่งบาน จะออกมาในรูปแบบโทรฟี่ที่แฟนบอลรอคอยได้เสียทีตอนไหนเท่านั้น
#เสียบสามเหลี่ยม #อาร์เซน่อล #ปืนใหญ่ #ดีแคลนไรซ์ #ไคฮาแวร์ตซ์ #ฮาแวร์ตซ์ #ทิมเบอร์ #ยูร์เรียนทิมเบอร์ #กฎFFP #ไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา