19 ส.ค. 2023 เวลา 03:47 • กีฬา

วาตารุ เอ็นโด มิดฟิลด์ญี่ปุ่นตัวใหม่หงส์ นักเตะที่ไม่หวือหวาแต่เชื่อใจได้ 100%

คำจำกัดความของวาตารุ เอ็นโดะ สมัยเล่นอยู่กับสโมสรแรก โชนัน เบลล์มาเร่ นักข่าวชาวญี่ปุ่นชื่อ นาโอโตะ ฟูจิเอะ เคยให้นิยามเอาไว้ว่า "เป็นกองหลังที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรับ จะเล่นหลังสาม หรือเล่นหลังสี่ หรือดันขึ้นมายืนกองกลางก็ได้ เขาเป็นมิดฟิลด์ที่หลากหลาย"
1
เอ็นโดะ เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเกมรับเป็นอันดับหนึ่ง ตอนที่เขาย้ายจากโชนันไปอยู่อุราวะ เรด ไดมอนด์ เคยมีดราม่ากับเฮดโค้ช มิไฮโล เปโตรวิช ที่เล่นเกมรุกมากเกินไปจนทีมไม่ชนะ
เอ็นโดะ ให้สัมภาษณ์ในปี 2017 ว่า "ผมจะรู้สึกมั่นใจว่าเราเล่นเกมรับกันได้ดี คือผมเข้าใจว่าคาแรคเตอร์ของอุราวะเราจะชอบเล่นเกมบุก และถ้าไม่ได้เล่นบุกเต็มสูบก็เหมือนไม่ใช่สไตล์ของเรา แต่การเล่นแบบนั้น มันก็จะเสียประตูง่าย และเราจะไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ ถ้าเราไม่ชนะ ดังนั้นเราต้องเลือกวิธีการเล่นที่ปลอดภัย อยู่ในโลกแห่งความจริง เพื่อคว้าแต้มมาครองให้ได้"
อุราวะของเอ็นโดะ เป็นจ่าฝูงเจลีก ฤดูกาล 2017 อยู่ในช่วง 10 เกมแรก แต่เพราะเกมรับที่รั่วเกินไป เสียเยอะสุดในเจลีก ถ้าไม่นับทีมตกชั้น สุดท้ายเลยจบอันดับ 7 ของตารางคะแนน อย่างไรก็ตาม ใน AFC Champions League สามารถไปถึงแชมเปี้ยนได้
กับสโมสร เอ็นโดะเล่นเซ็นเตอร์แบ็กสลับกับแบ็กขวา แต่ในทีมชาตินั้น เขาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ในโอลิมปิก 2016 ที่ริโอ โค้ช "เทกุ" ที่เคยคุมบีจี ใช้งานเอ็นโดะเป็นตัวจริงทั้ง 3 นัด ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับทั้งหมด
ในปี 2018 แซงต์ ทรุยดองส์ ทีมในลีกเบลเยี่ยม ซื้อตัวเอ็นโดะไปร่วมทัพด้วย ในราคา 1 ล้านเยน (240,000 บาท) อย่างที่เราทราบกันว่า ในลีกญี่ปุ่นจะมีสัญญาลูกผู้ชายกันอยู่ ถ้าหากทีมจากยุโรปมายื่นซื้อนักเตะ ก็พร้อมจะปล่อยทันที แม้จะได้ค่าตัวไม่สูง เพื่อให้นักเตะได้เติบโต และเป็นกำลังสำคัญให้ทีมชาติในอนาคต
โดยแซงต์ ทรุยดองส์ขณะนั้น นอกจากมีเอ็นโดะแล้ว ก็มีนักเตะญี่ปุ่นอีกสองคนคือ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ และ ทาคาฮิโระ เซกิเนะ ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะซื้อ ไดจิ คามาดะ, ยูตะ โคอิเกะ และ โคสุเกะ คิโนชิตะ ทยอยตามกันมา
