21 ก.ค. 2023 เวลา 13:02 • ไลฟ์สไตล์

ชีวิตการเงินแบบเม่น(ของผม)

ในบรรดาสัตว์ที่ผมชอบ “เม่น” คงจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ผมนึกออกผมมีความชอบลักษณะมันเป็นการส่วนตัวหรือจะใช้คำว่าถูกชะตาก็ได้ ผมชอบที่มันดูไม่ได้ดุร้ายแต่ในขณะเดียวกันหากใครจะมาทำร้ายก็ต้องคิดให้ดีเพราะในความน่ารัก กินพืช เป็นสัตว์ฟันแทะทั่วไป กลับซ่อนหนามเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งไว้ที่แผ่นหลัง ช่วงเวลาที่ไม่มีภัยก็แล้วไป แต่หากมีใครจะมาสร้างภัยอันตรายก็อาจจะต้องเจ็บปวดจากหนามที่ทิ่มแทง นี่คือจุดเด่นของเม่นที่ทำให้ผมชอบเป็นพิเศษ
มองย้อนมาในชีวิตผม ผมรู้สึกว่าลักษณะนิสัยการดำเนินชีวิตของผมมีความคล้ายเม่นอยู่เหมือนกัน
พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วในความคิดที่ผมมองตนเองคือผมเป็นคนที่เกียจคร้าน ชอบอะไรง่าย ๆ ไม่อยากเสียเวลากับอะไรที่ผมไม่ได้ชอบ ไม่ชอบให้ใครมาบีบคั้นและสร้างความอึดอัด เช่น หากไปเดินซื้อของที่ห้องห้างสรรพสินค้าแล้วมีพนักงานเดินมาคอยถามและเดินตามผมไปที่จุดต่าง ๆ ผมมักจะบอกปฏิเสธไปเพราะส่วนตัวผมชอบเดินเลือกของไปด้วยตนเองก่อน
หากมีปัญหาสงสัยผมจะสอบถามเอง หรือ อย่างการเรียนผมมักจะสมาธิสั้นจดจ่อกับการสอนได้ไม่นานก็จะหลับบ้าง เหม่อลอยบ้าง โดยผมสังเกตตัวเองว่าสมาธิผมจะอยู่ได้เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น เกินจากนี้คือเรียนรู้อะไรยากแล้ว
แต่ยังอีกฟากฝั่งหนึ่งของตัวผมที่ลักษณะนิสัย พฤติกรรมต่างกันกับฝั่งแรกอย่างสิ้นเชิงคือ ความจริงจังกับเรื่องที่ผมมองว่าสำคัญและการโต้กลับเพื่อป้องกันตนเองในเรื่องต่าง ๆ ในตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าตัวของผมเองมี”โหมดจริงจัง”กับเขาด้วยเหมือนกันผมพึ่งมาสังเกตเห็นตนเองในช่วงที่ชีวิตตกอับถึงขีดสุดเรียกได้ว่าหลังพิงฝาความเป็น”เม่น”ในตัวผมจึงโผล่ออกมา
เริ่มแรกผมเป็นคนที่เฉื่อยกับการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากไม่ว่าจะเรื่องเรียน ทักษะชีวิต กีฬาหรืออะไรต่าง ๆ ผมรู้จักมันแต่ความสามารถนั้นเข้าขั้นห่วย ผมโดนล้อบ้าง ด่าบ้าง ว่าไม่เอาไหน ผมก็ไม่ได้ไปซีเรียสอะไรกับมันมากจนกระทั่งวันหนึ่งก็มีจุดเปลี่ยนที่ปลุกนิสัยผมอีกด้านขึ้น
มันเป็นเย็นวันหนึ่งที่ผมเลิกโรงเรียนแล้วมารอพ่อรับกลับบ้านทั้งที่ความจริงผมมีเงินติดตัวอยู่ 30 บาท ผมเลือกที่จะกลับรถประจำทางเลยก็ได้แต่พ่อของผมก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะให้กลับด้วยให้ได้ ผมก็เลยไม่ได้เอะใจอะไร
จนกระทั่งผมเห็นพ่อมาถึง ขับมอเตอร์ไซค์มารับทั้งที่ปกติระยะทางจากที่ทำงานกับบ้านห่างกันถึง 20 กิโลเมตร การเดินทางจึงใช้รถยนต์ตลอดมาวันนี้ขับมอเตอร์ไซค์มาผมคิดว่าคงมีปัญหาอะไรสักอย่าง ผมขึ้นรถแต่โดยดีโดยตลอดทั้งทางนั้นเราไม่ได้พูดคุยกันเลยอาจเพราะเสียงลมที่ดังเวลารถวิ่งหรือเพราะบรรยากาศตอนนี้มันส่งผลให้เงียบก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
วันนั้นผมเองได้รับรู้ว่าที่บ้านมีปัญหาการเงินแม้วันนั้นจะยังรู้ไม่หมดแต่ผมก็พอจะรู้ได้ว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน รถยนต์ต้องจำนำ พ่อผมโดนบีบออกจากงาน เงินที่มีหร่อยหรอลงทุกวัน หลายครั้งผมเห็นพ่อเปิดลิ้นชักที่มีในบ้านเพื่อหาเศษเหรียญมาใช้ ในใจผมตอนนั้นได้แต่อึดอัด เสียใจที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แม้แต่การเรียนให้ได้เกรดดี ๆ ยังทำไม่ได้เลย
ผมต้องเจอคำถามและคำดูถูกต่าง ๆ นานา จากเจ้าหนี้ที่ผมเจอเกือบทุกวัน
มึงไม่มีเงินได้ไง !
บ้านมึงคนหายไปไหนหมด !
มึงอย่าโกหก !
