7 ส.ค. 2023 เวลา 06:48 • ปรัชญา

An uncommon dialogue

กาลครั้งหนึ่งมีวิญญาณดวงหนึ่งรู้ว่าตนคือแสงสว่าง มันเป็นวิญญาณใหม่จึงร้อนรนกระวนกระวายที่จะมีประสบการณ์ “ฉันคือแสงสว่าง” วิญญาณดวงนั้นพูด “ฉันคือแสงสว่าง” แต่สิ่งที่มันรู้และพูดมาทั้งหมดไม่อาจสัมผัสได้ด้วยประสบการณ์เพราะโลกที่วิญญาณผุดขึ้นนั้นไม่มีอย่างอื่นนอกจากแสงสว่าง ทุกดวงวิญญาณล้วนสง่างาม ทุกดวงวิญญาณล้วนมหัศจรรย์ ทุกดวงวิญญาณเรืองรองด้วยแสงอันน่าเกรงขามของพระผู้สร้าง
วิญญาณน้อยดวงนี้จึงเปรียบเหมือนเทียนเล่มหนึ่งในดวงอาทิตย์ ณ ใจกลางของแสงสว่างอันโอฬาร ในฐานะที่เป็นส่วนเสี้ยวเล็กๆ มันไม่อาจมองเห็นตัวเอง ไม่อาจมีประสบการณ์ถึงตัวเองได้ว่าแท้จริงตนคือใครและเป็นอะไร
วิญญาณดวงนี้ร่ำร้องที่จะรู้จักตัวเอง ความปรารถนานั้นแรงกล้าจนพระผู้สร้างต้องพูดขึ้นในวันหนึ่งว่า
“เจ้าตัวเล็ก เจ้ารู้ไหมว่าอะไรที่จะตอบสนองเสียงร่ำร้องของเจ้าได้?”
“โอ้ พระเจ้า ข้าต้องทำอะไรบ้าง ข้าพร้อมทำทุกอย่าง” วิญญาณน้อยตอบ
“เจ้าต้องแยกตัวเองออกจากพวกที่เหลือ แล้วเจ้าก็ต้องเรียกตัวเองว่าความมืด”
“ความมืดคืออะไร พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์?” วิญญาณน้อยถาม
“คือสิ่งที่เจ้าไม่ได้เป็น”
วิญญาณดวงน้อยเข้าใจดังนั้นจึงแยกตัวเองออกจากแสงแห่งกำเนิดเพื่อไปยังอีกโลกหนึ่ง ในโลกนั้นวิญญาณสามารถที่จะมีประสบการณ์ทุกอย่างเกี่ยวกับความมืด และมันก็ทำอย่างนั้น
ท่ามกลางความมืดนั้นเอง วิญญาณได้ร้องคร่ำครวญ “พระบิดา พระบิดา เหตุใดจึงทอดทิ้งข้าพระองค์”
“แม้ในช่วงเวลามืดมิดที่สุด ฉันก็ไม่เคยทอดทิ้งเธอ แต่อยู่เคียงข้างเธอเสมอและย้ำเตือนให้เธอระลึกว่าแท้จริงเธอคือใคร ฉันพร้อมตลอดเวลาที่จะเรียกเธอกลับ ‘บ้าน’
ดังนั้น จงเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดและอย่าสาปแช่ง
จงอย่าลืมว่าเธอคือใครในห้วงยามที่ถูกห้อมล้อมด้วยสิ่งที่ไม่ใช่เธอ จงสรรเสริญการสร้างนั้นแม้เธอจะพยายามหาทางเปลี่ยนแปลง
และขอให้รู้ว่า สิ่งที่เธอได้ทำในช่วงแห่งบททดสอบอันยิ่งใหญ่จะเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน เพราะทุกประสบการณ์ที่เธอสร้างคือสิ่งบ่งบอกว่าเธอคือใคร และใครที่เธอปรารถนาจะเป็น
โฆษณา