16 ส.ค. 2023 เวลา 08:53 • การเมือง

สถาบันกษัตริย์สำคัญ !! “จารย์เอนก” สะท้อนการเมืองคือการต่อสู้ทางความคิด

มองเชิงบวก..บวก... หยุดวิตกการเมืองติดหล่มวิกฤติ กำลังเข้าโหมดปรองดอง ปรับลุคสู่พหุนิยมมากขึ้น มีประชาธิปไตย-สถาบันพระมหากษัตริย์-ข้าราชการ-ทหาร-ราษฎร อยู่คู่ไทย เปิดโอกาสเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
“ธรรมชาติการเมืองไทยเป็นแบบนี้ คนไทยเองก็ไม่ถนัดแตกหัก มีคอมมอนเซนส์ที่จะรู้ว่าเปลี่ยนแค่ไหน สิ่งสำคัญสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ปรับตัวเปลี่ยนแปลงตลอด ถ้าพระองค์ท่านไม่ปรับ เราคงไม่มีประเทศแล้ว”
คีย์แมสเสจ “ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์พิเศษด้านรัฐศาสตร์ เจ้าของทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย แนวทางการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ เพื่อประชาธิปไตย
มองบรรยากาศการเมืองว้าวุ่นผ่านสายตาคนร่วมสมัย บอกด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นในความสามารถของคนไทย ที่เอาตัวรอดจากวิกฤติการเมือง ความเสี่ยง ความอันตรายจากความขัดแย้งในแต่ละช่วงแตกต่างกันไปได้
รอดมาได้เสมอ...อย่างน่าอัศจรรย์ !!
คนไทยเองไม่ถนัดในการแตกหักหรอก ตอนนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่เลวร้าย เพียงแต่ขอให้มีความระมัดระวัง มีจิตใจปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองมากขึ้น อะไรปรองดองได้ สามัคคีได้ ยอมกันได้ก็ยอม แทนที่จะมาดื้นรั้นอย่างเดียว...เชื่อผ่านไปได้ดี
ต้องรอพิสูจน์ความสามารถผู้นำในหลาย ๆ ฝ่าย จะนำประเทศออกจากความขัดแย้งได้มากน้อยแค่ไหน จะใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ เพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติของการเมืองไทย ซึ่งจากนี้ไปจะเป็นการปรองดอง ประนีประนอม
เราต้องเชื่อมั่นตัวเอง ไม่มองตัวเองต่ำไป !!
ที่พูดแบบนี้ เพราะใช้มุมมองที่ทอดยาวออกไป จึงไม่วิตก เราเห็นการเมืองไทยมาตั้งแต่ 24 มิ.ย. 2475 จนถึงปัจจุบัน การเมืองไทยมีลักษณะแบบนี้มาตลอด
เผชิญหน้า -> แตกหัก –> นองเลือด -> ประนีประนอม ปรองดอง สามัคคี -> เปลี่ยนแปลง -> สงบ –> เริ่มขัดแย้ง -> วนลูปแตกหักอีกครั้ง เป็นแบบนี้มาตลอด...เป็นธรรมชาติของการเมืองไทย
มันมีการพัฒนามาตลอด อย่าดูแค่รัฐบาลชุดใดชุดหนึ่ง เวลามันสั้น – จำกัด – มีความไม่แน่นอนสูง !!
การเมืองไทยไม่ใช่แค่เปลี่ยน ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มใหม่ ๆ เข้ามาได้ไม่หยุด ดูสิเราเป็นประเทศที่เลือกตั้งที...มีนักการเมืองใหม่ ๆ เข้ามาครึ่งหนึ่ง...จำหน้าสส. ไม่ได้เลย ฮา ฮา ฮา
ทุกรัฐบาลก็คงไม่เลวหรอก ไม่ได้ปิดกั้นภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เศรษฐกิจชุมชนในชนบท เวลานี้ไทยมีโอกาสสูง...ง..ง...เป็นประเทศที่พัฒนา แล้วจะไม่พอใจประเทศของเราได้อย่างไร....คิดว่าน่าจะพอใจน่ะ !?
โดยส่วนตัวไปต่างประเทศมาเกือบทุกทวีป คิดว่าไม่มีที่ไหน…ดีไปกว่าประเทศไทย บ้านเราน่าอยู่ หรือแม้แต่คนลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ เขาอยู่ด้วยความอึดอัด เราก็ปรารถนาให้เขากลับมา เพราะทุกมิติมีความเป็นไปได้ มีทางออก
สิ่งสำคัญที่สุด…ขอให้มั่นใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีใครมาล้มล้าง เปลี่ยนแปลง ปฏิรูป คนไทยเชื่อมั่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่มานาน
พระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านปรับตัวมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เพราะจริง ๆ ถ้าพระองค์ท่านไม่ปรับ
เราคงไม่มีประเทศแล้ว !!
มองผ่านเลนส์ประวัติศาสตร์ การเมืองไทยเป็นเรื่องของความคิด !?
เมื่อก่อนโลกตะวันตกเป็นศูนย์กลาง ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์ท่านก็ไปรับแนวทางต่างประเทศ ฟากตะวันตกมา
ตอนรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านทำตำรวจ !! ให้ฝรั่งมาเป็นอธิบดีคนแรก แล้วมีคนไปถามท่านว่า...ทำไมไม่เอาคนไทย !?...เพราะคนไทยด้วยกันเขาไม่จับกัน !!
เหมือนตำรวจทุกวันนี้ยังถือหลักการที่ว่า พยายามไม่เอาคนท้องถิ่น ท้องที่นั้น ๆ แหละมาเป็นตำรวจมากนัก ยังต้องผลัดเวียนคนจากส่วนกลาง จากจังหวัดอื่น ๆ มาเป็นผู้กำกับ ผู้การ แม้กระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็เหมือนกัน
นาน ๆ ๆ ๆ ทีมีผู้ว่าฯ เป็นคนจังหวัดนั้นสักคน เพื่อไม่ให้ชิดเชื้อกันจนเกินไป เดี๋ยวคนเก็บภาษี มันก็ญาติเรา หรือทำอะไรก็ได้หมด
เพราะฉะนั้นการปกครองตนเองในเชิงปฏิบัติ...มันไม่ง่ายสักเท่าไหร่ ต้องค่อย ๆ ทำไป อย่ารีบร้อน เพราะมนุษย์เราอยู่กับความเคยชิน...ต้องยอมปรองดองกับของเดิมด้วย
ต่อที่การเมือง 2475 !! สิ่งแรกที่คณะราษฎร์ทำหลังจากชนะ คือการเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 7 ขอพระราชทานขมาโทษ ถือเป็นการเปลี่ยนจากเผชิญหน้า แล้วนำมาสู่การแตกหัก
พระองค์ท่านยอม ให้คณะราษฎร์ไปขอขมา ไปขอพระราชทานอภัยโทษ
สิ่งแรกที่พระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่ทำ คือลงพระปรมาภิไธย ออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้แก่คณะผู้ทำการเปลี่ยนแปลงทุกคน
หลังจากนั้น มีความพยายามประนีประนอมกันมาตั้งแต่ปี 2475 - 2477 แล้วเกิดขัดแย้งกันอีก ประนีประนอมกันอีก แต่ในที่สุดขัดแย้งอย่างหนัก พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สละพระราชสมบัติ ในปี 2477
คณะราษฎร์ เข้าปกครองประเทศ !! ขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 อยู่ต่างประเทศ ยังทรงพระเยาว์มาก เรียนอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์
ประเทศไทยจึงไม่มีพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ปี 2477 – 2489 !! สถานการณ์ดูเหมือนสงบไปพักหนึ่ง
แต่พอสงครามโลก ปี 2483 – 2484 – 2489...คณะราษฎร์แตกเป็น 2 ปีก คือปีกปรีดี พนมยงค์ กับปีกป.พิบูลสงคราม ในที่สุดปีกปรีดีแพ้...ออกนอกประเทศไปในปี 2489
จอมพล ป.พิบูลสงคราม ครองอำนาจเบ็ดเสร็จ !!
พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จนิวัติพระนคร ปี 2493…ดูเหมือนสงบ !!
แต่ในที่สุดจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ปฏิวัติยึดอำนาจ เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ป.พิบูลสงคราม กับกลุ่มสี่เสาเทเวศร์ นำโดยจอมพลสฤษดิ์ - จอมพลถนอม จอมพลประภาศ กิตติขจร เป็นผู้สนับสนุนสำคัญ
ทำให้จอมพลสฤษดิ์ ครองอำนาจยาวนาน 4 – 5 ปี ต่อด้วยจอมพลถนอม อีก 10 ปี และเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ขั้วซ้ายขวาขัดแย้งกันหนัก - หนีเข้าป่า – ป่าแตก – ยุติลง
วนอยู่อย่างนี้...ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น น่าวิตกกังวล เพราะธรรมชาติการเมืองไทยเป็นอย่างนั้น
หวนระลึกถึงเหตุการณ์...ในรัชกาลที่ 9
ตอนเวียดนามบุกกัมพูชา พระมหากษัตริย์สนับสนุนให้ประเทศไทยข้ามจากที่เคยเป็นศรัตรูกับจีน มาเป็นมิตรกับจีน เพื่อทำให้เกิดเสถียรภาพในเอเชีย
พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์...ที่ไม่มีอยู่ในตำรา !!
เป็นอารมณ์ ความรู้สึกในแบบที่ไม่ตรงกับตะวันตกซะทีเดียว เพราะตามทฤษฎีตะวันตก เชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยจะทำให้คนได้ประโยชน์มากที่สุด
.
“---คนไทยสมัยผมเชื่อกันว่า...ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง – ทหารที่มาจากการยึดอำนาจ
ทำประโยชน์ให้แก่คนไทย...ไม่เท่ากับที่ในหลวงทำ
คำว่าในหลวง หรือคิง (King) ถ้าเป็นความคิดตะวันตก ส่วนใหญ่ คือต้องค่อย ๆ ทำให้หมดไป เพราะว่าไม่มีประโยชน์กับประเทศชาติมากขึ้น เป็นเพียงของเก่า
แล้วพระมหากษัตริย์แบบฝรั่ง...ปรับตัวไม่ทัน แต่พระมหากษัตริย์ของไทย ปรับตัวในสมัยรัชกาลที่ 9 ได้ดีมาก---”
.
เกิดเป็นหลายสิ่งหลายอย่าง บางคนเรียก ราชประชาสมาสัย (การปกครองแบบราชประชาสมาสัย) ทำให้คนไทยมีความรู้สึกต่อเนื่อง เกิดความสมัครสมาน ตอนนั้นทำให้สามารถผ่านยุคสงครามเย็นไปได้
พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านเสี่ยงภัย เสี่ยงอันตราย ทำงานในเขตแนวหน้า อยู่กับทหาร ปรับปรุงโรงพยาบาลที่จ.น่าน เป็นต้น
พระองค์ท่านทำเต็มที่ ยืนหยัดสู้…ทำให้คนไทยไม่กลัวทฤษฎีโดมิโน !!
เพลงความฝันอันสูงสุด เพลงแผ่นดินของเรา...ได้ปลุกใจให้คนไทย อย่าไปคิดว่าประเทศไทยจะเป็นโดมิโนที่ล้มตาม
สถาบันพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 เวลาพระองค์ท่านเสด็จ มีถ่ายเซลฟี่ด้วย หรืออยู่ในที่ไม่เหมาะสมให้กราบไหว้ พระองค์ท่านก็บอกให้ทำความเคารพปกติ หรือแขกต่างบ้าน ต่างเมืองมา อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือที่ไหน ๆ ก็มาต้อนรับได้ ยิ้มแย้มแจ่มใส
เราเห็นการเปลี่ยนแปลง...เปลี่ยนแปลงเยอะมาก ๆ !!
“--- สิ่งที่ผมมีความเชื่อ !! ผมเชื่อมั่นพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านยึดกุมแนวที่ถูกต้องหลาย ๆ เรื่อง ท่านไม่โกรธ ไม่พูดอะไร ไม่ทำอะไรให้เกิดความร้าวฉาน
พระองค์ท่านมีปณิธานแน่วแน่
ผมเชื่อประเทศไทยเรา สถาบันพระมหากษัตริย์สำคัญแน่ ๆ เป็นสถาบันที่ยาวนานมาก ๆ และเรามีพระมหากษัตริย์ที่เก่ง ปรีชาสามารถ กล้าหาญเยอะแยะไปหมด และการเปลี่ยนแปลงจากข้างบนเป็นแนวทางสำเร็จมากที่สุด
ในประวัติศาสตร์ไทย มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญจากข้างบน แต่ในที่สุดเรายอมรับการเปลี่ยนแปลงจากข้างล่าง...ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับ
เราจะทำอย่างไรให้ประเทศไทย มีทั้งประชาธิปไตย - สถาบันพระมหากษัตริย์ - ข้าราชการ - ทหาร – ราษฎร...มีความเป็นพหุนิยมขึ้นมาก
และโดยธรรมชาติมนุษย์ก็อยู่ด้วยความเคยชิน จึงต้องยอมปรองดองกับของเดิมด้วย
และคนไทยจริง ๆ เป็นพวกอนุรักษ์นิยม คือไม่ใช่ไม่เปลี่ยน แต่มีคอมมอนเซนส์พอที่จะรู้ว่าเปลี่ยนแค่ไหน
1
เมื่อก่อนตอนผมเด็ก ๆ เชื่อว่าอะไร ๆ ถูก !! ผู้ใหญ่ผิ๊ดผิด เราถู๊กถูก แต่พออายุมากขึ้นจะเห็นอะไรบางอย่างเก่งขึ้น
เพราะภูมิปัญญาบางเรื่อง...มันได้เมื่ออายุมากขึ้น !!
พอช่วงท้าย ๆ ของชีวิตเริ่มมีความถ่อมตัวมากขึ้น ว่าเกิดมาเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้มากหรอก แต่ตอนเยาว์วัย...เราคิดว่าต้องเปลี่ยนอะไรได้หมด ---”
.
#WhoChillDay
16 ส.ค. 2566
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามอ่านทุกเรื่องราว
และทักทาย WhoChillDay นะคะ
#เอนก เหล่าธรรมทัศน์ #สถาบันพระมหากษัตริย์
#ธรรมชาติการเมือง #สองนครา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา