7 ส.ค. 2023 เวลา 08:14 • ท่องเที่ยว
กัวลาลัมเปอร์

ประสบการณ์การเดินทางเที่ยวแบบ Backpacker ครั้งแรกของเราที่มาเลเซีย-สิงคโปร์ Ep.3

ความเดิมต่อจาก Ep.ที่แล้ว ก็จะเป็นการเดินทางออกจากปีนังมาที่กัวลาลัมเปอร์ (KL) ด้วยรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อมาที่เมืองหลวงใหญ่ ภายใต้อุปสรรคเกี่ยวกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต แต่ก็ผ่านไปด้วยดีและแล้วเราก็ได้แวะถ่ายรูปตึกแฝดเปโตนาสก่อนปิดวัน
Ep. นี้จะเป็นการเดินทางเที่ยวในตัวเมือง เรียกได้ว่าเกือบทั้งวัน อีกทั้งยังเป็นวันที่พิเศษสุดในทริปนี้ด้วย เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของปันเอง มาดูซิว่าวันแรกของอายุ 23 เราเดินทางไปเที่ยวเยอะขนาดไหน ไปดูกัน
DAY 3 (21 July 2023) 🥳🎂
และแล้ววันเกิดที่ต่างประเทศของปันปีที่สองติดต่อกันแล้ว ที่ฉลองวันเกิดที่ต่างประเทศ ต่อจากอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศมาเลเซียแห่งนี้ ดังนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคล พวกเราจะไปไหว้พระกันที่วัดเทียนโหว (Tien Hou Temple) ซึ่งเป็นวัดจีนอยู่แถวๆ KL Sentral เป็นที่แรก
วัดเทียนโหว
ใน Maps แนะนำให้เราเดินไป ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมง จริงๆเราสามารถเรียกแท็กซี่ได้เหมือนกัน แต่เห็นว่าเช้าวันนั้นอากาศดีก็เลยกะว่าเดินจะดีกว่า เราออกจากที่พักตอนประมาณ 9 โมงครึ่ง เกือบ 10 โมง แล้วเราก็เดินตามทางเรื่อยๆ จนไปเจอวัดแขกเป็นที่แรก ซึ่งวัดแขกตรงเนี่ยก็ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่พักของเรา แต่ก็แค่แวะถ่ายรูปแหละ ไม่ได้แวะเข้าไปไหว้ เพราะเห็นว่าหน้าวัดสวย
จากนั้นเราก็เดินตามทาง ก็ได้ไปเจอกับรถไฟโมโนเรล ซึ่งวิ่งมาจาก NU Sentral เป็นรถไฟสายสีเขียว ก็ได้แวะถ่ายรูปไว้ แถมถ่ายรูปคู่กับพื้นหลังที่เป็นฉากตึก Merdeka 118 อีกด้วย หลังจากนั้นก็เดินมุ่งหน้าต่อไปถึงตัววัด
รถไฟฟ้าโมโนเรล & ตึก Merdeka 118
แต่แล้วจังหวะนรกก็มีนะ นั่นก็คือเมื่อถึงทางเข้าวัดเทียนโหว ทางขึ้นชันมาก ชันแบบไม่ไหวอ่ะ ที่เหนื่อยก็เหนื่อยเพราะตรงนี้นี่แหละ เรานั่งพักสักพักใหญ่ ก่อนที่เราจะไปไหว้พระกันข้างในกัน
** แนะนำว่าให้เรียกแท็กซี่มาจะดีกว่า เพราะทางขึ้นชันจริง**
เมื่อเข้ามาในตัววัดแล้วเราต้องเดินขึ้นไปอีกสองชั้น ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า และเป็นชั้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปให้เราไปกราบไหว้ไหว้ขอพร
วัดเทียนโหว
ซึ่งพวกเราก็ได้เข้าไปไหว้ขอพร วิธีการไหว้ก็คือจุดธูปสี่ดอก แล้วขอพรเลย แต่ที่ต่างจากบ้านเราก็คือ ที่นี่จะมีการแกว่งธูป ระหว่างที่สวดระขอพร ตามความเชื่อของวัดจีนหลายแห่ง ซึ่งปันก็ขอพรหลายอย่างเลย ทั้งให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง ขอให้รวยขอให้มีงานทำ ฯลฯ นี่แหละทีแรกของอายุ 23 ของปันก็คือที่นี่ มาไหว้เพื่อสิริมงคล
หลังจากนั้นก็อย่างที่ว่าแหละ ก็เรียกรถแท็กซี่ ไปส่งที่ KL Sentral เพราะขี้เกียจเดินลงแล้ว ค่าโดยสารรถประมาณ 20RM (~160 บาท) มาจอดหน้า NU Sentral เพราะเราจะแวะกินข้าวที่นี่ก่อน จริงๆ แล้วโชเฟอร์ อยากจะพาเราไปส่งที่มัสยิดจาเมกเลย (เพราะนี่คุยกันว่าจะไปจาเมก) แล้วเหมือนโชเฟอร์แกก็จะ Offer ให้ไปนั่นเลย แต่นี่ก็บอกว่าขอไปห้างก่อนไปกินข้าวก่อน
หลังจากลงจากแท็กซี่มาแล้ว เราก็ไปหาข้าวกินกัน ก็ตกลงกันว่าจะไปกินที่ฟู๊ดคอร์ด NU Sentral ชั้น 3 พวกเราสั่งเป็นอาหารเกาหลีทั้งหมด ราคาก็ 19RM (~150 บาท) ของปันสั่ง คล้ายคล้ายกับ บูลโกกิ รสชาติก็ถือว่ากลางๆ
หลังจากที่กินข้าวเสร็จก็ไปแวะถ่ายรูปอุโมงค์ไม้ตรงบันไดเลื่อนทางขึ้นที่ห้าง หลังจากที่เมื่อวานยังไม่ได้ถ่าย ก็จะเป็นประมาณนี้เลย ซึ่งบอกเลยว่าคนที่มาที่นี่จะต้องแวะถ่ายรูปกัน ไม่ว่าจะเป็นถ่ายรูปที่เป็นอุโมงค์ไม้ หรือเป็นการถ่ายรูปคู่กับตัวอุโมงค์
ซึ่งที่ตั้งของตัวอุโมงค์ จะอยู่ตรงหลังห้าง ซึ่งเป็นทางเชื่อมกับโมโนเรล
อุโมงค์ไม้ห้าง NU Sentral
หลังจากถ่ายรูปอุโมงค์เสร็จเราก็ขึ้นรถรถไฟฟ้าสายสีแดง KJ Line ไปสองสถานี ออกที่สถานี Masjid Jamek ราคาอยู่ที่ประมาณ 1.2RM (~10 บาท) แล้วก็ตามป้ายไปทางมัสยิด แต่ว่าวันนี้ก็เข้าไปไม่ได้เพราะว่าเหมือนมีพิธีของทางศาสนาเขา ก็เลยเข้าไปไม่ได้ ก็เลยได้แวะถ่ายรูปตรงหน้าทางเข้ามัสยิด แล้วก็เดินเลยไปที่จตุรัสเมอร์เดกา (Merdeka Square)
จตุรัสเมอร์เดกา
จตุรัสเมอร์เดกา เป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย แล้วก็เป็นหลักกิโลเมตรที่ 0 ของประเทศอีกด้วย จตุรัสแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของการประกาศอิสรภาพ จากการที่ได้รับเอกราชอังกฤษ ในวันที่ 31 สิงหาปี 1957 อาคารสุลต่าน อับดุล ซามัด เป็นอาคารที่โดดเด่นที่สุดของจัตุรัส โดยมีการสร้างแบบโคโลเนียล สร้างมาตั้งแต่ปี 1897
และฝั่งตรงข้ามของอาคารสุลต่าน ก็จะเป็นเสาธงที่ตรงนั้นจะมีประวัติความเป็นมาของการเชิญธงชาติมาเลเซียขึ้นสู่ยอดเสาลานหลังจากที่ได้รับเอกราช ซึ่งตั้งอยู่ตรงฐานของเสาธง ซึ่งก็เป็นเสาธงที่สูงที่สุดในประเทศเหมือนกัน ถึง 95 เมตร และยังเป็นเสาธงชาติที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย
ระหว่างที่เดินชมและถ่ายรูปจตุรัสอยู่นั้น ปันก็ได้มีโอกาสไปพบกับ YTB คนหนึ่งเป็นชาวตุรกี ที่เดินทางไปเที่ยวทั่วเอเชีย เขาชื่อว่า Ali Kacar พวกเราได้พบเขาโดยบังเอิญที่นี่ ก็ไปติดตามเขาได้นะที่ช่องของเขา
Ali Kacar
หลังจากที่เราแยกกับพี่แก เราก็เดินมาที่มัสยิดแห่งชาติของมาเลเซีย หลักๆก็เข้าไปถ่ายรูป เพราะว่าเราได้ดูมาแล้ว ถ้าหากเราเข้าไปถ่ายรูปด้านในของตัวมัสยิด เราจะต้องนับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น เพราะป้ายจะเขียนด้านหน้าทางเข้าว่า “ของดรับ นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม” ก็เลยเข้าไปด้านในไม่ได้
เราก็เลยได้แค่ถ่ายรูปหน้ามัสยิดเท่านั้น
ความจริงแล้วเราตั้งใจจะเข้าไปดูสวนนกด้านใน คือเดินลึกเข้าไปในตัวมัสยิดก็จะเป็นสวนนก แต่เหมือนกับว่าค่าเข้าชมเพื่อนบอกว่ามันแพงก็เลยก็เลยตกลงแล้วว่าไม่ได้เข้า นั้นก็หลังจากนี้เราก็จะกลับไปที่พัก แล้วก็เก็บแรงไว้ไปถ่ายรูปตึกเปโตรนาสช่วงเย็น เพราะเอาจริงๆ วันนี้อากาศร้อนมาก ถึงขั้นที่ว่ากลับมาถึงห้องปุ๊บนีวิ่งไปอาบน้ำเลย 🥵🥵
ระหว่างทางที่เดินเราก็จะได้ถ่ายรูปเหมือนเป็นที่ทำการของรถไฟมาเลเซีย (KTM Berhad) แล้วก็ที่ตั้งของสถานีรถไฟเก่าหรือสถานี KL เดิม ที่มีสถาปัตยกรรมแบบมาเลเซียดั้งเดิม
ตึกเปโตรนาส (ฝั่ง KLCC Park)
พอตกเย็นเราก็ออกไปที่ตึกเปโตนาสอีกรอบหนึ่ง อย่างที่บอกไปรอบนี้เราจะไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นสวน KLCC Park ซึ่งตรงนี้คนจะน้อยกว่าฝั่งหน้าตึก แล้วก็ถ่ายรูปสวยสวยมากสวยกว่าข้างหน้าอีก เรามาถึงที่นี่ประมาณทุ่มครึ่ง ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสองทุ่ม ก็มีการแสดงน้ำพุเต้นระบำ มี 2 ชุด ชุดละ 4 นาที รวม 8 นาที
แต่ละชุดอลังมาก นับเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์ที่น่าประทับใจของวันเกิดปันปีนี้เลยก็ว่าได้
น้ำพุเต้นระบำ @ ตึกเปโตรนาส
หลังจากนั้นเราก็ไปกินข้าวกันที่สตรีทฟู๊ดชื่อดังของ KL นั่นก็คือ Jalan Alor ตรงแถวบูกิตบินตัง (อารมณ์เหมือนกับสยามสแควร์ของ KL) Jalan Alor ก็เป็นศูนย์รวมร้านอาหารต่างๆมากมาย มีของกินเยอะมาก แล้วก็ของฝากเยอะมากด้วยเช่นกัน มีทั้งอาหารมาเลย์ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่น อาหารจีน อาหารแขก รวมไปถึงอาหารไทยด้วย เราเลือกร้านที่เป็นร้านอาหารไทย
อาหารที่เรากินที่ Jalan Alor
เมนูที่เราสั่งก็ตามที่เห็นในรูปนี้เลย ปันรู้สึกว่ามันแพงไปนิดนะ เพราะว่าสองอย่างแค่นี้ราคา 57RM (~450 บาท) หารสองก็คนละ 225 แต่รู้สึกว่าปริมาณมันไม่เข้ากับราคา แต่ตอนนั้นก็อิ่มนะ จริงๆแล้วเนี่ยเราควรจะกินให้ได้เยอะกว่านี้เพราะว่ามันขึ้นชื่อเรื่องสตรีทฟู๊ด แต่วันนั้นไม่รู้เป็นอะไรกินเสร็จแล้วก็กลับเลย เพราะคิดว่าน่าจะดึกเกินไปแล้ว เพราะว่าตอนออกจากที่นั่นก็ล่อไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว
เรานั่งโมโนเรลกลับไปที่โรงแรม นั่งจากสถานี Bukit Bintang ไปที่ KL Sentral แล้วก็เดินกลับที่พัก ก็นับเป็นว่า จบทริปในวันเกิดปีนี้ เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิด Day 3 ไปเป็นที่เรียบร้อย แล้วเดี๋ยวมาติดตามกันต่อใน Day 4 โพสต์ต่อไป
รถไฟฟ้าโมโนเรล KL สายสีเขียว
💸 ค่าใช้จ่ายทั้งหมดใน Day 3💸
  • ค่ารถแท็กซี่จากวัดเทียนโหว-NU Sentral 20RM (~160 บาท)
  • ค่ารถไฟฟ้าไปมัสยิดจาเมก 1.2RM (~10 บาท)
  • ค่าข้าวที่ Jalan Alor 28.5RM (~225 บาท)
3
*จำราคาของค่ารถไฟฟ้าไม่ได้ ที่มาจาก KLCC-Bukit Bintang-KL Sentral*
รวมทั้งหมดประมาณ 395++ บาท
โฆษณา