Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Reporter Journey
•
ติดตาม
30 ก.ค. 2023 เวลา 14:37 • ข่าวรอบโลก
เวียดนามนิยมไปขายแรงงานในต่างประเทศ
อันดับ 3 ของเอเชีย ส่งเงินกลับมาราว 6.4 แสนล้าน
และเป็นชาติที่ลับลอบค้ามนุษย์ติดอันดับต้นๆ ของโลก
1
ในภูมิภาคอาเซียนเรารู้ดีกันว่า ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ผู้คนนิยมออกไปค้าแรงงานในต่างแดนมากที่สุด ซึ่งก็คงจะเห็นได้ว่ามีคนฟิลิปปินส์กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก สิ่งที่ได้เปรียบของคนประเทศนี้คือ การที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการในการสื่อสาร ทำให้คนปินอยสามารถใช้ภาษาหลักของโลกนี้ได้อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมเกือบทุกคน เปิดโอกาสที่จะได้งานมากกว่าชาติอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ
1
แต่ปัญหาการหลั่งไหลออกไปทำงานในต่างประเทศของคนปินอยคือ คุณภาพชีวิตและรายได้ของแรงงานในประเทศที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน โดยเฉพาะในกรุงมะนิลาที่มีประชากรหนาแน่น และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่ผู้คนมีรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนที่ต่ำว่ากรุงเทพ 1 เท่าตัว ขณะที่ค่าครองชีพเท่ากับหรือสูงกว่า ทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
เป็นเหตุให้ผู้คนนับล้านต้องพาตัวเองออกจากประเทศทุกๆ ปี เพื่อไปหาโอกาสที่ดีกว่าในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพทรัพยากรคนภายใน แม้จะส่งเงินกลับเข้ามาปีละหลายหมื่นล้านดอลลาร์ แต่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ไร้คนเก่งทำงาน ทำให้ฟิลิปปินส์ยังติดหล่มการพัฒนาที่ไม่สามารถยกระดับประเทศให้ฟื้นขึ้นจากกานเป็น "ผู้ป่วยแห่งเอเชีย" ได้อย่างเต็มที่
ซึ่งเวียดนามในตอนนี้กำลังเดินตามรอยของฟิลิปปินส์เช่นกัน และอาจจะเป็นสิ่งที่น่ากังวลว่า ประเทศดาวรุ่งที่เศรษฐกิจเคยโดดเด่นของเอเชีย อาจจะเผชิญกับปัญหาสมองไหล คนเก่งๆ หนีไปทำงานต่างประเทศที่ได้รายได้สูงกว่า หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าจนหมด
ล่าสุดเวียดนามมีรายได้จากการส่งออกแรงงานราว 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 644,556 ล้านบาท ในปี 2022 เพิ่มขึ้น 5.5% จากปีก่อน โดยอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลกสำหรับประเทศที่แรงงานส่งเงินกลับประเทศตามรายงานของ Global Knowledge Partnership on Migration and Development (KNOMAD) คิดเป็น 4.5% ของ GDP เวียดนาม
ส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เวียดนามครองอันดับ 3 รองจากจีนและฟิลิปปินส์ ซึ่งมีมูลค่า แล้ว 51,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.73 ล้านล้านบาท และ 38,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.28 ล้านล้านบาทตามลําดับ
ด้วยเกือบ 40-60% ของผู้อพยพที่ทํางานในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์และเวียดนามได้รับประโยชน์จากการขึ้นค่าจ้าง และการขาดแคลนแรงงานในประเทศเหล่านี้ แม้ว่าเงินอุดหนุนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการระบาดใหญ่จะยุติลง และอัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้ส่งผลต่อความสามารถในการส่งเงินของพวกเขา
