17 ส.ค. 2023 เวลา 16:00 • กีฬา

การสูญเสียคุณแม่ คือเรื่องที่หนักกว่าทำงานใหญ่

ในประวัติศาสตร์ของเชลซี เชื่อว่าฤดูกาลที่พวกเขาจบซีซั่นแบบมือเปล่าที่น่าเจ็บปวดที่สุดคงหนีไม่พ้นฤดูกาล 2007-08 ที่คว้า "ทริปเปิ้ลรองแชมป์"
ทีมชุดนั้นที่คุมโดย อัฟราม แกรนท์ แพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในช่วงต่อเวลาของนัดชิงชนะเลิศ, ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย เอฟเอ คัพ แต่ที่น่าเสียดายยิ่งกว่าก็คือในรายการใหญ่อย่างพรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ได้แค่รองแชมป์ ส่วนผู้ชนะเลิศคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้ง 2 รายการ
ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้น เชลซีจบอันดับ 2 โดยมีแต้มเป็นรองทีมปีศาจแดงแค่ 2 แต้ม และผลต่างประตูได้-เสียน้อยกว่าอยู่ 19 ลูก ส่วนเกมที่น่าเสียดายที่สุดคือนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เพราะขอแค่ จอห์น เทอร์รี่ ที่สังหารเป็นคนที่ 5 ซัดไม่พลาด ตอนนั้นเชลซีก็จะได้ฉลองแชมป์ยุโรปสมัยแรกไปแล้ว และทีมปีศาจแดงก็จะไม่ได้เฮแบบสุดเหวี่ยงหลังจบเกมนั้นแน่
เรื่องราวที่น่าพูดถึงจากเมื่อ 15 ปีก่อน ก็คือในเดือนเมษายนปี 2008 กองกลางคนสำคัญที่สุดในทีมอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องสูญเสียแม่ไป และเขามีทั้งเกมที่พลาดลงสนามที่ส่งผลต่อโอกาสลุ้นแชมป์ลีกในบั้นปลาย รวมถึงเกมที่เขาฝืนลงเล่นทั้งที่หัวใจสลาย แต่ก็ช่วยให้เชลซีผ่านเข้าชิง UCL หนแรกในประวัติศาสตร์ได้สำเร็จเช่นกัน
ในซีซั่น 2007-08 ต้องบอกเลยว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด คือนักเตะที่ผลงานดีที่สุดของเชลซี เขายิงไป 10 ประตูในพรีเมียร์ลีก และ 20 ประตูนับรวมทุกรายการ แถมยังทำแอสซิสต์รวมทุกถ้วยไม่ต่ำกว่า 10 ลูก ถือเป็นผู้เล่นที่มีส่วนร่วมกับประตูโดยตรงของทีมสิงห์บลูส์มากที่สุดในฤดูกาลนั้น
ณ ตอนนั้น แลมพาร์ดอายุ 29 ปีถือว่าอยู่ในวัยที่พีคที่สุดของอาชีพ แต่ในช่วงเดือนเมษายน 2008 เขาเจอกับปัญหาในชีวิตส่วนตัวที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นกับเขา
คุณแม่ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มีชื่อว่า แพท แลมพาร์ด (ส่วนคุณพ่อชื่อว่าแฟร้งค์เหมือนกัน สมัยนั้นคนจะเรียกพ่อของเขากันว่า "แฟร้งค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์") ซึ่งคุณแม่แพทเกิดป่วยหนักด้วยโรคปอดอักเสบ และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล วิปป์ส ครอสส์ ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายนของปีนั้น
ในวันที่ 14 เมษายน 2008 เชลซีต้องเปิดบ้านรับมือ วีแกน แอธเลติก ซึ่งสถานการณ์ของพลพรรคสิงห์บลูส์ตอนนั้นจำเป็นต้องชนะให้ได้สถานเดียว ถึงจะยังมีลุ้นรักษาโมเมนตัมแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อไป เนื่องจาก 1 วันก่อนหน้า ทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สามารถเปิดบ้านเอาชนะอาร์เซน่อลได้ 2-1 จึงฉีกหนีไปเป็น 6 แต้ม แต่ถ้าเชลซีที่ลงเตะทีหลังสามารถชนะวีแกนได้ ช่องว่างจะเหลือแค่ 3 แต้ม ก่อนลุ้นกันต่อในโปรแกรม 4 นัดสุดท้าย
ทว่าก่อนเกมจะเริ่มไม่กี่ชั่วโมง แลมพาร์ดซึ่งเก็บตัวร่วมกับต้นสังกัดอยู่ในโรงแรมได้รับแจ้งจากพี่สาว 2 คนทั้ง นาตาลี แลมพาร์ด และ แคลร์ แลมพาร์ด ว่าคุณแม่อันเป็นที่รักเกิดป่วยหนักต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล เขาตัดสินใจขออนุญาตผู้จัดการทีมอย่าง อัฟราม แกรนท์ เพื่อเดินทางไปดูอาการแม่ทันที
1
แน่นอนว่ากุนซือชาวอิสราเอลคงอยากส่งแลมพาร์ดลงสนาม แต่ในเมื่อลูกทีมคนสำคัญได้รับข่าวร้ายจากคนในครอบครัว การฝืนให้ลงเล่นโดยสภาพจิตใจไม่พร้อมจะไม่เป็นผลดีกับใครเลย จึงต้องให้ จอห์น โอบี มิเคล ลงเล่นแทน แล้วปล่อยให้กองกลางทีมชาติอังกฤษไปเฝ้าอาการของแม่
การขาดแลมพาร์ดทำให้พลังในเกมรุกลดลงไปชัดเจน สุดท้ายก็ทำได้แค่เสมอกับวีแกนไป 1-1 โดยที่มาเสียประตูในนาทีสุดท้ายอย่างน่าเจ็บปวดให้กับลูกยิงของ เอมิล เฮสกี้ สุดท้ายจึงต้องจบเกมด้วยการตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ห่างถึง 5 แต้ม
หลังจากที่แฟร้งค์ไปเฝ้าอาการของ แพท แลมพาร์ด ในวันที่ 14 เมษายน คุณแม่แพทต้องอยู่ในห้องไอซียูนานประมาณ 1 สัปดาห์ ทำให้กองกลางจอมถล่มประตูต้องพลาดลงสนามอีกนัดในเกมลีกที่บุกเยือนเอฟเวอร์ตัน
ยังดีที่ในวันนั้น ขุนพลสิงห์บลูส์รวมพลังกันบุกชนะทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินได้ 1-0 ทำให้ขยับทำแต้มไล่จี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหลือ 2 แต้ม แล้วเมื่อทีมปีศาจแดงพลาดสะดุด บุกไปเสมอกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 1-1 ในอีก 2 วันถัดมา ทำให้ช่องว่างที่เชลซีตามหลังจ่าฝูงเหลือแค่ 3 แต้มเท่าเดิม ก่อนจะมีคิวเจอกันที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
ตอนนั้นดูเหมือนว่ากำลังจะเป็นสถานการณ์ที่ดีมากต่อสภาพจิตใจของแลมพาร์ด เพราะนอกจากเพื่อนร่วมทีมจะช่วยกันสู้เพื่อให้ความหวังมีลุ้นแชมป์ยังอยู่ต่อไปไม่ไปไหน อาการของคุณแม่แพทก็ดีขึ้น จนเขากลับไปลงเล่นให้ต้นสังกัดได้อีกด้วย ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ซึ่งบุกไปเสมอลิเวอร์พูล 1-1 ที่แอนฟิลด์ ในคืนวันอังคารที่ 22 เมษายน 2008 โดยได้ประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากการทำเข้าประตูตัวเองของ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่
การกลับออกจากแอนฟิลด์แบบไม่แพ้ และจะได้ลงเล่นเกมรอบตัดเชือกนัดชี้ชะตาในบ้านตัวเอง ทำให้แลมพาร์ดมีความฮึกเหิมเต็มเปี่ยมว่าต้องพาเชลซีผ่านเข้าสู่รอบชิง UCL หนแรกได้แน่ แต่กลายเป็นว่าในอีกแค่ 2 วันต่อมา เขาต้องเจอกับข่าวที่ทำให้หัวใจเขาแตกสลาย
เช้าวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2008 แลมพาร์ดได้รับแจ้งข่าวร้ายจากโรงพยาบาล วิปป์ส ครอสส์ ว่าคุณแม่ของเขาต้องจากโลกนี้ไปเพราะมีอาการแทรกซ้อนจากโรคปอดอักเสบจนเลือดออกในสมองและจากไปด้วยวัย 58 ปี
เชลซีออกแถลงการณ์ให้กำลังใจมิดฟิลด์คนสำคัญผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรว่า "แพท (แลมพาร์ด) มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับหลายๆ คนในสโมสรเชลซี เธอให้การสนับสนุนแฟร้งค์ในทุกๆ นัด ซึ่งแพทและคุณพ่อของแฟร้งค์มักเดินทางมาให้กำลังใจลูกชายที่สนามเสมอ"
"ต่อจากนี้เธอจะอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเราทุกคน แต่ ณ เวลานี้ สโมสรต้องยืนอยู่เคียงข้างกับแฟร้งค์ และครอบครัวของเขาต่อไป"
แฟร้งค์ แลมพาร์ด แบกโลงศพที่บรรจุร่างคุณแม่ของเขา ซึ่งจากโลกนี้ไปด้วยโรคปอดอักเสบเมื่อเดือนเมษายน 2008
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2008 เชลซีมีเกมนัดสำคัญมากต่อโอกาสตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการเปิดบ้านพบจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งถ้าหากทีมสิงห์บลูส์ชนะได้ แต้มจะเท่ากันทันที และเหลือโปรแกรมอีกแค่ 2 เกม ถือเป็นเกมที่สำคัญอย่างยิ่งยวดซึ่ง อัฟราม แกรนท์ จำเป็นต้องมีทีมที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ความเป็นมนุษย์คือเรื่องที่สำคัญกว่า มันคงเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากที่ต้องบังคับให้คนที่แม่เพิ่งตาย และไม่มีกะจิตกะใจลงซ้อมฝืนลงสนาม ซึ่งแน่นอนว่าเชลซีปล่อยให้แลมพาร์ดลางานไปจัดงานศพคุณแม่ให้เต็มที่ ส่วนทางนี้พวกเราจะพยายามจัดการเต็มที่เอง
เชลซีรวมพลังโค่นทีมปีศาจแดงได้ 2-1 จากการเหมาคนเดียว 2 ประตูของ มิชาเอล บัลลัค ทำให้เป็นการการันตีว่าพลพรรคสิงห์บลูส์จะอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกต่อจนถึงนัดสุดท้าย
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจงานศพของคุณแม่ แลมพาร์ดกลับมารายงานตัวกับสโมสรอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่าเชลซียังมีอีกเกมสำคัญมากรออยู่ นั่นคือรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ 2 ที่ต้องพบกับลิเวอร์พูลที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
ใน 90 นาที ทั้งสองทีมเสมอกัน 1-1 ทำให้ต้องเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ และนาทีที่ 98 เชลซีก็มาได้จุดโทษ ซึ่งคนสังหารมือหนึ่งของทีมอย่างแลมพาร์ดรับหน้าที่ตามปกติ แม้ว่าเพิ่งจะสูญเสียคุณแม่ไปไม่กี่วันก็ตาม
แลมพาร์ดซัดไม่พลาดให้เจ้าบ้านขึ้นนำหงส์แดงในช่วงต่อเวลา เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จากการที่ยิงประตูได้ในช่วงเวลาบีบหัวใจ โดยฉลองประตูด้วยการชูสองนิ้วขึ้นฟ้า เป็นสัญลักษณ์ว่าส่งสัญญาณบอกคุณแม่บนสวรรค์ (ซึ่งในเวลาต่อมา ท่านั้นกลายเป็นท่าดีใจประจำตัวของแลมพาร์ด) โดยมีเพื่อนร่วมทีมวิ่งเข้ามารุมกอด ทั้งปลอบ ทั้งสะใจ และกระตุ้นให้มีสมาธิกับช่วงเวลาที่เหลือของเกมต่อ
แลมพาร์ดฉลองประตูที่ยิงใส่ลิเวอร์พูลด้วยลูกจุดโทษ ในช่วงต่อเวลาของรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลกสอง ปี 2008 ด้วยการชูนิ้วขึ้นฟ้าพร้อมน้ำตา
จบเกม เชลซีต่อเวลาชนะลิเวอร์พูลได้ 3-2 สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นหนแรกได้สำเร็จ
น่าเสียดายมาก ที่ในช่วงท้ายฤดูกาลนั้น สุดท้ายเชลซีก็พลาดแชมป์ใหญ่ทั้ง 2 รายการ แต่สิ่งที่ยากลำบากยิ่งกว่าสำหรับแลมพาร์ดก็คือการมูฟออนจากการสูญเสียแม่ไปให้ได้
การไม่ได้แชมป์ในช่วงวัยพีคของอาชีพ มันยังมีฤดูกาลถัดไปให้แก้ตัว แต่คนเรามีแม่เพียงคนเดียว และมันย่อมใช้เวลานานมาก กว่าจะผ่านความเสียใจไปได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งมากแค่ไหน
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แลมพาร์ดเพิ่งไปเล่าเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อนผ่านรายการพอดแคสต์ชื่อว่า Diary of a CEO โดยยอมรับว่าก่อนที่เขาจะอายุ 30 เขาคือหนุ่มที่เป็นลูกแหง่คนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ที่น่าเศร้าในวัยที่กำลังฟอร์มพีคที่สุดในอาชีพนักฟุตบอล
"นั่นคือช่วงเวลาที่ผมถูกท้าทายถึงขีดสุดต่อสุขภาพจิต"
"ผมคือคนที่เติบโตมาโดยเป็นเด็กติดแม่ ผมมีท่านเป็นที่พึ่ง และตอนที่ผมอายุมากขึ้น ผมเริ่มมีความกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณแม่ไม่อยู่แล้ว"
"ตอนนั้นผมอายุ 29 มันเกิดขึ้นกะทันหันมาก ผมอยู่ในโรงแรมที่เราคุ้นเคยกันสำหรับเตรียมพร้อมก่อนเกม เรากำลังจะเล่นกับวีแกนในตอนเย็น แล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาว พวกเธอบอกผมว่าแม่ป่วยหนักและกำลังไปโรงพยาบาล"
"หลังจากนั้นคุณแม่ค่อยๆ ดีขึ้นนิดหน่อย แล้วหลังจากนั้นกลายเป็นว่าพวกเราได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแล้วมีคนบอกว่าท่านจากไปแล้ว พวกเขาบอกว่าท่านมีเลือดออกในสมอง"
"แค่ตอนที่ท่านอาการดีขึ้น ทุกคนก็ตื่นเต้นกันแล้ว แต่แล้วจู่ๆ ท่านก็จากไป มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ใจสลายที่สุดแล้วสำหรับผม"
"หลายปีต่อมา ผมตระหนักดีว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้กับคนอื่นๆ อีกหลายคน และเมื่อคุณเป็นคนหนุ่มที่ไม่เคยสูญเสียใครมาก่อนเลย คุณไม่มีความรู้สึกแบบที่ผมเจอตอนนั้นจริงๆ หรอก"
"ผมสูญเสียบุคคลที่ผมใกล้ชิดมากที่สุด เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ผมไม่มีวันลืมความรู้สึกในมวลท้องของผมในวันนั้น ถ้าหากผมพูดถึงมัน มันก็คงมีอาการแบบนั้นได้อีก"
"ผมเสียเพื่อนที่ดีที่สุด สูญเสียคนที่มอบทุกความรู้สึกและความอบอุ่นให้กับผม ความรู้สึกที่คุณต้องรับมืออย่างฉับพลันว่าจะมีใครบางคนไม่อยู่กับคุณอีกแล้ว มันจะเทียบกับอะไรไม่ได้เลย เมื่อคุณสนิทกับคนคนนั้นมากขนาดนั้น"
แฟร้งค์ แลมพาร์ด กับคุณแม่อันเป็นที่รักยิ่งของเขา แพท แลมพาร์ด
ผมเชื่อว่าทุกทุกคนมีความบ้างาน หรือบ้าความสำเร็จต่างกัน บางคนอาจจะทุ่มเทถวายชีวิตเพื่อองค์กร บางคนรักในธุรกิจตัวเองจนถึงขั้นทุ่มเททำงานจนตายคาโต๊ะได้
แต่ที่แน่ๆ ทุกคนล้วนมี "ครอบครัว" และที่แน่ๆ ก็คือทุกคนล้วนมีพ่อมีแม่
ใครก็ตามที่มองว่าการสูญเสียแม่คือเรื่องที่เล็กกว่างานใหญ่ คนนั้นอาจจะเป็นคนที่ไม่เคยได้รัก หรือรับความรักจากแม่บังเกิดเกล้ามากพอซะมากกว่า
#เสียบสามเหลี่ยม #แลมพาร์ด #แฟร้งค์แลมพาร์ด #เชลซี #UCL #พรีเมียร์ลีก #แชมเปี้ยนส์ลีก #ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก #Mother #แม่ #พี่กบ
โฆษณา