Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เมืองไทยไดอารี่ by Supawan
•
ติดตาม
15 ส.ค. 2023 เวลา 22:59 • ท่องเที่ยว
วัดสุวรรณาราม .. วัดที่มีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยที่สุดในไทย
ไปไหว้พระ ณ วัดที่มีภาพจิตรกรรมไทยบนฝาผนังที่สวยที่สุดในโลก
2
"วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร" หรือชื่อเดิมว่า "วัดทอง" เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ 33 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 32 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอก น้อย กรุงเทพฯ
วัดสุวรรณาราม เป็นวัดที่เก่าแก่นับอายุไปได้ถึงปลายสมัยอยุธยา อยุธยา ปรากฏในพระราชพงศาวดาร สมัยกรุงธนบุรีว่า คราวพม่ายกกองทัพมาตีเมืองพิษณุโลก พระเจ้าตากสินมหาราชจะยกกองทัพไปช่วย จึงโปรดให้ถามเชลยศึกพม่าที่จับมาได้จากค่ายบางนางแก้ว ว่าจะสมัครใจไปช่วยรบพม่าด้วยหรือไม่ แต่เชลยศึกพม่าตอบปฎิเสธ ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเล่มที่ 2 บันทึกถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า ..
“มันไม่ภักดีเราโดยแท้ ยังนับถือเจ้านายมันอยู่และเราจะยกไปทำสงคราม ผู้คนอยู่รักษาบ้านเมืองน้อยพวกมันมาก จะแหกคุกออกไปทำแก่จลาจลข้างหลังจะเอาไว้มิได้ จึงดำรัสให้เอาไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดทอง คลองบางกอกน้อย ทั้งสิ้น” สมเด็จพระเจ้าตากสินก็ได้ทรงใช้บริเวณวัดแห่งนี้เป็นลานประหารชีวิตเชลยพม่า
วัดสุวรรณารามเดิมชื่อวัดทอง เข้าใจว่ามีมาแต่ครั้งกรุงศรี แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นสมัยที่วัดทองได้เปลี่ยนรูปโฉมไปมาก เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นใหม่แทบทั้งหมด
.. ได้ทรงสร้างพระอุโบสถ พระวิหาร กำแพงแก้ว มีเก๋งข้างหน้า 2 เก๋ง พร้อมทั้งเสนาสนะขึ้นมาใหม่ ครั้นสถาปนาเสร็จแล้วจึงพระราชทานนามใหม่ว่า พระราชทานนามให้ใหม่ว่า "วัดสุวรรณาราม"
นอกจากนี้สมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงพระราชศรัทธาสร้างเครื่องป่าช้าขึ้น คือ เมรุ สำสร้างหอสวด หอทิ้งทาน โรงโขน โรงหุ่น ระทาและพลับพลา โรงครัว พร้อมทุกอย่างถวายเป็นสมบัติในพระบรมมหาราชวังสำหรับเป็นที่พระราชทานเพลิงศพอีกส่วนหนึ่ง
วัดทองหรือวัดสุวรรณารามแห่งนี้ จึงเป็นวัดที่ใช้ประกอบพิธีปลงศพเป็นสำคัญทั้งพระศพเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ เพราะเมื่อมีการพระราชพิธีหรือต้องนำศพออกไป พระราชทานเพลิง ณ วัดนอกกำแพงพระนครแล้ว ยังคงต้องคำนึงถึงวัดที่มีคมนาคมสะดวกด้วย สมัยแรกสร้างกรุงเทพฯ นั้นปรากฏว่ามีเมรุที่โปรดให้สร้างขึ้นที่วัดสุวรรณารามนี้ แห่งหนึ่ง
ในหมายรับสั่งครั้งรัชกาลที่ 1 จ.ศ. 1164 (พ.ศ.2345) กล่าวถึงการพระราชทานเพลิงศพเจ้าฟ้าภิม ที่เมรุวัดสุวรรณาราม ณ วังอังคาร ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนสามปีจอ จัตวาศก จ.ศ. 1164 เจ้าฟ้าภิม
ในหมายรับสั่งฉบับนี้สันนิษฐานว่าเป็นองค์เดียวกับเจ้าฟ้าพินทวดี พระราชธิดาในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย นอกจากนี้ยังปรากฏในหมายรับสั่ง เรื่องการพระราชทานเพลิงศพเจ้านาย ขุนนาง มาแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 จนรัชกาลต่อมาอยู่เนื่อง ๆ
