19 ก.ค. 2023 เวลา 01:31 • ท่องเที่ยว

Boro Budur Temple อัศจรรย์แห่งพุทธศิลป์บนเขาสูง

Borobudur Temple .. อัศจรรย์แห่งพุทธศิลป์บนเขาสูง (1)
“โบโรบูดูร์” หรือที่คนไทยเรียกว่า “บุโรพุทโธ” ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ชวากลาง อยู่ห่างจาก ยอกยาการ์ตา ไปทางทิศเหนือราว 43 กม. .. เป็นพุทธศาสนสถานนิกายมหายานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง และใหญ่ที่สุดในโลก
.. เป็นภูเขาที่มนุษย์สร้างขึ้น บนเนินดินธรรมชาติสูงกว่าระดับพื้นดินราว 15 เมตร บนที่ราบเกดู ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของยอกยากาตาร์ มองดูรูปทรงภายนอกคล้ายภูเขาย่อมๆลูกหนึ่งที่สูงตระหง่านอยู่ระหว่างภูเขาไฟ นาข้าว หมู่บ้าน และป่าเขตร้อน
Photo : Dr. Wirat Sakornwimon
ว่ากันว่า .. “โบโรบูดูร์” มีลักษณะเหมือนดอกบัวขนาดมหึมาลอยอยู่ในบึงใหญ่ ดังปรัชญาในพุทธศาสนาที่ว่า ดอกบัวนั้นเปรียบเสมือนพระนิพพาน ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งห้วงทุกข์ กิเลส และวัฏสงสาร ..
.. โบราณสถานแห่งนี้สร้างอยู่ในที่ลุ่มที่น้ำท่วมถึง ยามฤดูน้ำหลากก็จะมีน้ำเอ่อนองอยู่รอบๆโบโรบูดูร์ เหมือนกับดอกบัวลอยอยู่ในน้ำจริงๆ
“โบโรบูดูร์” .. เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธ เป็นเป้าหมายของเหล่านักแสวงบุญชาวพุทธจากทั่วโลกที่ต้องเดินทางไปสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต
.. สร้างโดยกษัตริย์ (ไม่ปรากฏพระนามว่าเป็นพระองค์ใด) ใน “ราชวงศ์ไศเลนทร์” (Sailendra Dynasty) ที่นับถือศาสนาพุทธ .. โดยในช่วง คศ. 732 ราชวงศ์นี้ได้เข้ามาปกครองเกาะชวาตอนกลาง แทนที่ “ราชวงศ์สัญชัย” ที่นับถือศาสนาฮินดู
“ราชวงศ์ไศเลนทร์” .. นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ได้ก่อสร้างโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ขึ้นมากมาย ทว่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ “โบโรบูดูร์”
“โบโรบูดูร์” .. ใช้เวลาสร้าง 70 ปี คือตั้งแต่ ศต. 760-830 แต่พอสร้างได้ไม่นาน โบโรบูดูร์ และเมืองทั้งเมืองก็ถูกทิ้งร้าง ลืมเลือนไปเฉยๆอย่างน่าแปลกใจ ไม่มีจารึกใดที่กล่าวถึงมหาสถูปแห่งนี้อีกเลย
ปราชญ์และผู้รู้ทั้งหลาย เลยได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานๆ ว่า .. โบโรบูดูร์ ถูกทอดทิ้งเพราะโรคระบาด
.. หรือบางคนบอกว่า พอสร้างได้ไม่นาน ภูเขาไฟเมอราปี ก็ประทุพ่นเถ้าถ่านมาฝังเมืองทั้งเมือง ฯลฯ
บันทึกแรกๆที่กล่าวถึง “โบโรบูดูร์” .. คือบันทึกในปี คศ. 1709 ที่กล่าวว่า มีพระกบฏรูปหนึ่งชื่อ “กี มาส ดานะ” และพวกได้ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจในอาณาจักรชวากลาง แล้วถูกกองทัพของเจ้าชาย “ปริงกา ลายา” ขับไล่จนถอยร่นมาถูกล้อมอยู่ที่เขาบาราบูดูร์ (Bara Budur) ในที่สุดพวกกบฏถูกฆ่าตายเกือบทั้งหมด ส่วนหัวหน้ากบฏถูกจับตัวส่งเมืองหลวง เพื่อสำเร็จโทษ
บันทึกถัดมากล่าวถึงเจ้าชายว่า ประพฤติตัวนอกรีตและเป็นกบฏต่อราชสำนักในปี 1758 .. พระองค์ทรงท้าทายพระราชอำนาจกษัตริย์ด้วยการขอไปเยือน “นักรบในกรงขัง” ที่ “หุบเขาแห่งเทวรูปพันองค์” แต่เมื่อพระองค์ไปแล้ว ก็ไม่ยอมกลับมาอีก อันเป็นการแสดงความกระด้างกระเดื่อง กษัตริย์จึงส่งกองทัพไปจับตัวเจ้าชายกลับมา แต่เมื่อพระองค์ทรงต่อต้าน จึงถูกประหาร ณ ที่นั้นเอง
“นักรบในกรงขัง” ที่ถูกระบุในบันทึก คือ พระพุทธรูปที่ประดิษฐานในสถูปองค์ย่อมๆที่ตั้งเรียงรายในรอบสามชั้นสุดท้ายของ โบโรบูดูร์ นั่นเอง
ในปี คศ. 1814 “เซอร์โทมัส สแคมฟอร์ด รัฟเฟิล” ขณะดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่แห่งชวา ได้ฟังจากชาวบ้านว่า มีเขาพระพุทธรูปสลักขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางป่า บนที่ราบเกดู ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองยอกยากาตาร์
.. เซอร์โทมัส สแคมฟอร์ด รัฟเฟิล เป็นคนที่สนใจประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุชวามาก จึงให้ “คอร์เนลิส เดอ เฮาส์มัน” วิศวกรชาวดัตช์ ให้ขนคนงานราว 200 คน เข้าไปแผ้วถางอยู่เดือนครึ่ง และได้พบมหาสถูปจริง ..
… แต่หลังจากนั้นไม่นาน แรฟเฟิล ถูกส่งตัวกลับอังกฤษในปี 1816 ภารกิจของเขาที่มีต่อ โบโรบูดูร์ จึงจบเพียงแค่นั้น และภาพสเก็ตจำนวนมากที่ เฮาส์มัน เขียนขึ้นเพื่อรายงาน ก็ยังไม่ถูกตีพิมพ์จนกระทั่งทุกวันนี้
กล่าวกันว่า ในสมัยโบราณเมื่อ โบโรบูดูร์ สร้างเสร็จ ฐานชั้นล่างสุดถูกกลบฝังไว้ใต้ดินทันที ไม่เคยมีใครได้เห็นตัวฐาน ด้วยอาจจะเป็นเพราะถือว่า เป็นชั้นกามภพ ซึ่งเป็นชั้นต่ำต้อยที่สุด เลยให้อยู่ใต้ดิน
.. จนกระทั่งปี 1885 มีการพบโดยบังเอิญว่ามีภาพสลักที่งดงามฝังอยู่ใต้ดิน จึงขุดขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปมากกว่า 160 ฉาก แต่ละฉากกว้าง 67 เมตร ยาวประมาณ 2 เมตร เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็กลบฝังดินไว้ดังเดิม
ภาพแกะสลักประดับฐานทั้งหมด .. เป็นเรื่องราวที่อิงมาจากมหาวรรณกรรม วิภังค์ ที่ว่าด้วยการประกอบกรรมดีและกรรมชั่วของมนุษย์ ซึ่งจะได้รับอานิสงส์แห่งบุญนั้น หรือจะต้องไปชดใช้กรรมชั่วในภพหน้า โดยแสดงให้เห็นถึงภาพสวรรค์และนรกทั้ง 8 ขุม
ปีคศ. 1907 รัฐบาลดัตช์กลับมาปกครองชวาอีกครั้ง ได้เวลา 4 ปีบูรณะ โบโรบูดูร์ เป็นครั้งแรก .. ตอนนั้นจึง พบว่ามหาสถูปแห่งนี้ก่อขึ้นจากก้อนหินสี่เหลี่ยมวางซ้อนกันจำนวนไม่น้อยกว่า สองล้านก้อน ปริมาตรของ หิน 55000 ลูกบาตรเมตร รวมน้ำหนักกว่า 3.5 ล้านตัน
.. มีความกว้างและยาวด้านละประมาณ 120 เมตร ความสูงเดิม 42 เมตร แต่เนื่องจากถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง ปัจจุบันจึงเหลือเพียง 35.29 เมตร พื้นที่ของโบราณสถานกว้างขวางถึงราว 14165 ตารางเมตร
ทีมบูรณะพบว่า .. ฐานของ โบโรบูดูร์ ถูกน้ำฝนซึ่งซึมผ่านรอยแตกของหิน ลงไปกัดเซาะจนทำให้สถูปทรุดตัว
ในปี 1940 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองอินโดนีเซีย .. จึงมีชาวญี่ปุ่นที่ใคร่รู้ไปขุดฐานตรงมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นมาดู ภายหลังเมื่อองค์การ UNESCO บูรณะเสร็จ มุมนี้ที่เปิดอยู่ ทำให้ทุกคนได้เห็นด้วยจนทุกวันนี้
โบโรบูดูร์ ไม่ได้รับการเหลียวแลอีกเลยหลังจากนั้น เนื่องจากความวุ่นวายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 .. จนกระทั่งในปี 1967 องค์การ UNESCO เข้ามา และเริ่มการบูรณะในปี 1973 และใช้เวลานานนับสิบปี จึงสามารถฟื้นความยิ่งใหญ่คืนให้แก่มหาสถูปโบโรบูดูร์ อย่างสมบูรณ์ในปี 1983
.. ในปี คศ. 1991 องค์การ UNESCO ได้ประกาศให้โบราณศถานแห่งนี้ เป็นมรดกโลก
การเยือนครั้งนี้เราพักที่ Manohara Hotel ซึ่งเป็นที่พักในสไตล์ Javanese เพียงแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตของวัด สามารถเข้าถึงโบโรบูดูร์ได้ผ่านทางถนนและการเดิน .. มีทิวทัศน์ที่งดงามของมหาสถูปอยู่ข้างหน้า จึงได้เฝ้าดูมหาสถูปในบรรยากาศที่เปี่ยมเสน่ห์ในเวลาต่างๆได้อย่างง่ายๆตลอดทั้งวัน
Manohara .. มโนฮารา เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงรูปงามที่มีรูปร่างครึ่งคนครึ่งนก เธอเป็นหนึ่งในมนุษย์นกในตำนานที่เรื่องราวถูกเก็บรักษาไว้ชั่วนิรันดร์บนภาพนูนต่ำนูนต่ำของวัดบุโรพุทโธ หนึ่งในภาพนูนต่ำนูนต่ำนูนสูงนั้นเป็นภาพหญิงสาวสวยที่มีร่างเป็นมนุษย์เต็มตัวเมื่อแต่งงานกับเจ้าชายสุดานะที่เป็นมนุษย์
โบโรบูดูร์ .. เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกิดก่อนปราสาทนครวัดราว 300 ปี มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นพีรามิดขั้นบันไดสี่เหลี่ยมด้านเท่า ยาวด้านละ 118 เมตร สูง 42 เมตร (ปัจจุบันจึงเหลือเพียง 35.29 เมตร เนื่องจากถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง) มีบันไดขึ้นได้จากฐานทั้ง 4 ด้าน
Photo : Internet
รูปลักษณะเป็นบรรพตมีทั้งหมด 10 ชั้น
.. ชั้น 1-6 จากฐานขึ้นไป มีแปลนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฐานย่อมุมหกเหลี่ยม
.. ถัดขึ้นไปอีก 3 ชั้น แปลนเป็นรูปวงกลม
.. ที่ยอดชั้นที่ 10 ประดิษฐานสถูปองค์ใหญ่
มีความเชื่อกันว่า ผังของ “โบโรบูดูร์” เป็นสัญลักษณ์แทนผังจักรวาล ในความเชื่อของพุทธนิกายตันตระ ซึ่งตีความหมายของจักรวาลเป็นภพทั้งสาม ซึ่งประกอบด้วย ..
.. กามภพ (ฐานชั้นแรก) หรือชั้นที่มนุษย์ยังผูกพันใกล้ชิดอยู่กับความสุขทางโลก และถูกครอบงำด้วยกิเลส ตัณหา สร้างเป็นขั้นบันไดใหญ่ 4 ชั้น มีภาพสลักนูนต่ำบนกำแพงรอบฐานนี้รวม 160 ภาพ
.. รูปภพ (ชั้นที่ 2-9) หรือชั้นที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลสทางโลกได้บางส่วน สร้างเป็นขั้นบันไดกลม ฐานมี 6 ชั้น และมีภาพสลักนูนต่ำกว่า 1300 ภาพ แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ
รอบระเบียงฐานสี่เหลี่ยม ตั้งแต่ชั้นที่สองขึ้นไปมีภาพสลักนูนต่ำ เล่าเรื่องราวในชาดก โดยเฉพาะระเบียงชั้นที่สอง มีภาพสลักพุทธประวัติ เริ่มตั้งแต่ตอนเสวยชาติเป็น สันดุสิตเทพบุตร จนไปจบลงตอนปฐมเทศนา ..
การเดินดูภาพพุทธประวัติให้รู้ต่อเนื่องเป็นลำดับ ต้องเดินเวียนขวา หรือตามเข็มนาฬิกา
ภาพพุทธประวัติจะอยู่ในแผงด้านบน ส่วนด้านล่างจะเป็นแผงภาพเล่าเรื่อง พระสุธณ และนางมโนราห์
..อรูปภาพ (สถูปองค์ใหญ่บนยอด) เป็นชั้นที่มนุษย์ไม่มีความผูกพันกับความสุขทางโลกอีกต่อไป สร้างเป็นฐานกลม มีเจดีย์เล็กๆจำนวน 7 องค์ วนเป็น 3 ชั้น
เจดีย์เล็กนี้ ล้อมรอบพระสถูปประธาน สูง 150 ฟุต ซึ่งพระสถูปประธานมีความหมายถึง “ศูนย์กลางจักรวาล”
.. ภายในเป็นห้องหลังคาทรงพีรามิด ซึ่งเคยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งต่อมาในปี คศ.1849 ได้ถูกย้ายไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แทน และรู้จักกันในชื่อว่า The Unfinished Buddha
สามชั้นบน .. มีแปลนรูปวงกลม เป็นลานโล่ง ไม่มีระเบียง แต่มีสถูปองค์ย่อมๆทรงระฆังคว่ำโปร่งตั้งอยู่รายรอบ ภายในสถูปประดิษฐานพระพุทธรูป ปัจจุบันมีเพียงเจดีย์บางองค์ที่ยังพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้านใน หรือถ้ามีอยู่ก็เสียหาย หาที่สมบูรณ์ได้ยาก
.. ทางด้านทิศตะวันออก มีเจดีย์อยู่องค์หนึ่งซึ่งส่วนฐานครอบหายไป เผยให้เห็นองค์พระที่ค่อนข่างสมบูรณ์ พระพักตร์สงบนิ่ง นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร
.. นับเป็นพระพุทธรูปที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของ โบโรบูดูร์
.. สถูปของ 2 ชั้นแรก .. บริเวณที่เป็นส่วนระฆังคว่ำโปร่ง ฉลุรูเป็นตารางหมากรุกแบบสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ซึ่ง อาจจะหมายถึง ผู้ที่จิตใจยังไม่มั่นคง
.. ส่วนสถูปชั้นบน .. เจาะรูเป็นตารางหมากรุกเช่นกัน แต่เป็นสี่เหลี่ยมแนวนอน ซึ่งอาจจะหมายถึงผู้ที่มีจิตใจไม่โอนเอียง
ยอดบนสุดเป็นมหาสถูป ที่มีปลายแหลมเสียดขึ้น .. แทนการละทิ้งกิเลสทั้งปวง และการตรัสรู้ธรรมขั้นสูงสุดเป็น อนัตตา (ไร้รูป) เป็นการคลี่คลายมาจากสามชั้นสุดท้ายของรูปภพ
เสน่ห์ของ โบโรบูดูร์ แตกต่างกันสำหรับแต่ละคน .. บางคนหลงใหลในความเก่าแก่ ขรึมขลังของพุทธสถานแห่งนี้
.. รูปปั้นพระพุทธรูป 504 องค์ รอบๆทางเดินหลายชั้น ซึ่งดูเหมือนพระพุทธรูปเหล่านั้นจะเฝ้ามองและแผ่ความเมตตากรุณาแด่ผู้คนและอาณาจักรเบื้องลางอยู่ทุกเวลา
.. เจดีย์ทรงระฆังกลวงขนาดเล็กกว่า 73 องค์ แต่ละองค์มีพระพุทธรูปอยู่ภายใน
.. ในขณะที่อีกหลายคนมาชื่นชมกับลวดลายสลักหินภาพนูนต่ำ 2,672 ภาพ ซึ่งเป็นคอลเล็กชั่นภาพนูนต่ำของศาสนาพุทธที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในโลก
.. แสดงถึงอัจฉริยภาพของช่างฝีมือชั้นครูที่ทำให้หินแข็ง เป็นภาพที่อ่อนช้อยราวกับมีชีวิต
.. พระพักตร์ของพระพุทธองค์ที่ดูอิ่มเอิบ เปี่ยมเมตตา .. แสดงให้เห็นถึงยุคอันรุ่งเรืองของพุทธศาสนา และความสงบสุขเมื่อหลายพันปีก่อน
ทุกมุมของ บุโรพุทโธ เปี่ยมเสน่ห์ ..
Photo : Internet
ว่ากันว่า .. สำหรับภาพถ่ายที่ดีที่สุดของบุโรพุทโธ ไม่มีช่วงเวลาใดที่ดีไปกว่าพระอาทิตย์ขึ้น ด้วยแสงที่นุ่มนวลและไม่มีผู้คนมากมาย กล้องของคุณจะหลงรักมันเทาๆกับคุณ
.. น่าเสียดายที่การเข้าถึงวัดในปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นวัดได้เพียง 1,200 คนเท่านั้น
.. นอกจากนี้ วัดยังเปิดเวลา 09:00 น. ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่บุโรพุทโธอีกต่อไป
โฆษณา