5 ส.ค. 2023 เวลา 09:21 • หุ้น & เศรษฐกิจ

การอพยพครั้งใหญ่ของ VI/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่แทบจะไม่ให้ผลตอบแทนติดต่อกันมานับ 10 ปี นั้น ทำให้นักลงทุน VI หลายคนเริ่มย้ายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนและแม้แต่ที่เป็น “VI พันธุ์แท้” ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างงดงามและ “รวยไปแล้ว” จากตลาดหุ้นไทย ขณะนี้มีเงินลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากกว่าตลาดหุ้นไทยไปแล้ว
5
ส่วนตัวผมเองก็มีหุ้นต่างประเทศเกือบ 30% แล้วและน่าจะเพิ่มขึ้นไปได้อีก อานิสงค์สำคัญส่วนหนึ่งก็คือ มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นตามดัชนีหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้นเร็วกว่าตลาดหุ้นไทยมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
2
การ “ย้ายถิ่นฐานไปสู่สถานที่อุดมสมบูรณ์กว่า” ของคนหรือมนุษย์นั้น เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ขึ้นในโลก จากประวัติศาสตร์ของคนอย่างพวกเราที่ถูกเรียกว่า “Homo Sapiens” หรือ “มนุษย์ผู้ชาญฉลาด” นั้น พวกเรากำเนิดขึ้นในอาฟริกาและน่าจะอยู่ที่นั่นมาหลายแสนปี
4
แต่แล้ว ในช่วงเวลาน่าจะประมาณ 100,000 ถึง 6-70,000 ปี ที่ผ่านมา พวกเราก็เริ่ม “อพยพครั้งใหญ่” ออกจากอาฟริกาและกระจายไปทั่วโลก โดยทวีปสุดท้ายที่ไปถึงน่าจะเป็นอเมริกาเหนือเมื่อประมาณอย่างน้อย 20,000 ปีที่แล้ว เพราะนั่นเป็นสถานที่ที่ “ไปยากที่สุด”
2
การที่ Homo Sapiens ย้ายถิ่นฐานออกจากอาฟริกานั้น สาเหตุสำคัญก็คือการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่อาจจะทำให้เกิดความแห้งแล้ง อาหารที่มีอยู่ไม่พอเลี้ยงคนที่อาจจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อานิสงค์จากการที่ Homo Sapiens มีความรู้และความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มสามารถเอาชนะสัตว์อื่นในการแย่งชิงทรัพยากรโดยเฉพาะอาหารที่มักจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในช่วงเวลานับหมื่นปี
4
นักลงทุนแบบ VI ของไทยนั้น ได้กำเนิดขึ้นประมาณปี 2540 หลัง “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ที่ก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายกับการลงทุนของนักลงทุนในยุคก่อนหน้านั้นอย่างรุนแรงจนทำให้ “นักเล่นหุ้น” แทบจะ “สูญพันธุ์” แต่สำหรับ “Value Investor” หรือ VI ที่ยึดถือหลักการว่า “ซื้อหุ้น” ก็เหมือนกับ “การลงทุนในธุรกิจ” ช่วงเวลานั้นกลับกลายเป็น “โอกาส” ที่จะได้ซื้อหุ้นหรือซื้อธุรกิจในราคาที่ถูกมาก และ “ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง” ซึ่งจะทำให้สามารถทำกำไรหรือได้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงในอนาคต
5
คนที่เรียกว่าเป็น “VI” นั้น ถ้าจะพูดกันแบบ “โม้” ก็คงคล้ายกับที่เราตั้งชื่อมนุษย์ปัจจุบันว่า Homo Sapiens ซึ่งหมายถึงคนที่ “ชาญฉลาด” ในขณะที่คนประเภทอื่น เช่น “Homo Neanderthal” ซึ่งเคยอยู่ร่วมโลกกับตนเองมานับแสนปีและจริง ๆ ก็ฉลาดพอกัน กลับไม่ได้ถูกตั้งชื่อแบบนั้นและก็สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 40,000 ปีที่แล้ว
4
กล่าวก็คือ พวก VI นั้น มีความภาคภูมิใจว่าตนเองเป็น “นักลงทุนผู้ชาญฉลาด” หรือเป็น “Intelligent Investor” ตามชื่อหนังสือที่เป็น “ไบเบิล” ของพวกตนเขียนโดยเบน เกรแฮม “บิดาของ VI” และถ้าจะตั้ง “ชื่อวิทยาศาสตร์” เลียนแบบ Homo Sapiens นักลงทุน VI ก็อาจจะมีชื่อว่า “Investo Sapiens” ที่เอาชนะนักลงทุน “พันธุ์อื่น” โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยในช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
4
ตั้งแต่ประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ภาวะแวดล้อมที่แย่ลงเรื่อย ๆ แต่คนก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องความผันผวนเหมือนกับเรื่องของภาวะบรรยากาศของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง “ชั่วคราว” ในช่วงเวลาเป็น “หมื่นปี” ในสมัยที่โลกยังอยู่ในยุคหินที่ Homo Sapiens ต้องเผชิญ
2
กล่าวก็คือ ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยถดถอยลงจากที่เคยสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของอาเซียนที่ 5-7% ต่อปี เป็นประมาณ 3-4% หรือน้อยกว่าในช่วงเร็ว ๆ นี้ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่ไปไหนมานาน และ VI จำนวนไม่น้อยได้ผลตอบแทนการลงทุนที่น่าผิดหวังมาก ซึ่งทำให้พวกเขาต้องหาทางแก้ไข
2
VI จำนวนมากเริ่มเปลี่ยนแนวทางการลงทุน หลายคนเริ่มหันมา “เก็งกำไร” มากขึ้น เช่น ซื้อขายบ่อยและเร็วขึ้น บางคนก็เล่นหุ้นน้อยตัวและอาจจะเน้นหุ้นที่มีโมเมนตัมคือเป็นหุ้นที่อยู่ในกระแสที่คนสนใจกันมาก การ “คอร์เนอร์หุ้น” ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจมีมากขึ้น เหมือนว่าการลงทุนแบบ VI ดั้งเดิมที่เน้นเรื่องมูลค่าพื้นฐานเปรียบเทียบกับราคาหุ้นและมองหา Margin of Safety หรือส่วนต่างเผื่อความปลอดภัย ที่เป็นหลักการสำคัญที่สุดของ VI นั้น ถูกละเลยไปมาก
3
กลยุทธ์ใหม่ ๆ เหล่านั้นดูเหมือนว่าจะยังใช้ได้สำหรับ VI บางคนที่มีพลังเงินและพอร์ตใหญ่พอที่จะขับเคลื่อนหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ากลยุทธ์เหล่านี้ก็กำลังได้ผลน้อยลงไปเรื่อย ๆ ปรากฏการณ์ “คอร์เนอร์แตก” ที่หุ้นที่เคยปรับตัวขึ้นไปเร็วมาก ตกลงมาจนแทบเป็นหายนะเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยถอนตัวจากหุ้นร้อนไปมาก และคิดถึงการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นที่ดูมีอนาคตกว่า
1
นักลงทุน VI เริ่ม “อพยพ” ย้ายการลงทุนไปต่างประเทศตั้งแต่ประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว นำโดย VI รุ่นแรก ๆ ของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนแนวเฮดจ์ฟันด์ทั้งที่บริหารโดยคนไทยที่ลงทุนเงินของครอบครัวและที่บริหารโดยชาวต่างประเทศที่มองว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะถึงจุดที่ “โตช้า” แล้ว
2
ในส่วนของนักลงทุนส่วนบุคคลนั้น ผมเองเป็นคนแรก ๆ ที่ไปพร้อม ๆ กับนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็น VI รุ่นเก่าและแนว “พันธุ์แท้” ที่เริ่มมองเห็นว่า “หุ้น value” ที่เคยหาได้ง่ายมากนั้น ล้วนมีราคาแพงเกินพื้นฐานไปมาก คุณภาพของหุ้นที่เล่นกันก็ไม่ได้โดดเด่นมากนักแต่มีการชี้นำหรือเชียร์กันหนักมากในสื่อสังคมต่าง ๆ ที่มีท่วมตลาด ที่สำคัญคือ ราคาหุ้นเหล่านั้นต่างก็วิ่งกันขึ้นเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น
2
ตลาดหุ้นเวียตนามดูเหมือนจะเป็นแห่งแรกของการ “อพยพ” ออกจากตลาดหุ้นไทย เวียตนามถูกมองว่าอุดมสมบูรณ์มากสำหรับการลงทุนหาทรัพยากรซึ่งก็คือ ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้จากการลงทุน เหตุผลหลักตั้งแต่แรกก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีและโครงสร้างพื้นฐานที่จะดีต่อไป เช่น ในเรื่องของคนที่ยังเป็นหนุ่มสาวและมีศักยภาพสูงรวมถึงการที่ประเทศอยู่ใกล้และมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทยมาก เป็นเหตุผลสำคัญในช่วงแรกของการลงทุน
2
หลังจาก “รอบแรก” ของการอพยพไปเวียตนามผ่านไป ความก้าวหน้าของเวียตนามก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เศรษฐกิจที่เคยดีกลายเป็น “ดารา” และโตเร็วเป็นอันดับต้นของอาเซียนและโลก ถนนทุกสายตอนนี้แทบมุ่งสู่เวียตนาม อานิสงค์ส่วนหนึ่งจากการเป็นตัวเลือกของฝ่าย “โลกเสรี” ที่กำลังมีปัญหากับจีน
5
ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามสะท้อนความก้าวหน้านั้น และวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วและสูงมากและสูงกว่าไทยสมัยที่ตลาดเคยรุ่งเรือง นักลงทุนไทยแนว VI รุ่นใหม่เริ่มสนใจลงทุนผ่านกองทุนรวมเวียตนามที่เปิดเพิ่มขึ้นมากมายไม่ต้องพูดถึงกองทุนรวมส่วนบุคคลของกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งสูงที่ซื้อความคิดว่า เวียตนามคือตลาดที่มีอนาคตในระยะยาว
4
ต่อจากตลาดหุ้นเวียตนาม การอพยพยังดำเนินต่อไปยังตลาดหุ้นอเมริกาสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่โดยเฉพาะที่มีการศึกษาจากต่างประเทศที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและรู้จักบริษัทระดับโลกจำนวนมากที่อยู่ในสหรัฐ แต่สิ่งที่ทำให้คนสนใจลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาจริง ๆ น่าจะอยู่ที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะในช่วงโควิด19 นั้นเติบโตโดดเด่นมากซึ่งทำให้นักลงทุนไทยลดการลงทุนในตลาดไทยลงและหันไปลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาแทน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ โครงสร้างพื้นฐานและต้นทุนในการซื้อขายหุ้นสหรัฐนั้นมีประสิทธิภาพและถูกลงมาก
6
จีนเป็นอีกแห่งหนึ่งที่นักลงทุนอพยพไปหาการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า คนที่ไปจีนนั้นผมคิดว่าเป็นเพราะหุ้นมีราคา “ถูกมาก” วัดจากมาตรฐานแบบ VI เช่นค่า PE และ Market Cap. โดยเฉพาะของหุ้นเทคโนโลยีขนาดยักษ์ทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นจีนดูเหมือนว่าจะยังไม่ออกผล อานิสงค์ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากนโยบายของรัฐบาลจีนที่ในระยะหลังไม่เอื้ออำนวยกับตลาดทุนนัก ทำให้นักลงทุนหลายคนดูว่าเป็นตลาดที่ยังมีความเสี่ยงสูงเกินไป และคนที่ไปดูเหมือนว่าจะต้องมีความรู้และความเข้าใจมากกว่าคนที่ไปลงทุนในต่างประเทศอื่น ๆ
การอพยพจากตลาดหุ้นไทยดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ นักลงทุนต่างชาติเองก็ทยอยอพยพออกต่อเนื่องคิดเป็นเงินหลายแสนล้านบาทในช่วงหลาย ๆ ปีมานี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้ไทยเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ในสายตาของนักลงทุนเหมือนดังแต่ก่อน
1
ประชาสัมพันธ์ - ตอนนี้เว็บบอร์ด Thai VI เปิดให้สมัครสมาชิกและทดลองใช้ได้ฟรี 30 วันแล้ว! เข้าไปสมัครกันได้เลยครับที่ www.ThaiVI.org
1
โฆษณา