เมื่อได้รับข้อเสนอจากทีมในยุโรป เอ็นโดะพร้อมย้ายทันที เพราะความฝันของเขาคือได้เล่นในยุโรปเท่านั้น แม้จะไม่รู้จักฟุตบอลเบลเยี่ยมมาก่อนเลยก็ไม่สำคัญ เดี๋ยวเรียนรู้กันไปได้ แต่โอกาสย้ายไปยุโรปต่างหาก ที่สำคัญกว่า
1
ที่แซงต์ ทรุยดองส์ Facility ต่างๆ แย่กว่าที่อุราวะเสียอีก เอ็นโดะเล่าว่า "สัปดาห์แรกของผมมันสาหัสมาก บรรยากาศรอบๆ ไม่มีอะไรดีเลย ผมอยู่ในห้องเล็กๆ ของโรงแรมที่มีแค่เตียง กับ ฝักบัว แค่นั้นเลย มันเหมือนอยู่ในหอพักเสียมากกว่า มันเป็นชีวิตที่ไม่เหมือนกับญี่ปุ่นเลยสักนิด"
1
ชีวิตต่างๆ แม้จะแย่กว่าญี่ปุ่น แต่ในสนามฟุตบอล เอ็นโดะ เติบโตขึ้น โดยเฮดโค้ชมาร์ก บรีส ไม่ให้เขาเล่นกองหลังอีกต่อไป แต่ให้เล่นเป็นมิดฟิลด์อย่างเดียวเท่านั้น
คือมันก็สมเหตุสมผลดี เพราะเอ็นโดะสูงแค่ 178 ซม. คือพูดกันตรงๆ ถ้าคุณสูงไม่ถึง 180 ซม. มันยากมาก ที่จะเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กในลีกยุโรป เพราะไม่สามารถแย่งโหม่งกับหัวหอกตัวใหญ่ได้
พอเล่นมิดฟิลด์เต็มตัว ไม่กลับไปกลับมา ตำแหน่งนี้ ตำแหน่งนั้น มันช่วยให้เอ็นโดะพัฒนาขึ้น กับแซงต์ ทรุยดองส์ เขาเล่นได้ดีมาก เกมรับก็ดีแถมยังสอดขึ้นมายิงประตูได้ตั้งแต่นัดแรกอีกต่างหาก
พอผ่านไป 1 ปี ช่วงซัมเมอร์ปี 2019 สตุ๊ตการ์ต ที่อยู่ในลีกา 2 เยอรมัน ขอยืมตัวจากแซงต์ ทรุยดองส์ ไว้ใช้งาน 1 ฤดูกาล โดยสเวน มิสลินทัต ผู้อำนวยการกีฬาของสตุ๊ตการ์ตอธิบายว่า "ไม่ว่าสโมสรไหนก็อยากได้ตัวนักเตะสารพัดประโยชน์แบบเขาทั้งนั้น"
สาเหตุที่เอ็นโดะย้ายไปสตุ๊ตการ์ต เพราะความฝันของเขาคืออยากเล่นในพรีเมียร์ลีก หรือ บุนเดสลีกา ดังนั้นต่อให้สตุ๊ตการ์ตอยู่ในลีกา 2 เยอรมัน เขาก็ยังเชื่อว่า คุณภาพดีกว่าอยู่ลีกเบลเยี่ยมอยู่ดี และที่สำคัญเมื่อย้ายไปปั๊บ เขาอาจช่วยให้สตุ๊ตการ์ตคัมแบ็กกลับมาสู่ลีกสูงสุดได้ในปีเดียว
นอกจากนั้น อีกเหตุผลที่ส่งเสริมคือ ในอดีตมีนักเตะญี่ปุ่น ที่เคยเล่นกับสตุ๊ตการ์ตมาแล้ว หลายคน เช่น ชินจิ โอคาซากิ, โกโตคุ ซากาอิ, ฮาจิเมะ โฮโซไก และ ทาคุมะ อาซาโนะ ดังนั้นเอ็นโดะก็อาจประสบความสำเร็จแบบนั้นได้เช่นเดียวกัน
ลีกาสอง ฤดูกาล 2019-20 เริ่มขึ้น ปัญหาที่เอ็นโดะเจอก็คือ เฮดโค้ชทิม วอลเตอร์ ไม่คิดจะใช้งาน ที่เยอรมันนั้น บางครั้งผู้อำนวยการกีฬาซื้อนักเตะเข้ามา แต่โค้ชไม่อยากได้แบบนี้ก็มี
นั่นทำให้ 10 เกมแรกของซีซั่น เอ็นโดะได้ลงเล่น 0 นาที ไม่มีโอกาสเลยสักนัดเดียว
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เกิดขึ้นนัดที่ 11 เมื่อสตุ๊ตการ์ต ลงเล่นกับไดนาโม เดรสเดน เกมนั้นเอ็นโดะได้โอกาสลงเล่นนาทีที่ 89 และแม้จะลงมาแค่แป้บเดียวแต่สามารถสร้างโอกาสยิงได้ทันที แม้จะไม่ได้ประตูก็ตาม
จากนั้นนัดที่ 12 เกมเจอออสนาบรู๊ค เอ็นโดะก็ไม่ได้ลงอีกครั้ง โดยนัดนั้นทีมแพ้ 1-0 ซึ่งมีรายงานว่า มาริโอ โกเมซ ผู้เล่นซีเนียร์ของทีม ได้เสนอความเห็นในห้องแต่งตัวว่า ด้วยสไตล์บอลของสตุ๊ตการ์ต เป็นทีมที่เล่นเกมรุกเต็มที่ ยอมเสี่ยง เพื่อบุกยิงประตูคู่แข่งให้ได้ ดังนั้นควรมีมิดฟิลด์ที่เล่นเกมรับได้ดีไว้คอยเบรกเกมคู่ต่อสู้ และโกเมซได้พูดชื่อ เอ็นโดะ ขึ้นมา ซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยถูกนึกถึงมาก่อนเลย
คำพูดของโกเมซ ที่เป็นนักเตะอาวุโส ทำให้ผู้คนรับฟัง เกมนัดที่ 13 สตุ๊ตการ์ต เปิดบ้านเจอคาร์ลสรูห์ นัดนี้ เอ็นโดะลงตัวจริงเกมแรก ในระบบ 4-1-4-1
เขายืนตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ และช่วยให้ทีมสมดุลขึ้นอย่างชัดเจน จบเกมสตุ๊ตการ์ตถล่มคาร์ลสรูห์เละ 3-0 ซึ่งเกมนี้ นักเตะหงส์แดงหนึ่งคน ที่ยืมตัวมา แนท ฟิลลิปส์ ก็ลงสนามด้วยเช่นกัน
หลังจากเกมนั้น เอ็นโดะ ได้ลงเล่นให้สตุ๊ตการ์ตทุกนัดทุกนาที ยกเว้นเกมเดียว นัดที่ 21 ที่เจอซานด์เฮาเซ่น ลงไม่ได้เพราะติดโทษแบน ถึงตรงนี้โค้ชรู้แล้วว่าจะใช้ประโยชน์จากเอ็นโดะได้อย่างไร
เอ็นโดะ ทำให้บรรดาตัวรุก เล่นได้ง่ายขึ้น ทั้ง มาริโอ โกเมซ, นิโคลัส กอนซาเลส บุกได้เต็มที่ เพราะรู้ว่ามิดฟิลด์ก็จะมีเอ็นโดะคอยเก็บกวาดให้
สิ่งสำคัญที่สุด ที่เอ็นโดะเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่มาอยู่สตุ๊ตการ์ตคือสไตล์การเล่น เขาอธิบายว่า "ในอดีต เวลาทีมเสียบอล ผมจะถอยลงต่ำทันทีไปยืนแพ็ก แต่พอผมย้ายมาเยอรมัน เมื่อทีมเสียบอล ผมจะพยายามแย่งบอลกลับคืนให้ได้เร็วที่สุด"
นั่นหมายความว่า เอ็นโดะเข้าใจหลักการของเกเก้นเพรสซิ่งของฟุตบอลเยอรมันแล้ว ยิ่งแย่งบอลที่เสียคืนกลับมาเร็วเท่าไหร่ ก็มีโอกาสบุกสวนคืนได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ในระหว่างซีซั่น สตุ๊ตการ์ตสลับไปสลับมา ระหว่าง 4-1-4-1 กับ 3-2-4-1 แต่ไม่ว่าจะเล่นตำแหน่งไหน เอ็นโดะ จะเป็นตัวจริงเสมอ เว็บไซต์บุนเดสลีกากล่าวชื่นชมว่า เอ็นโดะคือเครื่องยนต์ตัวจริงของสโมสร
เราจะเห็นว่า ในช่วงแรก เอ็นโดะ ก็ไม่ได้ถูกยอมรับจากเพื่อนร่วมทีมนัก แต่พอได้รับการเสนอแนะชื่อจากโกเมซ จึงได้ลงเล่น แล้วจากนั้นก็คว้าโอกาสมาครองได้ทันที