1
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กําหนดการส่งเงินกลับประเทศเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่แรงงานข้ามชาตินํามาจากรายได้ในประเทศต้นทาง และส่งกลับบ้านในรูปของเงินสด หรือสินค้าเพื่อจุนเจือครอบครัว ซึ่งสําหรับหลายประเทศ การโอนเงินกลับบ้านเกิดเป็นแหล่งรายได้จากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด เช่น ฟิลิปปินส์
ตามรายงานของสํานักงาน HCM City-based ของ State Bank of Vietnam การโอนเงินเพิ่มขึ้น 10-20% หลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก อัตราการเติบโตต่อปีในปีก่อนหน้าอยู่ที่ 10-15% โดยเฉลี่ย
นับตั้งแต่ปี 1980 รัฐบาลคอมมิวนิสต์หลังสงครามได้ใช้นโยบายในการส่งเสริมและส่งชาวเวียดนามไปยังประเทศที่เป็นมิตรในสหภาพโซเวียตในขณะนั้นในฐานะแรงงานข้ามชาติ
นั่นเป็นเพียง 5 ปีหลังจากสิ้นสุดสงคราม และความคิดริเริ่มนี้ช่วยบรรเทาการว่างงานในประเทศและนําการโอนเงินกลับไปยังญาติพี่น้องในเวียดนาม
เกือบสามทศวรรษต่อมา ในปี 2009 นายกรัฐมนตรี Nguyen Tan Dung ของเวียดนามได้ดําเนินนโยบาย "การส่งออกแรงงาน" ที่เรียกว่าโครงการ 71 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาความยากจนใน 62 อําเภอใน 20 จังหวัด
นโยบายดังกล่าวเสนอสิ่งจูงใจ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและการฝึกอบรม เพื่ออํานวยความสะดวกให้ชาวเวียดนามเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทํางานในประเทศต่างๆ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย มาเก๊า ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
แรงงานข้ามชาติชาวเวียดนามส่วนใหญ่มาจากภาคกลางตอนเหนือและตอนเหนือของประเทศ ตามการศึกษาขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) โดยกล่าวว่า ช่องว่างในการกํากับดูแลด้านกฎระเบียบของหน่วยงานจัดหางาน ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายด้านการบริหารและทางอาญาที่จํากัด ทําให้แนวทางปฏิบัติในการสรรหาบุคลากรที่ผิดจรรยาบรรณเติบโต ทําให้แรงงานข้ามชาติมีความเสี่ยงต่อการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์
จากงานวิจัยปี 2019 เกี่ยวกับผู้อพยพชาวเวียดนามที่ไม่มีเอกสารการทำงานในยุโรป การทําฟาร์มกัญชาในสหราชอาณาจักรได้กลายเป็นภาคการจ้างงานทั่วไปสําหรับแรงงานข้ามชาติ
ตั้งแต่ประมาณกลางทศวรรษ 1990 แก๊งอาชญากรเวียดนามได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปลูกกัญชาในภูมิภาคแวนคูเวอร์ของแคนาดา
เมื่อรัฐบาลสหราชอาณาจักรในปี 2004 ได้กําหนดให้กัญชาเป็นสารเสพติดเพื่อการรักษาโรค และเพื่อความบันเทิง โดยมีบทลงโทษที่รุนแรงน้อยกว่า แก๊งเวียดนามย้ายการดําเนินงานจากแคนาดาและกลายเป็นผู้ดำเนินการอันดับต้นๆ ในธุรกิจกัญชาของสหราชอาณาจักรอย่างรวดเร็ว โดยได้คิดหาวิธีเปลี่ยนบ้านหลังใหญ่ให้เป็นฟาร์มกัญชาลับในเขตเมือง
แก๊งอาชญากรรมที่นําโดยเวียดนามยังทําให้เวียดนามเป็นประเทศต้นทางอันดับต้น ๆ สําหรับการลักลอบนําเข้าและการค้ามนุษย์ในยุโรป ตามบทความจากปี 2020 ในวารสาร Forced Migration Review
1
เมื่อปี 2021 คนงานชาวเวียดนามประมาณ 500 คนที่เกี่ยวข้องกับคดีทารุณกรรมแรงงานข้ามชาติที่เป็นข่าวใหญ่ในเซอร์เบีย ซึ่งดึงดูดความสนใจของสื่อต่างประเทศ
ได้รับการว่าจ้างให้ทํางานในเซอร์เบียสร้างโรงงานยางรถยนต์ให้กับกลุ่มบริษัทจีน คนงานถูกยึดหนังสือเดินทางและถูกระงับค่าจ้างเป็นประจํา ในขณะที่ต้องทํางานหนักทุกวันในสภาพที่หนาวเย็นและอาศัยอยู่ในที่พักที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
คนงานบางคนที่ส่งไปยังเซอร์เบียถูกกล่าวหาว่า หลอกให้จ่ายเงินหลายพันดอลลาร์ให้กับนายหน้าแรงงานที่สัญญาว่าจะได้งานที่ดีในต่างประเทศด้วยสภาพการทํางานที่ดี
หลังจากชะตากรรมของพวกเขาได้รับการรายงานข่าวจากสื่อและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนได้ก่อเหตุกดดันให้ทางการเซอร์เบียดําเนินการ ซึ่งทุกคนได้หลับความช่วยเหลือ ได้หนังสือเดินทางคืนและถูกผลักดันส่งตัวกลับเวียดนาม
แต่ก็ยังต้องชําระหนี้ที่หยิบยืม หรือกู้ยืมมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับการเดินทางไปเซอร์เบีย ซึ่งก็เป็นสภาวะที่เลวร้ายไม่แพ้กัน
แม้หลายคนต้องการทำงานอย่างถูกกฎหมายในต่างแดน แต่โดนหลอกให้ทำงานผิดกฎหมาย แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มีความตั้งใจที่จะอพยพไปต่างประเทศและทํางานอย่างผิดกฎหมาย
เส้นทางของพวกเขาคือ การเดนิทางเข้าสู่ประเทศจุดหมายปลายทางในฐานะนักท่องเที่ยว หรืออ้างว่าไปเยี่ยมญาติ หรือถึงขนาดมีการทำเอกสารสถานะสมรสปลอมขึ้นมาเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่
เมื่ออยู่ในประเทศที่ตั้งใจไว้พวกเขาจะอยู่ในฐานะคนงานที่ไม่มีเอกสาร
บางคนยังถูกผลักดันให้ทํางานอย่างผิดกฎหมายเนื่องจากสถานการณ์ที่ค่อนข้างอยู่นอกเหนือการควบคุม
กรณีผีน้อยเวียดนามที่เดินทางไปเกาหลีใต้ในฐานะนักเรียนภาษา โดยใช้วีซ่านักเรียนที่แม้จะไม่อนุญาตให้เขาทํางานเต็มเวลา แต่หลายคนก็ตัดสินใจรับงานและหาเงิน แต่ถ้าถูกจับได้หรือมีการแจ้งความต่อตํารวจ บุคคลเหล่านี้ก็จะถูกเนรเทศกลับไปยังเวียดนาม
กระแสของชาวเวียดนามที่เต็มใจที่จะเสี่ยงต่ออันตรายจากการถูกลักลอบนําเข้าในประเทศต่างๆ ทั้งเกาหลีใต้ สหราชอาณาจักรรวม ถึงประเทศอื่นๆ ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงและนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เพราะการเสี่ยงนั้นยังถูกมองว่าคุ้มค่าในการเดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายก็ตาม
หรือถ้าสมมุติว่าเข้าไปทำงานประเทศหนึ่งแบบถูกกฎหมายแล้ว แต่ได้งานที่ไม่ถูกใจ อยากเปลี่ยนงานเปลี่ยนประเทศประเทศ พวกเขาก็จะพยายามเข้าไปประเทศอื่นๆ อย่างผิดกฎหมายแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในตอนนี้ หรืออาจจะแก้ไขไม่ได้อีกเลย
อ้างอิง
-
https://www.aljazeera.com/news/longform/2023/7/20/in-vietnam-risking-all-in-the-search-for-a-better-life
-
https://hanoitimes.vn/vietnam-rises-one-place-to-10th-position-in-the-global-remittance-standings-322870.html
4 บันทึก
18
5
4
18
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย