3 ส.ค. 2023 เวลา 07:11 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

HARAKIRI (SEPPUKU) 1962 หนังซามูไรในดวงใจ

หากบอกว่า ฮาราคีรีหนังในปี 1962 ของผู้กำกับมาซากิ โคบายาชิคือหนังซามูไรที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลก เชื่อแน่ว่าก็คงไม่มีหนังซามูไรเรื่องไหนกล้าบอกว่าที่ดีที่สุดอันดับ 1 อย่างแน่แท้ ทั้ง ราโชมอน 7 เซียนซามูไรหรือมุซาชิทำได้ดีที่สุดก็คือการยืนเคียงบ่าเคียงไหล่คู่กันไปกับฮาราคีรี
โดยเนื้อแท้แล้วฮาราคีรีคือหนังซามูไรที่ต่อต้านระบบซามูไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา และในขณะเดียวกันมันก็เป็นหนังที่วิพากษ์การเมืองและสังคมไม่ว่าจะกี่ยุคสมัยก็ยังคงใช้เทียบเคียงได้
ตัวหนังเปิดเรื่องและปิดเรื่องด้วยภาพเดียวกันนั่นคือชุดเกราะขุนศึกซามูไรที่ตั้งอยู่ในห้องบูชาบรรพบุรุษ วางกลางห้องอย่างสวยงามดูน่าเกรงขามคอยให้เหล่าลูกหลานกราบไหว้บูชา ชุดขุนศึกซามูไรเทียบเคียงได้กับหลายสิ่งหลายอย่าง หากมองว่ามันคือระบบมันก็คือระบบศักดินา เกราะซามูไรเป็นตัวแทนของการเมืองการปกครองที่สืบทอดต่อๆ กันมา เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ ชุดเกราะซามูไรแสดงถึงอำนาจ แต่ทว่าชุดเกราะนี้ไร้ชีวิต ไร้ซึ่งมนุษยธรรม
ตัวหนังเล่าเรื่องเหมือนเป็นบทบันทึกประจำตระกูลขุนนางท้องถิ่นที่ต้องรายงานต่อโชกุน ในปี 1630 ฮันชิโร สึงุโมะ โรนินพเนจรได้เดินทางมาถึงจวนขุนนางของตระกูลท้องถิ่น โรนินชราแจ้งความประสงค์ขอทำเซปปุกุที่ลานในจวนของพวกเขา การทำเซปปุกุมันก็คือการฮาราคีรีตามหลักบูชิโดของซามูไรที่ยึดมั่นหวังว่าจะตายอย่างมีเกียรติ
เซปปุกุเป็นพิธีกรรมการฆ่าตัวตายแบบญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งซามูไรที่รักในเกียรติของตนเองจะทำการคว้านท้องเกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์ แต่เนื่องจากบาดแผลนี้ยังไม่ส่งผลให้เสียชีวิตในทันที ซามูไรผู้นั้นจะได้รับความทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บ จึงจำเป็นต้องมีผู้ช่วยที่ได้รับการแต่งตั้งให้ตัดศีรษะซามูไรที่กระทำฮาราคีรีเพื่อเป็นการบรรเทาความเจ็บปวดของซามูไร
เมื่อได้ฟังคำขอของโรนินพเนจร หัวหน้าที่ปรึกษาประจำตระกูลที่เป็นผู้บังคับบัญชาเหล่าครูฝึกและซามูไรในจวนรู้สึกเหนื่อยหน่ายถึงกับอุทานออกมาว่าไม่รู้จักจบสิ้นเสียที เขาคิดว่าเจตจำนงของโรนินชราผู้นี้ เป็นความคิดจะทำฮาราคีรีเพื่อรักษาเกียรติของตนเองจริงหรือว่าจะเป็นเพียงลูกไม้เพื่อมาขอเงิน ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีโรนินพเนจรอาศัยข้ออ้างนี้ขอเงินมาแล้ว แต่ฮันชิโรยืนยันหนักแน่นว่าเขาตั้งใจจะทำฮาราคีรีอย่างแน่นอน
จากนั้นที่ปรึกษาประจำตระกูลก็เลยเล่าเรื่องของโรนินอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่าชิจิวา โมโตเมะ ที่เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วปรากฏกายขึ้นที่จวนข้าหลวงพร้อมด้วยคำขอเดียวกัน ที่ปรึกษาถามว่าฮันชิโร่ว่ารู้จักโมโตเมะหรือไม่ เพราะว่าเคยสังกัดตระกูลขุนนางเดียวกันมาก่อน แต่ฮันชิโร่ยืนยันว่าไม่ได้รู้จัก
เมื่อลานประกอบพิธีฮาราคีรีจัดตั้งแล้วเสร็จ ฮันชิโร่ตรงไปนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเหล่าซามูไรที่เข้ามาเป็นสักขีพยาน เขาพร้อมแล้วที่จะกระทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อหัวหน้าที่ปรึกษาประจำตระกูลบอกว่าได้จัดเตรียมซามูไรผู้ช่วยสำหรับบั่นคอเขาไว้ให้แล้ว แต่ฮันชิโร่ร้องขอโดยเอ่ยชื่อซามูไรประจำตระกูลที่เป็นครูฝึกฝีมือดีแต่ปรากฏว่าซามูไรผู้นั้นเกิดป่วยกระทันหันไม่สามารถมาร่วมพิธีการได้
ฮันจิโร่จึงเอ่ยชื่อซามูไรคนที่ 2 เพื่อให้ทำหน้าที่ตัดศีรษะของเขา แต่ซามูไรคนที่ 2 ก็เกิดป่วยกระทันหันเช่นเดียวกัน และเป็นที่น่าประหลาดใจว่าเมื่อฮันชิโร่เอ่ยชื่อซามูไรอาวุโสคนที่ 3 เพื่อให้เป็นผู้ช่วยของเขานั้น ซามูไรคนดังกล่าวก็ไม่สามารถเข้าร่วมพิธีได้เช่นเดียวกัน หัวหน้าที่ปรึกษาล่วงรู้แล้วว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่ซามูไรฝีมือดี 3 คนลาป่วยกระทันหัน มันจะต้องมีเหตุสุดวิสัยที่ชวนสงสัยเป็นอย่างแน่แท้
เนื้อเรื่องในฮาราคิรีที่สามารถเปิดเผยได้มีแต่เพียงเท่านี้ การเปิดเผยอะไรมากไปกว่านี้จะทำให้เสียอรรถรส นี่คือหนึ่งในหนังที่ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มอรรถรสมากขึ้นเท่านั้น
ฮาราคีรีมีความยาวทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 13 นาทีผู้กำกับโคบายาชิแม่นมากๆกับการถ่ายทอดเนื้อเรื่องทั้งหมดด้วยความอดทน หนังเดินเรื่องเนิบช้าแต่ทว่ามีความเข้มข้น บวกรวมกับภาพที่สวยงามมากๆ จนรู้สึกได้ว่าตลอดเวลาทั้งเรื่องไม่มีส่วนใดที่เกินเลยหรือน้อยเกินไป ชนิดที่กล่าวได้ว่าสามารถหยุดภาพที่เฟรมใดก็ได้ แล้วเอามาอัดขยายภาพติดฝาบ้านได้เลย
ตัวหนังรักษาระดับความเข้มข้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีฉากการต่อสู้ ซึ่งกว่าฉากต่อสู้จะมาก็เข้าสู่องก์สุดท้ายในหนังแล้ว และเมื่อถึงฉากต่อสู้โคบายาชิก็ถ่ายทำฉากเหล่านี้ออกมาได้อย่างสง่างามเต็มไปด้วยความหมาย
ผู้กำกับมาซากิ โคบายาชิจะเติบโตในหมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบ และเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่เขาก็เป็นกบฏโดยกำเนิด โคบายาชิใช้หนังส่วนใหญ่ของเขาในการวิพากษ์วิจารณ์สังคมญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลให้มีการเซ็นเซอร์ งานของเขาหลายเรื่องถูกประเมินค่าต่ำเกินไปในญี่ปุ่นอย่าง Harakiri
ความเป็นกบฎของเขาชัดเจนที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในปี 1942 โคบายาชิถูกเกณฑ์เข้ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น แต่เขาไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม เขาปฏิเสธที่จะไปรบ ด้วยเหตุนี้โคบายาชิจึงต้องเผชิญกับอันตรายจากภาวะสงครามและถูกจับเข้าคุกในช่วงใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้เวลาหนึ่งปีในค่ายกักกัน โคบายาชิพูดเสมอว่า "ผมคิดว่าผมท้าทายผู้มีอำนาจมาโดยตลอด" ซึ่งหนังฮาราคีรีท้าทายแนวคิดสังคมศักดินาที่ผลักดันคนบริสุทธิ์ไปตายในสงครามเพราะคำว่าศักดิ์ศรีอย่างถึงแก่น
ในช่วงหลังสงคราม โคบายาชิเป็นผู้กำกับหนังคนแรกที่วิจารณ์ลัทธินิยมทหารของญี่ปุ่นและความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในจีนก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังไตรภาคเรื่อง The Human Condition ของเขาได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวทางต่อไปของมนุษยชาติ โคบายาชิตำหนิสังคมที่คล้อยตามการปกครองของผู้มีอำนาจในสังคมญี่ปุ่น ที่ทำให้คนดีๆ มีศีลธรรมอยู่ไม่ได้
ในเรื่อง The Human Condition ติดตามเรื่องราวของคาจิ เขาใจดีแต่ไร้เดียงสา เพื่อไม่ต้องเป็นทหารเขาเลยสมัครไปเป็นคนงานเหมืองในแมนจูเรีย ได้เป็นหัวหน้าค่ายแรงงานเชลยศึกที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแรงงานนักโทษชาวจีน คาจิปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมเพื่อปรับปรุงทั้งสภาพแรงงานและผลิต ทำให้ต้องปะทะกับทหารญี่ปุ่น สุดท้ายถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารกองทัพจักรวรรดิ และเป็นเชลยศึกโซเวียตในที่สุด คาจิคือคนที่พยายามอยู่เหนือระบบที่เสื่อมทราม แต่เขาก็พบว่าศีลธรรมกลายเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ได้กับระบบทหารเป็นใหญ่
ทัศนคติของโคบายาชิทำให้เขาขัดแย้งกับสตูดิโอของญี่ปุ่นและทำให้อาชีพการสร้างหนังของเขาเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก แม้ว่างานของเขาจะไร้ที่ติ ซึ่งฮาราคีรีก็เป็นจุดสุดยอดของงานทั้งหมด
คนที่ต้องยกเครดิตอย่างยอดเยี่ยมอีกคนหนึ่งก็คือชิโนบุ ฮาชิโมโตะผู้เขียนบทซึ่งเขาก็เป็นคนที่เขียนบทขาประจำให้กับอาคิระ คุโรซาวะโดยเฉพาะในหนังราโชมอนและ 7 เซียนซามูไร วิธีการเล่าเรื่องทำให้นึกไปถึงราโชมอนที่เป็นการเล่าย้อนเหตุการณ์ผ่านมุมมองของตัวละครหลายคน
ในฮาราคีรีก็อาศัยการเล่าเรื่องราวหลักผ่านการเล่าย้อนอดีตเช่นกัน เพียงแต่ว่าคราวนี้เป็นการเล่าผ่านมุมมองเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แต่ทว่าโครงสร้างของการเล่าเรื่องทำให้เรายิ่งตระหนกในความจริงที่เกิดขึ้น จนกระอักกระอ่วนและในขณะเดียวกันก็สามารถเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อตัวละครได้ตลอดเวลา
ตัวหนังตั้งคำถามโดยตรงต่อบรรทัดฐานของสังคม สิ่งที่สังคมเห็นว่าดีเป็นวิถีปฏิบัติโดยเฉพาะสิ่งที่คงอยู่มานานอย่างการทำฮาราคีรีเพื่อเป็นการรักษาเกียรติซามูไรนั้น มันคือวิถีที่ยึดถือกันมารุ่นต่อรุ่นโดยไม่เคยได้รับการตรวจสอบแท้จริง คำถามของโคบายาชิคือเป็นสิ่งที่คิดว่าดีหรือถูกต้องโดยไม่มีการตรวจสอบ เป็นเรื่องที่ดีจริงหรือไม่
โคบายาชิตั้งคำถามต่อสังคมโดยเฉพาะในสังคมญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่หนังเรื่องนี้ออกฉายในช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัว มันเหมือนกับว่าหนังฮาราคีรีอธิบายถึงสังคมญี่ปุ่นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดอะไรขึ้น และทำให้ลัทธิทหารเป็นใหญ่จนนำมาสู่โศกนาฏกรรมของชาติ
ฮาราคีรีสมบูรณ์แบบมากทั้งเรื่องและบท เทคนิคการถ่ายทำ การสื่อความหมายที่ซ่อนเร้น ความลึกซึ้งในการวิพากย์วิจารณ์สังคม รวมไปถึงการแสดงของนักแสดงที่น่าทึ่งมากๆของทัตสึยา นาคาไดในบทฮันชิโรโรนินชราที่ตั้งคำถามต่อการกระทำฮาราคีรี คือหนึ่งในภาพลักษณ์ซามูไรในหนังญี่ปุ่นไม่แพ้โตชิโร มิฟูเน่
โฆษณา