สุนทรภู่ เคยเขียนถึงวัดสุวรรณาราม ในนิราศพระประธมเมื่อ ปี พ.ศ. 2385 รำพันถึงบุคคลอันเป็นที่รัก ที่จากไปคือ ฉิมและนิ่ม น้องสาวต่างบิดา ซึ่งเป็นแม่นมของพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง ศพของแม่นมทั้งสองโปรดให้นำมาปลงที่วัดสุวรรณารามด้วย
“ถึงวัดทองหมองเศร้าให้เหงาเงียบ
เย็นยะเยียบหย่อมหญ้าป่าช้าผี
สงสารฉิมนิ่มน้องสองนารี
มาปลงที่เมรุทองทั้งสองคน”
ต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงปฏิสังขรณ์เพิ่มเติม ขยายเขตให้กว้างขวางออกไปกว่าของเดิม พร้อมทั้งหอระฆัง หอพระไตรปิฏก หอฉัน กุฏิตึก กุฏิฝากระดาน ศาลาการเปรียญ ฯลฯ นับว่ายุคนี้พระอารามเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น … อนึ่งในรัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้มีงานฉลองวัดสุวรรณาราม เมื่อปีเถาะ ตรีศกจุลศักราช 1193 พ.ศ. 2374
พระอุโบสถ มีระเบียงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่อฟ้าใบระกาประดับกระจก หน้าบันจำหลักลายรูปเทพนมและรูปนารายณ์ทรงครุฑปิดทอง
พระวิหาร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นวิหารหลังใหญ่ มีมุขขวางอยู่ 2 ข้าง ช่อฟ้าและใบระกาประดับกระจกหน้าบันจำหลักลายรูปเทพนม หมู่กุฏิสงฆ์ เป็นหมู่ตึก 6 หลัง มีหอฉันอยู่กลางและมีหอเล็กติดกำแพง 2 หอพร้อมทั้งหอระฆังและหอไตร
การบูรณะปฏิสังขรณ์ในยุคปัจจุบันนี้ มีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้ดำเนินการร่วมกับสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ร่วมกันซ่อมหน้าบันพระอุโบสถ ปูหินอ่อน ซ่อมบานประตูหน้าต่าง เปลี่ยนกระเบื้องหลังคา และช่อฟ้าใบระกาพระอุโบสถ ซ่อมพระวิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาท่าน้ำ เก๋งหน้าพระอุโบสถ สร้างฌาปนสถานพร้อมทั้งศาลา 5 หลัง และ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ
พระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 1 สร้างแบบฐานโค้งปากสำเภา เป็นศิลปสมัยอยุธยาตอนปลาย ผสมผสานระเบียบแบบแผนที่เป็นพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 1
.. โดยโครงสร้างพระอุโบสถคล้ายวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่างกันตรงที่อุโบสถวัดสุวรรณารามไม่มีเฉลียงรอบพระอุโบสถ ฐานเป็นลวดบัวฐานปัทม์ทรงอ่อนโค้งปากสำเภา
ด้านในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน "หลวงพ่อศาสดา" พระพุทธรูปหล่อสมัยสุโขทัยปางมารวิชัย พระประธานของพระอุโบสถที่ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธากันมาก
.. โดยมักมีคนมากราบไหว้ขอพร หรือบนบานศาลกล่าว โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับทหาร ซึ่งการบนนั้นก็นิยมแก้บนด้วยการวิ่งม้า แต่ไม่ได้ใช้ม้าจริงๆ เพียงแค่ใช้คนวิ่งและมีผ้าขาวม้าเป็นสัญลักษณ์แทนม้าเท่านั้น โดยประเพณีนี้ก็ยังคงมีสืบทอดมาจนปัจจุบัน
การสร้างหลวงพ่อศาสดา พระประธานในพระอุโบสถวัดสุวรรณาราม มีปรากฏเรื่องเกี่ยวกับการสร้างเป็น 2 นัย คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ว่า พระ พุทธรูปองค์นี้ไม่ปรากฏเรื่องราว แต่พิจารณาจากลักษณะแล้วเห็นว่าเป็นฝีมือเดียวกับช่างที่หล่อพระศรีศากยมุนี ซึ่งอัญเชิญมาจากเมืองสุโขทัยครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหา ราช จึงทรงเห็นว่าคงจะเชิญพระศาสดามาในคราวเดียวกัน
ส่วนหนังสือประวัติวัดสุวรรณาราม กล่าวว่า พระศาสดาองค์นี้ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง และสร้างในสมัยใด สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คงจะทรงหล่อขึ้น เพื่อเป็นพระประธานในพระอุโบสถ เมื่อคราวทรงปฏิ สังขรณ์วัดสุวรรณารามขึ้นใหม่ โดยพระพุทธรูปองค์นี้ไม่ปรากฏนามเฉพาะ มีเพียงชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า "พระศาสดา"
มีเรื่องเล่าขานกันว่า "หลวงพ่อศาสดา" โปรดการวิ่งม้าเป็นอย่างยิ่ง มีคนมาบนบานศาลกล่าวเรื่องของการงานและการค้าขาย เมื่อสำเร็จผล ได้ฝันว่า มีพราหมณ์ท่านหนึ่งมาบอกว่าให้แก้บนด้วยการวิ่งม้า กลายเป็นที่มาของการวิ่งม้าแก้บนที่วัดแห่งนี้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า มีคนมาวิ่งม้าแก้บน แต่แกล้งวิ่งม้าหลอกๆ ไม่ยอมวิ่งจริงๆ แต่ดำเนินไปได้เพียงสักครู่เท่านั้น ทันใดนั้น ได้มีมือขนาดยักษ์มาเขกหัว ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีใครเลย … นับแต่นั้นมา ทำให้หลายคนไม่กล้าวิ่งม้าหลอกๆ แก้บนที่วัดแห่งนี้อีก
วิ่งม้าแก้บน เป็นคติความเชื่อที่สืบทอดกันมาของชาวบ้านบุ ชุมชนในบริเวณวัดสุวรรณาราม อันเกิดจากความเคารพศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อศาสดา ในอดีตการแก้บนวิ่งด้วยม้าก้านกล้วย แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ผ้าขาวม้าแทน
การบนวิ่งม้าที่วัดแห่งนี้ ส่วนใหญ่เป็นการบนบาน เพื่อไม่ให้ถูกเกณฑ์ทหาร ตลอดจนบนให้ประสบความสำเร็จในด้านอื่นๆ โดยมีข้อห้ามมิให้พูดคำว่า "ขอ" เป็นอันขาด การแก้บนจะทำที่ใบเสมาแรกทางด้านหน้าของพระอุโบสถ เพราะตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับหลวงพ่อศาสดาพอดี
ก่อนที่จะทำการวิ่งม้าแก้บน จะต้องนำผ้าขาว ม้ามาวางหน้าใบเสมาและต้องขมวดปมให้เรียบ ร้อย ผ้าขาวม้าผืนเล็ก-ใหญ่ ตามขนาดตัว … ในการวิ่งม้าแก้บน จะต้องวิ่ง 3 รอบขึ้นไป และต้องร้องเสียงม้าไปพร้อมกันด้วย เมื่อวิ่งเสร็จนำผ้าขาวม้ามาวางกับพื้นตรงหน้าใบเสมาใบแรกแล้วกราบลา เป็นอันเสร็จพิธี … ปัจจุบัน วัดสุวรรณาราม มีการบริการให้เยาวชนในชุมชนวิ่งม้าแก้บนแทนผู้บนบานด้วย
ภายในพระอุโบสถของวัดสุวรรณารามยังมีสิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่ นั่นก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านใน ที่ถือว่าโดดเด่นและสมบูรณ์ที่สุดในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ภาพจิตรกรรมเหล่านี้ถูกเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3
3
จิตรกรรมฝาผนังด้านประตูทางเข้า : เหนือประตูเป็นภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ ด้านขวามือเป็นกองทัพของพญามาร ที่เรียกร้องให้พระพุทธองค์ลงจากบัลลัง แต่พระพุทธเจ้าปฏิเสธ กล่าวว่าพระองค์ท่านนั่งมาตั้งแต่อสงไขยแล้ว และทรงใช้พระหัตถ์แตะพื้นให้พระแม่ธรณีเป็นพยาน
.. ตรงกลางของภาพจึงเป็นภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผมเป็นพยาน และด้านซ้ายมือเป็นภาพที่กองทัพพญามารถูกน้ำเลยท่วม พลพรรคพญามารล้มตาย แตกพ่ายไป .. จะเห็นว่าภาพเพียงภาพเดียวแต่สามารถเล่าเรื่องอย่างต่อเนื่องได้ทั้งหมด
ที่น่าสังเกตว่าในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีชาวต่างชาติเข้ามาในกรุงมากมายหลายเชื้อชาติ
จิตรกรจึงวาดภาพผู้คนชาติอื่นให้เป็นสมุนของพญามารซะเลย … น่าสนใจ และน่าคิดมากค่ะ
ด้านข้างเหนือกรอบหน้าต่าง : เป็นภาพเทพชุมนุม เทพทุกองค์นั่งพนมมือ หันหน้าไปยังพระประธาน โดยมีตาละปัดคั่นระหว่างเทพแต่ละองค์
ด้านหลังพระประธานเป็นภาพวาดพุทธภูมิ พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึง ..