ถ้าหาเงินมาใช้ไม่ได้กูจะฆ่า !
แก๊งหมวกกันน็อกมาเกาะถึงรั้วบ้านผมก็เคยเจอมาแล้ว !
ผมด้วยความที่วัยรุ่นแต่ก็ต้องเอาตัวรอดผมใช้คาถาเอาตัวรอดที่บางคนอาจจะคุ้นคำนี้อยู่บ้างแต่ขอบอกว่าผมใช้ก่อนไม่ได้เลียนแบบแต่อย่างไร
“กูไม่รู้ กูไม่รู้ ก็กูไม่รู้ อะ “
ทุกครั้งที่ผมโดนไล่บี้ผมก็โต้ตอบกลับไปแบบนี้เสมอหากโดนกระทืบตายไปวันนั้นคงไม่แปลก ถ้าจะทำอะไรผมก็พร้อมจะสู้สุดตัวเช่นกัน
เวลาผ่านไปคนจะมาทวงมากเท่าไหร่ก็เจอผม กูไม่รู้ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อยจนพวกเขาชักหมดอารมณ์ไปหันพึ่งทางกฎหมายแทน
ในทุกคำดูถูก คำด่า คำเหยียดหยาม ผมเก็บไว้หมด แต่ผมก็โต้กลับไปทุกรอบเช่นกัน ตอนนี้ผมเปรียบเหมือนกับเม่น จริงอยู่ที่ผมอาจจะดูไม่มีพิษมีภัยแต่ถ้าล้ำเส้นเมื่อไหร่มีได้เจ็บปวดกันบ้าง
ในความโชคร้ายยังพอมีโอกาสไหลผ่านเข้ามาบ้างหลังจากเกิดวิกฤติไม่นานผมเรียนจบระดับมัธยมศึกษา ในตอนนั้นสภาพการเงินทางบ้านผมติดขัดถึงขีดสุดแทบไม่มีรายรับจากทางใดเลย ต้องขอบคุณญาติของผมที่ยื่นมือเข้ามาช่วยให้ผมเข้าไปอยู่ในกรุงเทพมหานครโดยเขาไม่คิดค่าใช้จ่ายผมสักบาทเดียว ”บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืมครับ”
พอได้มาอยู่ในเมืองใหญ่ผมก็หางานทำเพื่อหวังว่าจะได้รายได้เข้ามาอย่างน้อย ๆ ช่วยใช้หนี้ที่บ้านไม่ได้แค่ลดภาระค่าใช้จ่ายของผมไม่ให้พ่อต้องมาพะวงเรื่องผม ผมได้งานเป็นแคชเชียร์อยู่ที่ผับแห่งหนึ่งแถวรัชดาเริ่มงานสี่ทุ่มเลิกงานตีห้า 22.00-05.00 สำหรับเด็กบ้านนอกคนหนึ่งการทำงานแบบนี้ก็ถือว่าต้องปรับตัวเยอะพอสมควรทีเดียว
หน้าที่ของผมคือคิดเงิน เช็คของในร้าน ช่วยเหลืองานอื่น ๆ บ้างแล้วแต่เขาจะสั่ง ผมจำได้ว่านั่งขาไปนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน 20 บาท ขากลับก็รถเมล์บ้าง แท็กซี่บ้าง ตามช่วงเวลา จนเวลาล่วงเลยไปเงินเดือนของผมออก นั่นคือเงินเดือนครั้งแรกในชีวิตผม ผมรับแบงก์พันสีเทามาหกใบ 6,000 บาท สำหรับทำงานหนึ่งเดือนแม้มันจะน้อยแต่ก็พอต่อชีวิตผมให้เดินต่อไปและที่สำคัญที่สุดผมได้ช่วยครอบครัวเสียที
เห็นไหมครับว่าผมที่เกียจคร้าน ใช้ชีวิตง่าย ๆ แต่พอถึงเวลาที่ต้องเอาจริงก็เหมือนแผ่นหลังของผมมีแผ่นหนามขึ้นมาป้องกันพร้อมที่จะยืนหยัดและสื่อว่ากูต้องรอด กูต้องรอด
เวลาผ่านไปปัจจุบันชีวิตผมไม่ได้ลำบากเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่ผมก็ยังยึดหลัก “เม่น” ในการใช้ชีวิตและเรื่องการเงินอยู่ ในเรื่องของการเงินผมจะปรับใช้โดยคิดเสียว่าชีวิตผมที่ชอบสบาย ๆ ไม่จริงจังกับชีวิต ชอบอะไรง่าย ๆ เปรียบได้เหมือนการใช้เงินของผมที่บางทีอาจจะมีซื้อของที่อยากได้บ้าง ฟุ่มเฟือยบ้าง ออกไปเที่ยวพักผ่อนสักหน่อย
ฟังดูเหมือนผมเป็นคนที่ไม่มีวินัยทางการเงินเอาเสียเลย อีกไม่นานจะมีปัญหาทางด้านการเงินอย่างแน่นอน แต่ความจริงแล้วในการใช้เงินที่ดูฟุ่มเฟือยและตามใจอยากของผมจะมีขอบเขตอยู่นั่นคือ ”ความรู้ทางด้านการเงิน” โดนความรู้ทางด้านการเงินเมื่อนำมาใช้ก็เหมือนกับผมมีแผ่นหลังที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยหนาม คอยป้องกันปัญหาเรื่องการเงินทั้งที่จะมาจากตัวผมเองหรือจากปัจจัยภายนอกและทุกปัญหาที่เข้ามาจะต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างสาสม !
แล้วคุณละครับมีนิสัยทางการเงินแบบใด ?
ติดตามบทความความรู้ทางการเงินผ่าน Youtube FacebookและBlockdit Crazy Money การเงินบ้าๆมันส์ๆ
โฆษณา