หลังจบฤดูกาล 2019-20 สตุ๊ตการ์ตจบอันดับ 2 ในตาราง เลื่อนชั้นกลับสู่บุนเดสลีกาได้สำเร็จ ขณะที่ตัวเอ็นโดะสร้างสถิติน่าสนใจมากมาย
1
- เป็นนักเตะที่มีเปอร์เซ็นต์แย่งบอลได้มากที่สุด อันดับหนึ่งในสโมสร 6.96 ครั้งต่อเกม
- แย่งโหม่งได้มากที่สุดในสโมสร 138 ครั้งทั้งฤดูกาล
- เป็นผู้เล่นคนเดียวของสตุ๊ตการ์ต ที่ถูกโหวต เป็นติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกา สอง
ฉายาที่สื่อเยอรมัน ใช้เรียกเอ็นโดะคือ "Mr.Trust" อาจจะไม่หวือหวา แต่ไว้ใจได้ การมีอยู่ ทำให้มีความมั่นคงในเกมรับ
บิลด์ หนังสือพิมพ์ยอดขายสูงสุด กล่าวชื่นชมไว้ว่า "การย้ายทีมของเอ็นโดะ คือการซื้อตัวแห่งฤดูกาลของลีกา สอง สายตาอันเฉียบคมของมิสลินทัต ที่เอาตัวมาจากเบลเยี่ยม เขารู้จักนักเตะดีๆ ที่ไม่สามารถหาเจอได้ในเยอรมัน การย้ายตัวครั้งนี้ เป็นจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมส่วนทีมสโมสรขาดพอดี"
ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ ที่หลังจากจบฤดูกาล สตุ๊ตการ์ตจะรีบจ่ายเงิน 1.7 ล้านยูโร (65 ล้านบาท) คว้าตัวเอ็นโดะมาเสริมทัพถาวรทันที ก็เล่นดีซะขนาดนี้ คุณต้องยึดเอามาไว้เป็นของตัวเองอยู่แล้ว
จากนั้นมา เอ็นโดะ ก็ลงเล่นให้กับสตุ๊ตการ์ตมาตลอด กับหน้าที่หลักคือ กองกลางตัวรับ เขาไม่ใช่คนหวือหวา โชว์ลีลากระชากอะไรทำนองนั้น เพราะเกมรุกไม่ใช่สไตล์ของเขา จุดแข็งของเอ็นโดคือเกมรับที่ไว้ใจได้มากๆ และความเป็นผู้นำที่สูงลิ่ว
1
ไม่ง่ายนัก ที่นักเตะเอเชีย จะได้เป็นกัปตันทีมในลีกยุโรป แต่เอ็นโดะถูกแต่งตั้งจากสตุ๊ตการ์ตให้เป็นกัปตันทีม นอกจากนั้น เขายังเป็นกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ในปัจจุบันอีกด้วย
เอ็นโดะ เล่นให้กับสตุ๊ตการ์ตทั้งหมด 4 ฤดูกาล ในที่สุดก็ถึงทางแยกชีวิตของเขาอีกครั้ง เมื่อลิเวอร์พูล ทีมจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จ่ายเงิน 16 ล้านปอนด์ (719 ล้านบาท) คว้าตัวมาเสริมทัพ
เราจะเห็นได้เลยว่า วิวัฒนาการเรื่อง "ราคา" ของเอ็นโดะ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการย้ายทีมแต่ละครั้ง จาก 240,000 บาท สู่ 65 ล้านบาท และมาถึงปัจจุบันที่ 719 ล้านบาท ซึ่งราคา ก็เพิ่มขึ้นตามฝีมือที่พัฒนาขึ้นนั่นเอง
สิ่งที่ต้องยอมรับความจริงคือ เอ็นโดะ ไม่ใช่ชอยส์แรกของหงส์แดง ลิเวอร์พูลพลาดเป้าหมายมิดฟิลด์หลายคน ตั้งแต่จู๊ด เบลลิงแฮม, มอยเซส ไคเซโด้ และ โรเมโอ ลาเวีย ดังนั้นจำเป็นมาก ที่ต้องหามิดฟิลด์ตัวรับอย่างน้อย 1 คน เข้ามาอยู่ใน Squad
และหวยจึงไปลงที่เอ็นโดะ ชอยส์อื่นๆ ในตลาด ที่มีคุณภาพยอมรับได้ แทบไม่เหลือแล้ว
สิ่งที่ต้องเผชิญแน่นอนจากดีลนี้ คือคำแซะ คำดูหมิ่นต่างๆ อย่างแรกคือ เอ็นโดะ เป็นนักเตะเอเชีย การเป็นผู้เล่นเอเชียคุณจะถูกดิสเครดิตแต่แรกอยู่แล้ว และอย่างที่สองคือ เอ็นโดะ จะกลายเป็นนักเตะญี่ปุ่นที่อายุมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ได้ลงเล่นนัดแรกอายุเลย 30 ไปแล้ว ไม่แปลกที่แฟนบอลจะคิดว่า คุณจะจ่ายเงินเอานักเตะอายุขนาดนี้มาทำไม ถ้าอายุเข้าเลข 3 มันควรต้องเก่งระดับคาเซมิโร่นั่นเลยไหม
แต่ถ้ามองในข้อเท็จจริง และอิงจากสถิติ จะเห็นว่าเอ็นโดะ ไม่ใช่ผู้เล่นที่อ่อนหัดอะไรขนาดนั้น เขาเข้าใจเกมฟุตบอลยุโรปเป็นอย่างดี และถูกยอมรับในบุนเดสลีกมาแล้ว ที่สำคัญเป็นคนที่เข้าใจหลักการเกเก้นเพรสซิ่งด้วย ไม่ต้องให้คล็อปป์มาสอนกันตั้งแต่นับหนึ่งกันใหม่
ในฤดูกาลที่แล้ว เอ็นโดะแย่งบอลได้มากถึง 22 ครั้ง ในเขต Final Third พอแย่งบอลได้ปั๊บ ทำให้เพื่อนร่วมทีมสร้างโอกาสยิงได้ทันที นี่คือสไตล์ที่คล็อปป์ชอบ
1
นอกจากนั้น แม้จะดูเน้นเกมรับเป็นหลัก แต่เมื่อต้องรุกจริงๆ เขาก็มีผลงานไม่เลว ซีซั่นที่แล้ว ยิง 5 แอสซิสต์ 4 ในบุนเดสลีกา
ตอนนี้เอ็นโดะเปิดตัวกับทีมหงส์แดงเรียบร้อยแล้ว โดยจะใส่เสื้อเบอร์ 3 ที่ว่างอยู่ แต่จะยังลงเล่นเกมเจอบอร์นมัธวันเสาร์นี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม วีกหน้านัดเยือนนิวคาสเซิล เขามีโอกาสสัมผัสเกมแน่นอน
บทสัมภาษณ์แรกกับสโมสรใหม่ เอ็นโดะ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า "ตำแหน่งของผมคือหมายเลข 6 ผมเป็นผู้เล่นที่จะเน้นเกมรับอยู่สักหน่อย และผมคิดว่าจะสามารถช่วยสโมสรเรื่องการป้องกัน และการจัดระเบียบกลางสนามได้เป็นอย่างดี ผมคิดว่า นั่นคือหน้าที่ของผม"
เขารู้ดีว่า ถูกซื้อมาเพื่ออะไร ไม่ใช่มาเล่นหวือหวา ไม่ใช่บุกตะลุยยิงประตู แต่มาเพื่อปกป้องแบ็กโฟร์ และสนับสนุนให้ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ และ โดมินิค โซโบสไล ได้เล่นเกมรุกอย่างสนุกสนานมากที่สุด
บุคลิก และสไตล์การเล่นของเอ็นโดะ อาจจะไม่หวือหวา ไม่เร้าใจ นั่นปฏิเสธไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าฉายาของเขาคือ Mr.Trust เป็นคนที่คุณจะไว้ใจได้เสมอ เชื่อถือได้ และสิ่งนี้ อาจเป็นสิ่งที่ลิเวอร์พูลต้องการมากที่สุดในชั่วโมงนี้
1
#RELIABLE
โฆษณา