ด้านล่างของภาพ จิตรกรได้วาดภาพแสดงถึงวิถีชีวิต บ้านเรือน ความเป็นมาในประวัติศาสตร์ เช่น ภาพของสตรีชาววัง มีภาพนางสนมกำนัล นอกจากนี้ยังมีภาพชีวิตชาวบ้านนอกวัง เช่นภาพหญิงที่ออกไปช่วยสามีหาปลา
ภาพวาดนายทวารบาลบนบานประตูทางเข้าก็งดงามมาก
1
นายทวารบาลแต่ละองค์สวมใส่เสื้อผ้าที่แตกต่าง ไม่ซ้ำกัน
นอกจากนี้ๆรอบๆพระอุโบสถยังมีภาพวาดชาดกตอนสำคัญๆ เช่น พระมหาชนก สุวรรณสาม พระเวสสันดรชาดก เป็นต้น
ทีนี้มาเข้าเรื่องของภาพจิตรกรรมไทยบนฝาผนังที่สวยที่สุดในโลกกันค่ะ …
เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์วัด ก็โปรดเกล้าฯ ให้ช่างมาเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถด้วย
โดยช่างที่มาเขียนภาพนั้นก็เป็นสองสุดยอดช่างในสมัยนั้น ซึ่งก็คือหลวงวิจิตรเจษฎา (ครูทองอยู่) เขียนประชันกับหลวงเสนีย์บริรักษ์ (ครูคงแป๊ะ)
.. โดยขณะที่เขียนภาพประชันกันนั้นใช้ม่านกั้นระหว่างสุดยอดจิตรกรเอกทั้งสองท่าน ไม่ให้มองเห็นผลงานซึ่งกันและกัน
ภาพจิตรกรรมของทั้งสองท่านนั้นก็มีเอกลักษณ์ต่างกันไป ภาพเขียนเรื่องทศชาติตอนเนมีราชชาดกของครูทองอยู่จะเป็นแบบไทยๆ มีการตัดเส้น ที่เมื่อมองครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่าสวย ..
ภาพเขียนทศชาติตอนมโหสถชาดกของครูคงแป๊ะจะเน้นรายละเอียดของผู้คน ทั้งคนไทย จีน ฝรั่ง และใช้สีสดใสในภาพ
ครูคงแป๊ะได้ดัดแปลงเทคนิคแบบจีนมาใช้ โดยเฉพาะการใช้พู่กันปลายเรียวแหลมที่เรียกว่าหนวดหนู ตัดเส้น การใช้สีอ่อนแก่ รวมทั้งการเขียนแรเงาบาง ๆ ทำให้ภาพแสดงการเคลื่อนไหว และมีสีที่สดใส
ภาพเนมีราชของครูทองอยู่ ความงามเกิดจากการจัดองค์ประกอบของภาพที่โดดเด่นแปลกตา ต่างกับภาพในยุคสมัยเดียวกัน เน้นความสมดุลย์เท่าเทียมกันระหว่างซ้ายและขวา รายละเอียดต่างๆเขียนอย่างถี่ถ้วน วิจิตรบรรจง มีระเบียบ ดูโล่งสะอาดตา
จิตรกรรมฝาผนังของไทย ส่วนใหญ่มักจะเน้นการจัดภาพที่แน่นไปด้วยรายละเอียด จนแทบจะไม่มีที่ว่าง บ่อยครั้งเมื่อดุรวมๆภาพจะดูเท่าเทียมกันหมด ไม่มีจุดที่เด่นน่าสนใจลอยออกมาจากภาพ
ภาพเนมีราชของครูทองอยู่ หลุดพ้นปัญหนี้ ด้วยวิธีแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน คือ ล่าง กลาง บน …
บริเวณกึ่งกลาง ซึ่งจับความตอนพระเนมีกำลังแสดงธรรมต่อเหล่าเทวดา คือ ส่วนที่สำคัญที่สุด
ส่วนตอนล่างเป็นช่วงที่เด่นรองลงมา วาดเรื่องราวช่วงที่เสด็จเยือนนรก ซึ่งส่วนนี้ชำรุดเสียหายจนจับเค้าค่อนข้างลำบาก กระนั้นส่วนที่เหลือ ก็เห็นชัดว่าวาดราชรถได้ประณีตอลังการมาก รวมทั้งม้าคู่เทียมรถ ซึ่งท่านครู น. ณ ปากน้ำ เขียนยกย่องชมเชยไว้ว่ายอดเยี่ยมเหลือเกิน
ตอนบน เป็นภาพที่เหล่าเทวดา นางฟ้า เหาะมาเฝ้าพระเนมี เล่าเรื่องแต่น้อย ทว่าเป็นส่วนเสริมเติมความเด่นให้แก่บริเวณหลักในภาพได้อย่างลงตัว และที่น่าประทับใจคือ การใช้ “ลายฮ่อ” (ลายฮ่อ เป็นวิธีการเขียนแบบหนึ่ง หยิบยืมมาจากภาพแบบจีน
.. ทำหน้าที่เทียบเคียงได้กันแถบเส้น “สินเทา” หรือ “เส้นแผลง” ซึ่งมีลักษณะเป็นแถบหยักฟันปลา ใช้สำหรับแบ่งฉากตอนในเรื่องเดียว ให้แยกกันเป็นสัดส่วน แต่ไม่ตัดขาดจากกันโยสิ้นเชิง) ซึ่งเป็นแถบโค้งริ้วๆ ทำหน้าที่แบ่งกั้นเรื่องราวแต่ละส่วน ภาพเนมีราชของครูทองอยู่ ใช้ลายฮ่อได้สวยงามที่สุดในภาพจิตรกรรมไทย
ภาพเนมีราช ครูทองอยู่ใช้สีได้อย่างกลมกลืน ตอนล่างสุดใช้สีดินแดงเป็นพื้น ในขณะที่ตอนบนเป็นสีแดงชาด ส่วนตรงกลางภาพบริเวณปราสาทเน้นสีแดงชาด ตัดด้วยพื้นหลังเป็นสีขาบ (สีน้ำเงิน) ข้างซ้ายขวาวาดต้นไม้แบบปิดทอง ใช้ทองคำเปลวเป็นแผ่นๆปิดลงไปบนรูป แล้วเขียนเส้นตัด
1
“สมเด็จครู” เจ้าฟ้ากรรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงยกย่องชมเชยเอาไว้มากว่า เขียนลายกนกได้ล้ำเลิศ ทั้งละเอียดและประณีต
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ภาพเนมีราชชาดกของครูทองอยู่ “เหนือชั้น” กว่าจิตรกรรมไทยภาพอื่นๆ คือ ฝีมือการเขียนใบหน้าของตัวพระ ตัวนาง หรือเทวดา นางฟ้า
… ซึ่งว่ากันว่า หากไม่เก่งจริง เขียนออกมาแล้วจะดูแบน แข็งเหมือนสวมหน้ากาก แต่ภาพของครูทองอยู่นั้น เหล่าเทวดาและนางฟ้า เข้าขั้น “หล่อ” และ “สวย” มีชีวิตชีวา โดยเฉพาะท่วงท่ามือไม้และนิ้วมือที่อ่อนช้อย หวาน สวยงามมาก
การวาดภาพตัวพระตัวนางในจิตรกรรมไทยนั้น เส้นทุกเส้นจะต้องอ่อนโค้ง สอดคล้อง ขานรับกันตลอด จนดูเหมือนเคลื่อนไหวร่ายรำได้ หากเขียนวาดคลาดหลุดไปนิดเดียว จะทำให้ภาพรวมทั้งหมด “เละ” และ “รวน” ไม่สวยได้ง่ายดาย …
จากภาพที่เห็น มือไม้สายตาของครูทองอยู่นั้น แม่นยำ เข้าขั้นวิเศษ ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องอาศัยเพียงแสงตะเกียงหรือเทียนไข อีกทั้งต้องกางฉากกั้นระหว่างบริเวณวาดภาพของครูทองอยู่และครูทองแป๊ะด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ทึ่งในฝีมือของครูทองอยู่ขึ้นอีกมากมายค่ะ
ภาพที่พระเนมีแสดงธรรม ค่อนข้างจะเคร่งขรึมสำรวม บรรยากาศจึงออกมาทางโอ่อ่า สง่างาม และสงบนิ่ง ตาครูทองอยู่ได้เพิ่มความีชีวิตชีวา ไม่ให้ภาพแห้งแล้งขาดอารมณ์ ด้วยการวาดเทวดานางฟ้า 4 คู่ หยอกล้อโรแมนติกกันอยู่บริเวณต้นไม้นอกกำแพงแก้ว
1
ภาพเทวดานางฟ้าเหล่านี้ โดยพฤติกรรมการแสดงออกแล้ว ควรจะขัดแย้งกับองค์รวมของทั้งหมด แต่ฝีมือวาดที่ถ่ายทอดลีลาแบบนาฏศิลป์อย่างประณีต ก็ทำให้เกิดความกลมกลืนได้อย่างน่าอัศจรรย์
อีกจุดหนึ่งที่เยี่ยมมมาก คือ ภาพจัดองค์ประกอบเอาไว้ค่อนข้างโปร่งตา พื้นที่ว่างจึงมีมากพอสมควร เช่นบริเวณตอนบนพื้นแดง ครูทองอยู่แก้ปัญหาไม่ให้โล่งเกินไป ด้วยการเขียนลายดอกไม้ถมพื้น (ศัพท์ช่างเรียกว่า “ล้วงลลาย” ) … ซึ่งเป็นวิธีที่พบเห็นได้บ่อยๆในจิตรกรรมฝาผนังทั่วๆไป จึงต้องวัดกันที่ฝีมือการวาดลายดอกไม้ว่า ใครจะวาดอ่อนช้อย ผูกลายได้ประณีตกว่ากัน
โจทย์ที่ยากอีกอันหนึ่ง คือ รอบๆกำแพงแก้วที่ขาวโพลน ซึ่งจะวาดลวดลายอะไรลงไปไม่ได้ ครูทองอยู่หาทางออกด้วยการใส่กระถางบัว และไม้ดัดแบบจีน ให้กิ่งก้านแผ่เหยียดสู่ที่ว่างบริเวณของกำแพงแก้วได้อย่างเหมาะเจาะสวนงาม กลายเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งในภาพ
1
ว่ากันว่า ครูทองอยู่เป็นช่างเขียนที่เคร่งครัดในขนบโบราณ (โยพิจารณาจากใบไม้ ซึ่งตัดเส้นทีละพุ่ม ทีละใบอย่างละเอียด) แต่ภาพใบบัว ไม้ดัด ก็สะท้อนให้เห็นว่า ครูทองอยู่ไม่ได้ยึดติดกับอดีตจนสุดขั้ว ถึงกับไม่ยอมรับลีลาใหม่ๆอย่างสิ้นเชิง
... ตรงกันข้าม ท่านสามารถเลือกนำเอาวิธีการวาดแบบจีน เข้ามาผสมกับภาพไทยได้อย่างกลมกลืน และไม่เสียบุคคลิกดั้งเดิม
ดังนั้น คงจะไม่เกินเลยหากจะพูดว่า “ภาพเนมีราชชาดก” ฝีมือครูทองอยู่ เป็นจิตรกรรมฝาผนังที่สวยที่สุดของประเทศไทย แม้จะมีภาพ “มโหสถชาดก” ของครูคงแป๊ะคอยเทียบเคียงอยู่ข้างๆ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพอื่นๆทีีมีรายละเอียดสวยงาม
2 บันทึก
13
3
8
2
13
3
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย