13 ส.ค. 2023 เวลา 11:03 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] UTOPIA - Travis Scott

แดนสนธยาที่คุ้นชิน
-ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ Kanye West เคลมไว้ใน The Breakfast Club เมื่อปี 2013 ไว้ว่า “ผมเนี่ยแหละคือผู้มาก่อนกาลตั้ง 10 ปี แค่ยังติดหล่มกับปัจจุบัน จำคำพูดผมไว้ดีๆ ในฐานะ Kanye West คุณไม่คิดเลยเหรอว่าผมจะไม่สามารถเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่แล้วส่งต่ออิทธิพลให้กับศิลปินหลายๆคนได้จริงๆ ?” 10 ปีผ่านไปเป๊ะๆแบบสมพรปาก เราได้เห็นทายาทอสูรขึ้นมาตนนึงอย่างชัดเจนที่สุดจากอัลบั้มนี้ของ Travis Scott เลยครับ
1
-รอบนี้ดูเหมือนว่าทราวิสแทบจะเจริญรอยตาม foot step ของคานเย่แทบทุกด้าน เริ่มจากกลยุทธ์โปรโมทเพลงต่างๆนาๆที่เล่นใหญ่ตามลูกพี่ ถึงขั้นแพลน world premier ไกลถึงพีระมิด แต่สุดท้ายก็ล่มเนื่องด้วยสภาพอากาศ ในด้านงานเพลงที่คัดเลือกศิลปินมาฟีทก็เน้นที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนั้นและนักวิจารณ์ชื่นชมมาสร้างสีสันในงานเพลง เหมือนที่พี่เย่ได้ทำตั้งแต่ช่วง The Life of Pablo ไปจนถึง DONDA แบบที่พยายามทำตัวไม่ตกขบวนกระแสหลักและรอง
-มวลรวมจึงเปรียบเหมือนความพยายามจะเป็น the next Kanye West ผู้มากบารมีและทำตัวเป็นศูนย์กลาง แต่ถ้าเปรียบด้านอีโก้ความสุดโต่งนั้น ทราวิสกลับมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะได้รับบทเรียนอย่างหนักจากเหตุโศกนาฎกรรม Astroworld ที่ไม่มีใครปล่อยผ่านได้
Utopia is wherever you are
-เห็นหลายคนสมญานาม UTOPIA เป็นร่างโคลนของ Yeezus จากมุมมองส่วนตัว ผมไม่อยากจะเหมารวมขนาดนั้น ถ้าอิงตามนิยามของ Utopia ก็คือ ideal place หรือ โลกในอุดมคติ ในด้านของ scope อัลบั้มจึงเป็นอะไรที่กว้างกว่า Yeezus ที่ถูกเซ็ตคาแรคเตอร์แบบ individual อย่างแน่นอน
-จำนวนแทร็คที่มากกว่าและความพยายามในการครอบจักรวาลของทราวิสดังกล่าวจึงทำให้ไม่เข้านิยามของร่างโคลนที่ถอดแบบขนาดรูปร่างได้เป๊ะอย่างแน่นอน เพิ่มเติมคือการเอาเทรนด์ฮิปฮอปและป็อปคัลเจอร์ทั้งหลายในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเขย่ารวมกัน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก Yeezus ก็คงไม่ผิดถนัดนัก
-โลกในอุดมคติทราวิสนิยามไว้ดันมีเงา Ye ตะคุ่มในแง่ของการใส่ลายเซ็นต์ตัวเองลงด้วย ad-lib หางเสียงแบบตวาดๆอันละม้ายคล้าย Ye ไม่มีผิด ทั้งๆที่การเล่นเสียงเอคโค่ไซคลิเดลิคแบบที่ตัวเองเคยทำใน 3 อัลบั้มที่ผ่านมาเป็นลายเซ็นต์ที่มีเอกลักษณ์ในตัวมันอยู่แล้ว สงสัยว่าระหว่างที่รังสรรค์อัลบั้มนี้คงจำกัดการเสพผลงานคานเย่เยอะไปหน่อย นั่นก็ทำให้ทราวิสยังไม่ไต่ถึงการเป็น hip-hop innovator จากอัลบั้มนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
-ประโยคแร็ป I'm loyal, bitch, I got Ye over Biden ในเพลง SKITZO ช่างเป็นประโยคแห่งการน้อมนำแลดูยึดตัวบุคคลเลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งการกล่าวสรรเสริญไอดอลของตัวเองที่ยอมมาเป็น guest ในงานคอนเสิร์ตที่กรุงโรมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วย quote ที่ว่า “จะไม่มี UTOPIA ถ้าไม่มี Kanye West จะไม่มี Travis Scott ถ้าไม่มี Kanye West” ซึ่งเป็นการสารภาพที่ตรงดีอย่างไม่มีอะไรซับซ้อน ยังดีที่อดีตเขยตระกูล Kardashian ยังญาติดีต่อกัน ไม่งั้นเราคงได้เห็นมหากาพย์การ diss เพื่อเคลมความเป็น original กันแน่นแท้
-เพลงที่ผมอยากอุทาน “ว้ายยย” มากกว่า “ว้าววว” แบบว่า “เอากันขนาดนี้เลยรึ?” อย่างเพลง CIRCUS MAXIMUS ที่เป็น Black Skinhead เวอร์ชั่น pop core ที่ถูกละลายให้เจือจางเสียจนนึกว่ากำลัง cover อยู่การมาของ The Weeknd ในท่อนฮุกแทบจะไม่สร้างพลังความขลังและก้องกังวานใดๆเลย พอๆกับซิงเกิ้ลแรก K-POP ที่อิงความ caribbean ให้ fit-in กับ Bad Bunny และอยากจะขายกลุ่มละตินเสียมากกว่า ประหนึ่งไม่ขอตกขบวนกระแส raggaeton fever ที่ตอนนี้ Benito พาเพลงของเขาสร้างแรงกระเพื่อมให้ตลาดใหญ่อเมริกามากพอสมควร
-ไอ้ความพยายามไม่ตกขบวนก็มีให้เห็นอีกในเพลง DELRESTO (ECHOES) ที่คิดการใหญ่ชวน Beyoncé มาร่วมฟีท ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่สามารถสร้างความยิ่งใหญ่สมราคามากนัก ด้วยบริบท ballroom สุดคุ้นชินจาก RENAISSANCE ที่ได้รับคำชมยกใหญ่ และคอนเซปต์ของเพลงก็พูดถึงการปลดแอกเช่นกัน มันเลยไม่อาจสร้างความเซอร์ไพร์สไปมากกว่านี้ เป็นการเปิดทางให้แม่กลับไปทำในสูตรสำเร็จเดิมของตัวเอง ทั้งๆที่เจ้าของเพลงควรมีสูตรใหม่เพื่อให้ควีนบี fit-in เสียมากกว่า
-เดี๋ยวจะหาว่าเน้นจับผิดจนเกินไป อย่างไรก็ดีครับ สูตรโปรดักชั่นกระหึ่มๆอันเป็นดีเอ็นเออันแข็งแรงที่ Ye และทราวิสต่างมีจุดร่วมเดียวกัน มันก็ทำให้คนฟังรู้สึก enjoy no matter what ได้เหมือนกัน ทักษะการปรับค่าความ hype ของทราวิสยังไม่จางหายหรือแห้งเหือดไปซะทีเดียว
-พิสูจน์กันได้ตั้งแต่แทร็คเปิดอัลบั้ม HYAENA ที่บ่งบอกภาพรวมอัลบั้มได้ดีที่สุด สมการกลับมาพร้อมสมญานามใหม่ที่บ่งบอกความเป็น “หมาป่าล่าเนื้อ” ที่พร้อมท้าชนได้ทุกเมื่อ ด้วยโปรดักชั่นแน่นๆของ Mike Dean และการแซมเปิ้ลเพลงของ Funkadelic และ Gentle Giant ที่เขย่าจนได้กลิ่นอายเริงระบำชาวเผ่าช่วยเร่งอะดรีนาลีนให้คนฟังได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
-MODERN JAM นี่ก็เป็นความ enjoy no matter what เช่นกัน ซึ่งก็ได้ Guy-Manuel de Homem-Christo อดีต Daft Punk มาช่วยโปรดิวซ์ (คนเดียวกับที่มีส่วนร่วมโปรดิวซ์ On Sight ใน Yeezus ที่เค้าแซวว่าเหมือนเนี่ยแหละ) ส่วนตัวผมคือคนที่จับผิดเรื่อง “ความเหมือน” ไม่เก่งเลยครับ ยกเว้น CIRCUS MAXIMUS ที่จังหวะ drum pattern เกิดเซนส์ความรู้สึก “เห้ย” แหล่มขึ้นมา
-ในขณะที่ MODERN JAM เป็นการหลบสูตรที่เนียนกว่า แลดูเป็นแกะดำที่สุดในงานชุดนี้ด้วยกลิ่นอาย Spanish เอามาตัดรสบีทดำทมิฬเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ Teezo Touchdown ก็เฉิดฉาย สำเนียงของเขา fit-in ความฝรั่งเศสมากๆ
-การต่อยอดเพลงที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้ใน DONDA แล้วเอามาผสมโรงใน Utopia ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีอยู่ไม่น้อย อาทิเช่น THANK GOD และ GOD’S COUNTRY ที่คงตีม Christian Rap โดยเพลงแรกเป็นการสวดมนต์ภาวนาภายใต้ชีวิตอันแสนยุ่งเหยิงทั้งการรับมือกับคำวิจารณ์ และแรงกดดันที่ต้องขยับบาร์ให้สูงกว่านี้จากอัลบั้มก่อน ASTROWORLD ซึ่งตัวเองชวดรางวัลแกรมมี่ Best Rap Album ไปอย่างน่าเสียดายจนอยากจะแก้มือ
-ส่วน GOD’S COUNTRY เป็นการพยายามควบคุมตัวเองเพื่อปกป้องครอบครัวจากเหตุเภทภัย โดยเฉพาะเสียงลือเสียงเล่าอ้างทั้งหลาย ซึ่งต่อมาก็โยงกับเพลง SIRENS ที่อ้างอิงจากปีศาจในตำนานกรีกโบราณที่ใช้เสียงร้องสะกดจิตให้คนฟังจนกลายเป็นเหยื่อในที่สุด โดยท่อน Outro ได้โซโล่กีตาร์หวานๆจาก John Mayer ด้วย
-สำหรับการแจมของ Drake ในเพลง MELTDOWN นั้นก็ยังสร้างไฮไลต์ให้กับอัลบั้มด้วยอารมณ์แบบว่า “ต่างคนต่างมีเรื่องส่วนตัวอยากจะเคลียร์” มากกว่าเน้นความเป็น Main Attraction แบบที่ SICKO MODE เคยเป็นใน ASTROWORLD ผลลัพธ์ที่ได้ก็สมกับชื่อเพลงที่เกิดมาเพื่อเป็นจุดหลอมละลายแบบเอาเรื่องอยู่
-เสี่ยโตรอนโต้โชว์โฟลว์กระซิบกระซาบประชดประชันถึง Pharrell Williams และ Pusha T ซึ่งเป็น subliminal shot ที่ปกติมากๆ แต่นั่นก็ทำให้ Drake เริ่มกลับเป็นจุดสนใจในสปอตไลท์อีกครั้ง หลังจากที่การปล่อยผลงานถี่จัดในช่วงปีที่ผ่านมาของเขากลับไม่สามารถสร้างความน่าจดจำเท่าไหร่ ซึ่งก็แปลกดีที่การไปแจมกับเจ้าภาพทราวิสนั้นดันโดดเด่นฉายแสงยิ่งกว่าเพลงที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพเสียอีก (ว่ามั้ย?)
-อีกทั้ง Travis นั้นยังหาโอกาสนี้แวะไปแซะ Timothée Chalamet ที่เป็นคู่เดทอดีตเมีย Kylie Jenner โดยเปรียบเปรยว่าตัวเองว่าเป็นเพชรสีน้ำตาล Audemars Piguet ที่ดูดี VVS มากกว่าไอ้นักแสดงผู้รับบทเป็นเจ้าของโรงงานช็อกโกแลต Willy Wonka ก็แล้วกัน อย่างไรก็ดีทั้งการส่งไม้ต่อด้วยท่อนฮุก Is you fuckin' crazy? Is you fuckin' crazy? และการ switch beat นั้นยังจัดว่าช่ำชองในการสร้างแรงไดนามิกให้คุกกรุ่นจนกลายเป็นคอนเทนท์พิเศษที่ไม่กดสูตร SICKO MODE ซ้ำ
-ไอ้คอนเทนท์พิเศษสร้างความเซอร์ไพรส์ก็มีให้เห็นในเพลง FEIN! เช่นกัน การโผล่มาของ Playboi Carti ด้วยน้ำเสียงแตกหนุ่ม เมากรึ่มๆพูดจาไม่รู้เรื่องยิ่งกว่าช่วงที่เป็น baby voice ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการปูทางคาแรคเตอร์ใหม่ที่จะได้เห็นในอัลบั้ม MUSIC ที่กำลังจะมาถึงหรือไม่? ที่แน่ๆต่อให้โคตรจะ mumble ขัดใจสาย old school ก็ตาม แต่หมอนี่เข้าใจครีเอทคาแรคเตอร์ให้ได้อัศเจรีย์เสมอ vibe เพลงโดยรวมเหมือนติดกลิ่นอายความ fuck the club up จากเพลง NO BYSTANDERS เลยฮะ เพียงแต่เพลงนี้ปรี๊ดกว่าตามสไตล์ Carti
-โมเมนต์การเปิดพื้นที่ให้ศิลปินโนเนมหรือยังไม่แมสมาร่วมแจมเหมือนที่เคยทำให้ Don Toliver ที่ตอนนั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เสียงเขาแหลมแป๋นมากๆในเพลง CAN’T SAY ถึงแม้ว่าพี่ดอนจะไม่ได้เป็นฟีทเจอร์หลัก แต่ทราวิสก็ยังทำหน้าที่เป็นป๋าดันที่ดีให้คนอื่นเช่นกัน TOPIA TWINS ที่ได้แร็ปเปอร์ท้องถิ่นย่านนิวออลีนส์ Rob49 มาซัดตั้งแต่ verse แรก ภายใต้บีทโครมครามของ Wheezy ส่วน 21 Savage ยังคงวางมาดน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ ไม่กระโตกกระตาก แต่ก็ไหลไปตามความเดือดอย่างไม่เฉื่อยชา
-การเคลียร์พื้นที่ให้ Westside Gunn ในเพลง Lost Forever ด้วยบีทเคาะสุดกึกก้องที่ชวนนึกถึงเพลง Good Morning ของ Ye เหมือนกัน แต่เอามาปรับรสให้แก๊งส์เตอร์ขึ้นบวกกับท่วงทำนองร่ายที่เป็นลายเซ็นที่ชัดมากจาก James Blake แทร็คถัดมา LOOOVE ผมขอเรียกเพลงนี้ว่า “โมเมนต์แห่ง ice breaking” ก็แล้วกัน ท่วงทำนองชวนร่ายรำจาก Pharrell Williams และยังเชิญพี่ชาย Kid Cudi มาโยกย้ายเล็กๆน้อยๆไม่ได้ใส่ความตึงแบบเพลงที่ผ่านมา เป็นความคึกครื้นที่ให้ฟีล fan service พอสมควร
-ส่วน PARASAIL โหมดเพลงสั้นประจำอัลบั้มประหนึ่งห้องทดลองขนาดย่อมในการหยอกเย้าความเป็น psychedelic folk อันแสนดรายและเลื่อนลอย การได้ Yung Lean และ Dave Chappelle มาร่วมเปล่งวาจานั้นก็ชวนนึกถึงสไตล์เพลงสั้นของ Frank Ocean ในยุค Blond ไม่มีผิดเลย เป็นบทกลอน poem ที่แทรกมาเพื่อความแปลก และคอยให้กำลังใจตัวเองในฐานะที่ comedian ชื่อดังโดนทัวร์ลงในข่วงที่ผ่านมาเยอะเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้จักสำคัญต่ออัลบั้มมากขนาดนั้น
-ความพยายามในการตอกย้ำความเป็นตัวตึงด้วยตัวเอง โดยไม่อาศัยแขกรับเชิญมาสร้างสีสันจนเกินไป ถือว่าสัมฤทธิ์ผล เฉกเช่น I KNOW ? บรรยากาศลึกลับกรึ่มๆเฉพาะตัวของคนเมาขี้รำคาญที่คิดว่าตัวเองโคตรดีด ยาเอากูไม่ลง ทั้งๆที่สภาพก็สะลึมสะลือ บีทเปียโนดุ่มๆแน่นๆ พึ่งออโต้จูนแต่พองาม verse กระแทกกระทั้นขึ้นๆลงๆ เป็นความดิบที่โคตรชอบและดูเป็นสไตล์เฉพาะตัวมากที่สุด
-SKITZO เพลงที่ทำกับ Young Thug ตั้งนานแล้วก่อนที่จะติดคุก ดูเหมือนจะขยายพื้นที่เพื่อให้ LaFlame ปล่อยของแร็ปร่ายยาว ไม่มี punchline อะไรมาก แค่อยากโชว์ให้เด็กดู ซึ่งก็เพลิดเพลินดีฮะ
-MY EYES เพลงที่ว่าด้วยการรับรู้ประสบการณ์ผ่านสายตา มีลูกเล่นน่าจดจำมากมาย ไล่ตั้งแต่การ distort autotune แบบเอเลี่ยนในช่วงพาร์ทแรก การโผล่ cameo ของ Sampha ที่มาแค่เสี้ยวเดียวแต่โคตร overwhelming อีกทั้ง Part 2 อันแสนเข้มข้นกับการระบายความในใจสุด personal จนกล้าพูดได้เลยว่า นี่คือ verse ที่ดีสุดของ LaFlame เลยฮะ ท้าวความตั้งแต่ชีวิตอันแสนยากลำบากในวัยเด็กกับการที่ต้องเจอเรื่องบ้าๆอย่างชินตาจนเป็นแรงผลักดันให้ต้องออกจากที่นั่น
-รวมไปถึงประเด็นที่ทุกคนอยากรู้เกี่ยวกับโศกนาฏกรรม ASTROWORLD ว่าตอนนั้นเขารู้สึกอย่างไร ? ซึ่งทราวิสก็เผยความกังวลและรู้สึกผิดที่ไม่สามารถเอาชีวิตของเหยื่อกลับคืนมาได้ ด้วยความที่เป็นคนสาธารณะบวกกับเหตุการณ์อันร้ายแรงนั่นก็ทำให้เขายิ่งระมัดระวังสายตาคนอื่นที่จับจ้องอย่างไม่กระพริบด้วย
I replay them nights, and right by my side, all I see is a sea of people that ride wit' me
If they just knew what Scotty would do to jump off the stage and save him a child
MY EYES
-ปัญหาอัลบั้มที่ผ่านมาของทราวิสที่ผมมักจะบ่นประจำคือ แรกๆเดือด หลังๆดรอป (ยกเว้น ASTROWORLD ที่จบอัลบั้มแบบฉีกจนจึ้งไปทางเรื่องส่วนตัวเลย) แต่ผมมองว่าทราวิสแก้เกมส์ในอัลบั้มนี้ได้ดี สองแทร็คสุดท้ายที่คงความดำทมิฬได้อย่างเข้าตีม เริ่มจาก TELEKINESIS ซึ่งเป็นอีกเดโม่เพลงที่ไม่ได้ถูกใช้ใน DONDA เช่นกัน (ชื่อเดิม Future Sounds) ซาวนด์ขมุกขมัวล่องลอยกลางสเตเดียม
-โทนเพลงมันแอบยืดยาดก็จริง แต่ท่อนฮุกมีพลังแผ่ซ่านเอาเรื่องอยู่ Future เติมเต็มเพลงนี้ได้อย่างน่าขนลุก แค่เปิด intro ก็เปิดต่อมเดือดได้แล้ว ส่วน SZA ที่มาเสริมทัพในช่วงท้าย ถึงแม้ว่าจะดูแปร่ง แต่เสียงร้องอันทรงพลังกลับทำให้คนฟังรู้สึก uplift ขึ้นมาได้อย่างแปลกประหลาด ราวกับเธอเป็นคนฉุดคนฟังลอยเข้าสู่แสงสว่างที่ปากปล่อง
-ปิดท้ายด้วย TIL FURTHER NOTICE ที่ได้ James Blake และ Metro Boomin’ มาร่วมโปรดิวซ์ ยังคงแข็งแรงตามสไตล์ที่คุ้นชินของทั้งคู่ 21 Savage มาร่วมแจมอีกครั้งด้วยความรู้สึกเยือกเย็น เป็นการปิดท้ายที่ทิ้งสาสน์ปลายเปิดเกี่ยวกับ ideal place ในแบบของคุณ หลังจากที่ตะลุยโลกอันแสนมืดมนของ LaFlame มาเนิ่นนาน คุณเลือกที่จะหลบอยู่ในโลกอุดมคติของคุณต่อไปหรือรอให้ใครซักคนมาป่าวประกาศเพื่อให้ตื่นรู้ในภายภาคหน้าต่อไป
-ถือเป็นการกลับมาในรอบ 5 ปีที่พอสาแก่ใจสาวกไม่มากก็น้อย ด้วยความบันเทิงกระตุ้นอะดรีนาลีนที่ยังพาผู้ฟังไปผจญภัยในแดนสนธยาแห่งหมอกเงา ปัจจัยในการคงไว้ซึ่ง blockbuster rapper ยังอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำไปสู่ในจุดท็อปฟอร์ม ผมมองว่าทราวิสพยายามอย่างหนักในการที่จะออกจากสวนสนุก ASTROWORLD แต่รอบนี้ดัน U-Turn ไปที่อดีตพี่เขย Kanye West ซะงั้น เท่ากับว่าคาแรคเตอร์แห่งความบ้าระห่ำที่เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้วถูกบดบังด้วยอิทธิพลคนพี่ไปอย่างน่าเสียดาย
UTOPIA ปกเวอร์ชั่นแรก
-แน่นอนว่า UTOPIA ยังไม่ใช่ best album แน่นอน เนื่องด้วยการถ่าง scope ที่กว้างเสียจนสับสนในตัวตนและเป้าประสงค์ มีทั้งจัดปาร์ตี้บ้าง เหล่สาวบ้าง เข้าโบสถ์สวดมนต์ต่อพระเจ้าบ้าง มันเป็นความกระจัดกระจายที่รวมเดโม่เก่าเอามาต่อยอดบ้าง มันเลยขาดซึ่งตัวตนและจิตวิญญาณแบบเดียวกับที่ ASTROWORLD เคยทำได้ ซึ่งมีทั้งจิตวิญญาณแห่งการคารวะความทรงจำ คารวะถิ่นกำเนิด สตอรี่และปมส่วนตัวที่ชัดเจนกว่า รวมๆแล้วผมสัมผัสถึงการหล่อหลอมที่ถูกแพ็คมาอย่างดี นี่คือสิ่งที่ UTOPIA ยังไม่ใช่โลกในอุดมคติที่ผมไฝ่หามากนัก
ในที่สุดก็ต้องออกไปค้นหาความอุดมคติใหม่อยู่ดี
Top Tracks : HYAENA, THANK GOD, MODERN JAM, MY EYES, MELTDOWN, I KNOW ?, TOPIA TWINS, SKITZO, LOST FOREVER, TELEKINESIS
Give 7/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา