9 ส.ค. 2023 เวลา 03:38 • นิยาย เรื่องสั้น

เรื่องเล่าสยองขวัญเรื่องที่ 10 วินไร้หัว

ย้อนกลับไปช่วงเมื่อสองปีก่อนเป็นช่วงที่ฉันเรียนอยู่ชั้นปี 1 มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็นช่วงกีฬาสีเฟรชชี่ ซึ่งในช่วงนั้นเหล่าเด็กปี 1 อย่างเราๆก็ต้องกลับช้ากันกว่าปกติเพราะจะต้องซ้อมสแตนกันบ้าง บางคนก็ต้องซ้อมกีฬา โดยเฉพาะคนที่ต้องซ้อมหลีดอย่างฉันที่จะต้องกลับดึกกว่าใครเพื่อน
ในวันศุกร์ของอาทิตย์สุดท้ายของต้นเดือนกรกฎาคมเวลาสามทุ่มฉันและหลีดคนอื่นๆยังคงอยู่ซ้อมเพราะเนื่องจากวันจันทร์นี้ก็ต้องแสดงจริงแล้ว
เวลาล่วงเลยไปจนถึงห้าทุ่มครึ่งในที่สุดก็ได้เวลากลับบ้านเสียที ฉันและเพื่อนหลีดคนอื่นๆก็เริ่มทยอยเก็บของเพื่อเตรียมที่จะกลับบ้าน ตอนที่ฉันกำลังเก็บของอยู่นั้นจู่ๆก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีใครกำลังจ้องมองฉันอยู่ ฉันกวาดสายตามองรอบๆจนไปหยุดกับใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเสาที่เยื้องไปทางขวามือของฉันไม่ไกลมาก เธอเหมือนจะเป็นนักศึกษาแต่ไม่แน่ใจว่ารุ่นไหน ผิวของเธอซีดร่างท้วมผมยาวดกดำถึงกลางหลังดวงตาของเธอดูว่างเปล่า
ในจังหวะนั้นฉันเลือกที่จะมองเธอโดยไม่หลบสายตาทำให้เราสบตากันอย่างจัง ในตอนนั้นจู่ๆฉันก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งแขนทั้งที่ไม่มีลมเสียด้วยซ้ำ
“ริน กลับได้แล้ว”
เสียงของเมย์ดังขึ้นให้ฉันหลุดออกจากภังค์ในทันที ฉันหันไปมองเมย์พร้อมกับพยักหน้าตอบก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้งแต่กลับกลายป็นว่าผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แล้ว สงสัยเธอคงจะไปแล้วล่ะ
“รินกลับยังไงหรอ” เมย์เพื่อนที่พึ่งรู้จักกันตอนซ้อมหลีดเข้ามาทัก
“เดี๋ยวเรานั่งวินกลับน่ะ”
“นั่งวินตอนกลางคืนมันอันตรายนะนั่น นอนค้างหอเรามั้ย อยู่หลังมอนี่เอง” เมย์พูดพร้อมกับแสดงสีหน้าเป็นห่วงแต่ฉันก็ส่ายหน้าตอบกลับไป
“ไม่ดีกว่า เราเกรงใจอ่ะ”
ฉันเลือกที่จะปฏิเสธเธอไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากค้างนะแต่ฉันเกรงใจน่ะสิ อีกอย่างห้องของเมย์ก็มีเพื่อนคนอื่นไปนอนจนเกือบจะเต็มห้องด้วยเลยคิดว่ากลับไปนอนบ้านตัวเองดีกว่า
“แน่นะริน” เธอถามซ้ำ ฉันก็ได้แต่พยักหน้าตอบพร้อมกับส่งยิ้มไปเพื่อให้เธอคลายกังวล
“งั้นก็ได้ กลับดีๆนะ ถึงแล้วอย่าลืมทักมาด้วย”
“อือ งั้นเรากลับก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จฉันก็เดินแยกตัวออกมาทันที
สองขาเดินเท้าไปเรื่อยๆตามทางเดินมีเพียงแสงไฟจากในตึกที่คอยส่องทางเป็นระยะ ระหว่างทางฉันก็คอยมองรอบๆอยู่เสมอเพื่อมองหาผู้คนเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่กลัวหรือเวลามีเหตุจะได้หาคนช่วยทัน
แต่ก็นั่นแหละตอนนี้มันดึกมากแล้ว อีกอย่างนี่ก็ห้าทุ่มกว่าจะเที่ยงคืนแล้วด้วยคนในมหาลัยฯก็ไม่ค่อยมีหลักๆจะมีก็แต่เด็กซ้อมหลีดกับพวกรปภ.ก็เท่านั้นแหละที่อยู่ที่นี่ตอนกลางคืน
เดินมาเรื่อยๆมาจนใกล้จะถึง​สี่แยกก่อนถึงหน้ามหาลัย​พร้อมกับ​กวาดสายตามองรอบๆ​ บรรยากาศของถนนสองข้างทางเงียบสนิทไร้ผู้คน​มีเพียงไฟส่องสว่าง​ตามทางที่คอยส่องให้เห็นทางเดินเท่านั้น​ ขณะที่เดินอยู่จู่ๆสมองของฉันก็สั่งให้ขาทั้งสองข้างหยุดเดินและ​หันไปมองทางด้านหลังทันที ฉันยืนมองภาพนั้นอยู่ครู่ ทันใดนั้นเองจู่ๆแสงไฟจากสองข้างทางและตึกเรียนที่เปิดอยู่ก็ดับพร้อมกันในทันที ในตอนนั้นฉันตกใจมากจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกแต่ก็ต้องตั้งสติและบอกกับตัวเองว่าแค่ไฟดับแปปเดียวเดี๋ยวมันก็ติดแล้ว
และไม่นานไฟทั้งในตึกเรียนและด้านนอกก็กลับมาติดปกติอีครั้งมันทำให้ฉันโล่งใจเป็นอย่างมาก สงสัยไฟจะตกแหละมันคงไม่มีอะไรหรอก
สองขาก้าวเดินต่อแต่ยังไม่ถึงก้าวที่​สามจู่ๆก็มีเสียงหวีดเล็กๆดังขึ้นที่ข้างหูข้างซ้ายจนทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก ฉันหันขวับมองรอบๆเพื่อหาต้นตอแต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่มีใครเลย พอรู้แบบนั้นก็ยิ่งขนลุกซู่ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ฉันรีบสาวเท้าเดินออกจากตรงนั้นอย่างเร็วที่สุดโดยที่ไม่หันไปมองด้านหลังอีก
เดินมาจนถึงประตูทางออกด้านขวาของมหาวิทยาลัยฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ บรรยากาศก็เหมือนปกติในทุกวัน มีแสงไฟจากบ้านเรือน ร้านค้าและเสาไฟประปราย ส่วนรถวิ่งผ่านนี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเลยแม้แต่คันเดียว มันเลยทำให้จากเดิมแถวนั้นก็เปลี่ยวอยู่แล้วยิ่งเปลี่ยวเข้าไปใหญ่
ในตอนแรกฉันก็รู้สึกแอบกลัวอยู่นะเพราะฉันก็เป็นผู้หญิงแล้วยิ่งมาเดินในที่เปลี่ยวๆแบบนี้ด้วยก็กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเอง แต่ฉันก็พยายามจะคิดในแง่ดีเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในช่วงซ้อมหลีดฉันก็กลับทางนี้ทุกวันแม้จะไม่ดึกมากเท่ากับวันนี้แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันนี้ก็คงจะเหมือนกันมันคงไม่มีอะไรหรอกก็แค่กลับดึกกว่าทุกวันก็แค่นั้นเอง
ฉันยังคงเดินต่อเรื่อยๆพลางกวาดสายตามองหาวินรถมอเตอร์ไซค์จนไปหยุดกับซุ้มเพลิงไม้ซุ้มหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ฉันยืนอยู่ ในซุ้มนั้นมีผู้ชายใส่เสื้อวินอยู่คนนึงนั่งอยู่ด้วย เมื่อเห็นดังนั้นฉันก็รีบเดินตรงดิ่งไปที่นั่นทันที
เมื่อมาถึงซุ้มฉันก็เดินดิ่งเข้าไปเพื่อจะไปเรียกพี่วินแต่พอได้เห็นเขาชัดๆจู่ๆก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที จะว่ายังไงดีล่ะ คือพี่วินคนนี้เขาไม่ถอดหมวกกันน็อกแถมยังหลังตรงอีกด้วย แถมบรรยากาศรอบๆก็อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แต่ฉันก็พยายามคิดในแง่ดีว่ามันคงไม่มีอะไรหรอก อีกอย่างนี่ก็ดึกมากแล้วด้วย หาทางกลับบ้านก่อนดีกว่า
“เอ่อ พี่วินคะ คือหนูจะไปหอสร้างสมน่ะค่ะ”
พี่วินไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเขาเอาแต่นั่งนิ่งหลังตรงอยู่อย่างนั้น ฉันจึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อที่จะเข้าไปสะกิดแต่จู่ๆพี่วินคนนั้นก็ลุกพรวดทันทีทำเอาฉันตกใจเกือบหงายหลังล้มลงไปกับพื้น พี่วินค่อยๆหันหน้ามาหาฉัน ภายใต้หมวกกันน็อคนั่นฉันแอบเห็นดวงตาที่เด่นชัดภายในเงามืด ดวงตาโตแข็งกร้าวราวกับโมโหอะไรสักอย่าง
“ไปไหนครับ”
น้ำเสียงที่แหบแห้งและทุ่มต่ำของพี่วินเรียกฉันให้หลุดออกจากภวังค์ ฉันกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ก่อนจะตอบเขาไป
“ไปหอสร้างสมค่ะ”
พี่วินไม่ตอบอะไรก่อนที่เขาจะเดินไปคร่อมรถและสตาร์ทรถรอฉันขึ้นไป คำถามนับสิบผุดขึ้นในหัวฉันควรจะขึ้นวินนี้กลับดีมั้ยแต่ถ้าฉันไม่กลับวินนี้ฉันก็ต้องเดินกลับเอาแต่ถ้าจะขึ้นแท็กซี่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีด้วยอีกอย่างช่วงนี้ฉันก็ได้ยินข่าวไม่ดีเกี่ยวกับแท็กซี่ด้วย
“ไปมั้ยครับ”
เสียงเรียกของพี่วินเรียกสติของฉันอีกครั้งแต่คราวนี้เสียงของเขาดูต่ำกว่าเดิม “ไปค่ะ” ฉันกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ก่อนจะเดินตามไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ไป
รถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวออกจากซุ้มเพลิงไม้ขับไปตามถนนด้วยความเร็วประมาณ 30 ถึง 40 กิโลเมตร ไม่ช้าไม่เร็วเกินไปทำให้สามารถมองบรรยากาศรอบๆได้อย่างชัดเจน
เริ่มสังเกตว่าใกล้จะถึงหอแล้ว ฉันชะโงกหน้าเพื่อบอกกับพี่วินข้างหน้า
“จอดหอข้างหน้าเลยนะคะ” พี่วินไม่มีการตอบกลับเขายังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆด้วยท่าทางหลังตรงไม่ไหวติง และในตอนนั้นเองจู่ๆฉันก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทั้งที่วันนี้อากาศอบอ้าวทั้งวัน
ทันใดนั้นเองจังหวะที่ฉันกำลังจะตะโกนเรียกพี่วินอีกครั้งจู่ๆก็ได้ยินเสียงหวีดออกมาจากคนข้างหน้าก่อนที่หัวของเขาจะสั่นคลอนแรงราวกับกระดิ่งที่ถูกเขย่า
“พะ-พี่คะ” ฉันพยายามตั้งสติและเรียกพี่วินและทันใดนั้นเองรถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังขับอยู่ก็ล้มลงตรงกลางถนน ฉันพยายามพยุงตัวขึ้นแต่ด้วยความเจ็บแสบมันเลยทำให้ฉันลุกขึ้นได้ลำบาก กวาดสายตามองรอบๆพบว่าพี่วินที่นอนล้มอยู่ใกล้ๆยังคงหัวสั่นคลอนไม่หยุด ยังไม่ทันที่ฉันจะขยับเข้าไปดูจู่ๆศรีษะที่ใส่หมวกกันน็อคของพี่วินก็หลุดออกมาพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูดออกมาราวกับก๊อกน้ำแตกเลย
ด้วยความตกใจทำให้ฉันกรี๊ดออกมาสุดเสียงก่อนจะรีบพยุงตัวลุกและวิ่งออกมาทันที ขณะที่วิ่งอยู่ก็ตัดสินใจหันกลับไปมองด้านหลัง แต่พอหันกลับไปก็พบว่าพี่วินคนนั้นกำลังคลานตามฉันมาด้วยความเร็วเกือบเท่าฉันในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ยไร้ศรีษะ ในตอนนั้นฉันกลัวมากจนสติแตก
ฉันสับขาวิ่งแบบไม่คิดชีวิตจนมาถึงหอที่ตัวเองพักอยู่ ฉันวิ่งเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับกดปุ่มเพื่อปิดประตูรัวๆ จังหวะนั้นเองที่ประตูกำลังจะปิดจู่ๆก็มีมือซีดๆเข้ามาจับประตูเอาไว้ก่อนประตูจะค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นร่างไร้หัวที่เต็มไปด้วยเลือดใสนชุดวินที่ขาดรุ่ย
ฉันที่เห็นดังนั้นก็ตกใจกรี๊ดออกมาก่อนจะขาอ่อนทรุดลงกับพื้น ฉันกลัวมากทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ร้องไห้และสวดมนต์ไปอย่างคนไม่มีสติ
พี่วินไร้หัวค่อยๆคลานเข้ามาในลิฟต์พร้อมกับจับขาของฉันไว้ ฉันพยายามดันขาถีบเพื่อให้มือนั่นหลุดแต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดสักที ขณะที่ฉันกำลังพยายามถีบมือนั้นออกก็มีเสียงทุ้มแหบดังขึ้นมาที่ข้างหู
ด้วยความไม่มีสติของฉันตอนนั้นมันเลยทำให้ได้ยินไม่ค่อยชัดแต่ก็จับใจความได้ประมาณว่า จ่ายค่าวินด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นฉันก็รีบหยิบตังในกระเป๋าขึ้นมาโยนให้พี่วินตรงหน้าทันที มือซีดๆของพี่วินปล่อยจากขาฉันก่อนจะค่อยๆเลื่อนไปหยิบแบงค์ร้อยที่วางอยู่ข้างๆพร้อมกับคลานออกไปและหายไปในที่สุด
พอพี่วินออกไปและทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ภาพทุกอย่างตรงหน้าก้ตัดไปทันที
พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง ฉันมองไปรอบๆก็พบว่ามีเพื่อนในกลุ่มของฉันอยู่ด้วย นิลเพื่อนสนิทของฉันเล่าว่าเมื่อเช้าคุณป้าเจ้าของหอโทรมาหาเธอบอกว่าพบฉันนอนสลบอยู่ในลิฟต์ สภาพผมเผ้ายุ่ง ขามีรอยมือและยังพบแบงค์ห้าสิบบาทวางอยู่ข้างๆตัวด้วย
ฉันตั้งสตินั่งนึกอยู่สักพัก ตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นแค่ฝัน งั้นก็หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง
ฉันตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนแรกพวกมันก็ดูไม่เชื่อฉันหรอก ฉันก็ยืนยันนะว่าเจอจริงๆไม่ใช่เรื่องโกหก แอนเพื่อนอีกคนมันก็บอกว่าคิดว่าน่าจะเป็นผีพี่วิน พอได้ยินดังนั้นฉันก็ขอให้มันเล่าให้ฟัง
แอนเล่าว่าย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ตรงทางออกประตูด้านขวามันเคยมีซุ้มวินอยู่จะเป็นซุ้มไม้เพลิง เมื่อก่อนมันก็มีคนมาใช้บริการกันเยอะนั่นแหละ แต่พออยู่มาวันนึงช่วงกลางดึกก็มีข่าวว่าซุ้มวินตรงนั้นถูกรถยนต์ขับพุ่งจนซุ้มตรงนั้นเละไม่เป็นท่า
ไม่พอยังเจอศพของพี่วินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งเสียชีวิตคาที่อีกด้วย ในสภาพเสื้อผ้าขาดรุ่ยศรีษะขาดกระเด็นออกจากตัว ส่วนช่วงตัวลงมากับรถมอเตอร์ไซค์ก็กระเด็นอยู่ใกล้ๆกันไม่ไกลมาก คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าพี่วินคนนี้เขากำลังขับเข้ามาในซุ้มพอดีแล้วจู่ๆก็มีรถยนต์จากไหนไม่รู้พุ่งชนพอดีเลยทำให้เขาเสียชีวิต
มันยังเล่าอีกว่า หากใครที่กลับดึกยิ่งช่วงเที่ยงคืนก็จะเจอกันเป็นประจำเพราะเขาเสียเวลานั้น อีกอย่างหากใครที่ดันไปเผลอไปโบกพี่วินคนนั้นล่ะก็ ก็ต้องจ่ายเงินค่าวินเขาด้วยเป็นจำนวน 50 บาท ไม่งั้นเขาจะตามไปทวงถึงที่เลย
โฆษณา