19 ส.ค. 2023 เวลา 05:03 • หนังสือ

รีวิวสรุปหนังสือ Good Vibes, Good Life ชีวิตดีดีเราเลือกได้ด้วยพลังบวกจากตัวเอง

💎 Good Vibes, Good Life : How Self-Love is the Key to Unlocking Your Greatness!
เขียนโดย Vex King
หนังสือ Good Vibes, Good Life หรือชื่อหนังสือภาษาไทยว่า “ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข” เป็นหนังสือที่ดังสุด ๆ อีกเล่มหนึ่งเลยครับที่สิงห์นักอ่านก็คงไม่พลาดเช่นเคย 😄
หนังสือเล่มนี้จะเป็นแนว feel good และให้พลังบวกกับเราได้อย่างเต็มเปี่ยม เช่นเดียวกับชื่อหนังสือเลยครับ
ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบมาสักพักแล้วครับ ส่วนตัวรู้สึกได้ว่าปัจจุบันเทรนด์เรื่องนี้ค่อนข้างมาแรงและเป็นที่แพร่หลายพอสมควรสังเกตได้จากการที่มีหนังสือแนวนี้เผยแพร่ออกมาค่อนข้างเยอะครับ
โดยผู้เขียน Vex King เขียนหนังสือเล่มนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวในวัยเด็กของเขาที่ไม่ค่อยจะน่าประทับใจสักเท่าไหร่ จนเมื่อเขาเติบโตขึ้นและเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบที่เรียกว่า “greater life”
📍ตัวเขาเองมีความเชื่อว่า คนทุกคนนั้นสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ และคนทุกคนนั้นมีคุณค่าในตัวเอง เขาจึงอยากแชร์ประสบการณ์และแนวคิดต่าง ๆ ในการใช้ชีวิต ที่เราสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตแบบที่ดีที่สุดในแบบฉบับของเรา หรือสิ่งที่ผู้เขียนใช้คำว่า “ the greatest version of you” โดยคีย์เวิร์ดนั้น คือ ในแต่ละวันให้เราแค่ตั้งเป้าหมายว่า “เราจะเป็นคนที่ดีกว่าเมื่อวาน” 🤩
หลักการสำคัญของผู้เขียนคือเราจะต้องรักตนเอง หรือ มี “self-love” ก่อน 🥰
แล้ว self-love มันเป็นแบบไหนกันหละครับ? 🤔
คนส่วนใหญ่เข้าใจความหมายของ self-love ผิด ๆ ว่าแค่ให้รักในสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็นเพียงเท่านั้น
👉🏻 Vex King บอกว่า “self-love” คือความสมดุล (Balance) ระหว่างการที่เรายอมรับตัวเราเองหรือสิ่งที่เราเป็นในขณะเดียวกันต้องตระหนักไว้เสมอว่าเราสมควรได้รับสิ่งทีดีกว่านี้แล้วลงมือทำครับ ซึ่งมันคือการเอาสองสิ่งมาผสมผสานกันให้เหมาะสมครับ
💡 สรุปง่าย ๆ Self-Love ควรจะประกอบไปด้วย การรักตัวเองแบบไม่มีเงื่อนไข + การพัฒนา/เติบโตเน้นที่การกระทำ
……………..
“The Law of Vibration” 🫨
Vex King ได้อ่านหนังสือชื่อดังระดับโลก “The Secret” (หลายคนน่าจะรู้จัก) จึงได้แนวคิดในเรื่องของ กฎแห่งแรงดึงดูด (the Law of Attraction) ที่กล่าวว่าหากเราคิดถึงเรื่องไหน ๆ เราก็จะพาตัวเราไปเจอกับเรื่องนั้น ๆ ครับ โดยในหนังสือ The Secret ได้แนะนำให้เราคิดบวกถึงสิ่งที่เราอยากเป็น อยากได้ มันจะช่วยให้เราพยายามที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้ครับ
แต่เมื่อเขาลองนำมาใช้กับตัวก็พบว่ามันก็ค่อนข้างยากที่คนเราจะพยายามคิดบวกให้ได้ตลอดเวลาในชีวิตจริงโดยเฉพาะเวลาเราเจอปัญหาหนัก ๆ (อันนี้ส่วนตัวเห็นด้วยมาก ๆ )
👉🏻 เขาเลยแนะนำ “The Law of Vibration” หรือ “กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน” ที่อิงกับหลักวิทยาศาสตร์หน่อย ๆ ว่าสิ่งใดที่มีความถี่ของการสั่นสะเทือนที่ใกล้เคียงกันก็จะไปด้วยกันได้ (compatible) ตัวอย่างก็เช่น หูของมนุษย์เราจะได้ยินเฉพาะเสียงที่คลื่นความถี่หนึ่งเท่านั้น สัตว์ชนิดอื่นก็จะมีการได้ยินเสียงที่ต่างคลื่นความถี่กัน
Vex King เองเลยแนะนำหลักการของกฎแห่งแรงสั่นสะเทือนนี้มาประยุกต์ใช้ โดยหากเราต้องการชีวิตแบบไหนก็ให้ไปอยู่ที่คลื่นความถี่หรือการสั่นสะเทือนนั้น ๆ ซึ่งคลื่นความถี่ดี ๆ หรือ Good Vibration นั้น ก็เรียกย่อ ๆ ว่า “Good Vibes” ตามชื่อหนังสือนั่นเองครับ
การที่เรานำตัวเองไปสู่ “Good Vibes” หรือเรารู้สึกดี ก็จะส่งผลให้ชีวิตเราดีตามไปด้วย แล้ว Good Vibes ทำได้อย่างไรบ้าง ลองไปดูกันเลยครับ
……………..
“Positive Lifestyle Habits” 💪🏼
• การที่เราจะมีชีวิตที่ดีนั้นข้อแรกเลยเราต้องนำพาตัวเองไปอยู่ในสังคมหรือห้อมล้อมด้วยคนดี ๆ คิดบวกก่อนเลยครับ เหมือนที่มีคำกล่าวที่ว่า เราจะเป็นเหมือนกับค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาด้วยครับ (ลองคิดดูครับว่าทุกวันนี้คนรอบตัวเราเป็นแบบไหน)
• ปรับเปลี่ยนภาษากายของเราครับ มีผลการวิจัยยืนยันเลยนะครับว่าแม้เราจะแกล้งฝืนยิ้ม แต่สมองของเราก็จะถูกกระตุ้นและสามารถรับรู้ได้เหมือนกับเรามีความสุขจริง ๆ นะครับ (สารโดปามีนหลั่งออกมาจริง ๆ แต่ทางที่ดีอย่ายิ้มคนเดียวแบบไม่มีเหตุผลจะดีกว่านะครับ 555) ด้วยเหตุนี้หลาย ๆ คนถึงเชื่อในคำพูดที่ว่า “fake it until you make it”
ยกตัวอย่างในเรื่องนี้ เช่น โมฮัมหมัด อาลี นักมวยชื่อดังในอดีตที่เค้าใช้วิธีการและความเชื่อว่าเค้าคือแชมป์ แล้วแสดงออกอย่างกับว่าเค้าคือแชมป์ตั้งแต่สมัยที่เค้ายังเป็นนักมวยไร้ชื่อเสียงครับ
• ใช้เวลาพักบ้าง หลายคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูงอาจจะรู้สึกผิดเวลาที่ตัวเองพัก แต่การพักบ้างนั้นจะช่วยให้เราได้ชาร์จพลังในตัวแล้วยังช่วยให้เราได้รีเซตหรือริเริ่มอะไรใหม่ ๆ ได้ด้วยครับ
• ลองหาแรงบันดาลใจจากบุคคลอื่นดู ไม่ว่าจะเป็นจากการดูหนัง อ่านหนังสือหรือวิธีอื่น ๆ ก็ได้ที่เราชอบครับ
• อยู่ให้ห่าง ๆ จากเรื่องซุบซิบนินทาและเรื่องดรามาต่าง ๆ เพราะหลาย ๆ ครั้งเรื่องเหล่านี้ค่อนข้าง toxic แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นมาเลย
• ทานอาหารให้ครบตามโภชนาการและดื่มน้ำให้เพียงพอ คงไม่ต้องอธิบายเยอะสำหรับข้อนี้ครับ
• ฝึกขอบคุณในสิ่งต่าง ๆ แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ การฝึกขอบคุณสิ่งต่าง ๆ จะทำให้เรารู้จักหาสิ่งดี ๆ ในชีวิตแม้ในวันที่เราเจอแต่เรื่องไม่ดีมาก็ตาม
• หมั่นตรวจสอบอารมณ์ของตัวเราเอง หากพบว่าเรามีอารมณ์ที่เป็นลบแล้วให้รีบหาทางรับมือ โดยทำความเข้าใจว่าทำไมเราถึงรู้สึกแบบนั้น แล้วลองหาวิธีปรับเปลี่ยนด้วยอารมณ์เชิงบวก
1
• อยู่กับปัจจุบัน เพราะหลายครั้งที่เราคิดถึงแต่อนาคตทำให้เรามีความกังวลและเครียด
• ทำสมาธิ (meditate) ลองฝึกโดยไม่ต้องใช้เวลาเยอะ สัก 15 นาทีก็เพียงพอแล้ว โดยในหนังสือมีเทคนิคแบบ step by step ให้ลองฝึกตามด้วยครับ
……………..
“Make Yourself a Priority” 🤵‍♂️🤵‍♀️
การที่เราจะให้ความสำคัญกับตัวเราเองเป็นอย่างแรกไม่ใช่เป็นการเห็นแก่ตัวเสมอไปครับ การที่เราคิดถึงคนอื่นและช่วยเหลือคนอื่นนั้นดีครับแต่เราจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับตัวเองและเก็บแรงหรือพลังงานไว้สำหรับตัวเราเองด้วย ☑️
• ลองตรวจสอบพฤติกรรมของเราเองดูว่าเราเป็นคน toxic สำหรับคนอื่นรวมถึงตัวเราเองด้วยหรือเปล่า แน่นอนครับเราเองก็ไม่ชอบอยู่กับคนที่มีความคิด toxic
• คู่ชีวิต คู่คิดที่ดีจะช่วยเราได้มาก คือต้องสนับสนุน เกื้อหนุน และเคารพซึ่งกันและกัน
• เลือกคบมิตรแท้ ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะแต่เลือกเพื่อนที่ดีที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตเรา
• บางครั้งครอบครัวก็ไม่ได้มีความเห็นตรงกับเราหรือหวังดีกับเรื่องทุกเรื่อง ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะถูกสอนว่าครอบครัวมีความสำคัญมากที่สุด แต่เนื่องด้วยคนแต่ละคนที่มีความเชื่อที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะยุคสมัยที่แตกต่าง หลายครั้งเราต้องสื่อสารให้พวกเข้ารู้และเข้าใจถึงข้อแตกต่างของช่วงวัย
• อยู่เคียงข้างคนอื่นในเวลาที่เขาต้องการเรา แต่ก่อนหน้านั้น เราต้องทำตัวเราให้พร้อม ด้วยพลังบวกในตัวเราเองก่อน
• ฝึกเผชิญหน้ากับคนที่คิดลบหรือไม่ชอบเรา เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอคนแบบนี้ ดังนั้นเราควรจะฝึกการรับมือด้วยความสงบ คิดไว้เสมอว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้นอกเสียจากเรายินยอม
• อย่าพยายามทำให้ทุกคนพึงพอใจ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ มีแต่จะทำให้เรารู้สึกไม่พอสักที สุดท้ายเราก็จะไม่พอใจแม้กระทั่งตัวเราเอง
• หากเจอคนคิดลบ ก็ให้เราใช้ความคิดบวกเข้าสู้และปกป้องตัวเราครับ แทนที่จะไปคิดลบหรือตอบสนองความคิดลบนั้น ๆ ในทางแย่ ๆ
• กล้าที่จะออกจากงานที่ toxic เพราะเราไม่ควรไปอยู่ที่แบบนั้นตลอดชีวิต
……………..
“Accepting Yourself” 🥰
การยอมรับในตัวตนของเราเองโดยไม่มีเงื่อนไข โดยต้องฝึกเรียนรู้ที่จะรักในตัวเราเอง ดูแลตัวเอง คิดแต่สิ่งดี ๆ โดยเริ่มจากตัวเราเองเลยครับ
• ชื่นชมในรูปลักษณ์ของตัวเราเอง และจงภูมิใจในความเป็นตัวเรา ยอมรับข้อบกพร่องที่เรามีทางร่างกาย อย่าลดทอนด้อยค่าตัวเอง
• ให้เปรียบเทียบเรากับตัวเราเองก็พอ กับคนอื่นให้เรามองเป็นแรงบันดาลใจ โดยเฉพาะในโซเชี่ยลมีเดีย ณปัจจุบันที่ต่างคนต่างแสดงออกหรือแชร์เฉพาะส่วนที่ดี ให้เราเปรียบเทียบกับตัวเราเองในเมื่อวานแล้วทำให้ดีขึ้น
• ให้ความสำคัญกับความงดงามจากภายใน (inner beauty) ที่เราได้ยินบ่อย ๆ ว่าสวยจากข้างใน
• เฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จของตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่
• ให้ความเคารพกับความเป็นเอกลักษณ์ เป็นตัวของตัวเอง (uniqueness) ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนคนอื่น อย่าลืมรับฟังสิ่งที่ตัวเราเองต้องการจะเป็น
1
• ให้อภัยตัวเอง อย่าลงโทษตัวเองในสิ่งที่ทำไปแล้ว ให้ยอมรับแล้วให้ความสำคัญกับบทเรียนที่เราได้เรียนรู้และนำมาพัฒนา
1
……………..
“Manifesting Goals” 🎯
การทำเป้าหมายให้สำเร็จ (Manifesting goals) นั้นต้องอาศัยทั้งทางด้านจิตใจ (Mind Work) และด้านการกระทำ (Taking Action)
• แน่นอนว่าต้องเริ่มจากการคิดบวก คิดถึงความเป็นไปได้มากกว่าคิดถึงความเป็นไปไม่ได้ “Can do attitude”
• ให้เข้าใจจิตใต้สำนึก (subconscious mind) เพราะเป็นสิ่งที่กำหนดความเชื่อของเรา จิตใต้สำนึกเป็นเหมือนดินให้ต้นไม้เติบโต
• แทนที่เราจะพยายามควบคุมปัจจัยภายนอก ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ให้เรามุ่งมั่นกับภาวะจิตใจของเราที่จะตอบสนองต่อเรื่องต่าง ๆ จากภายนอกจะดีกว่า
• เปลี่ยนความเชื่อของเราเป็นอย่างแรก ให้เป็นไปในทางบวก เช่น เราสามารถทำได้
• การทำ Affirmation หรือการบอกกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเราทำได้ เป็นเหมือนการโปรแกรมสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในจิตใต้สำนึกและสมองของเรา มันช่วยให้เราพยายามทำสิ่งนั้น ๆ ให้ได้โดยอัตโนมัติ
• เขียนเป้าหมายของเราออกมาให้ชัดเจน โดยแนะนำให้เริ่มจากเป้าหมายเล็ก ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจก่อน
• ใช้จินตนาการภาพสิ่งที่จะเกิดขึ้น สิ่งที่เราอยากเป็นในสมอง หรือ Visualization ที่เป็นเทคนิคที่นักกีฬาทีประสบความสำเร็จต่าง ๆ ใช้
• ลงมือทำหากต้องการ “การเปลี่ยนแปลง”
• ออกจาก comfort zone เพราะทางที่เราจะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จนั้นมักต้องทำอะไรที่ยากกว่าปกติ
• ความสม่ำเสมอจะนำเราไปสู่ความสำเร็จที่ต้องการ
• สิ่งที่จะทำให้เราทำอะไรได้พิเศษมากกว่าคนอื่นคือ “grit” ความวิริยะ และ “commitment” ความมุ่งมั่น
……………..
“Pain and Purpose” 🤕
ในบทสุดท้ายของหนังสือนั้นพูดถึงเรื่องการดำเนินชีวิตที่จะต้องมีอุปสรรคและสิ่งที่มาทดสอบเราตลอดเวลา ความผิดพลาดและความเจ็บปวดนั้นจะทำให้เราแข็งแกร่งและเติบโตขึ้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่เราได้ผ่านมาแล้วนำมาทดสอบอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าเราได้เรียนรู้จากมันจริง ๆ
สุดท้ายคนเราจะใช้ชีวิตได้อย่างดีและมีความสุขหากเรามีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ (living with purpose) เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถหาเหตุผลที่เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความหมาย เมื่อนั้นเองครับเราจะรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและสมบูรณ์แบบครับ 🌟
……………
📌 หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านแล้ว “feel good” สำหรับใครที่ชอบแนวนี้ก็แนะนำเลยครับ หนังสือมีคำคมมากมายที่ทำให้เราอ่านแล้วโดนใจได้ง่าย แถมทำให้จิตใจเราฮึกเหิม อยากทำตัวเองให้ดีขึ้นทันทีเลยครับ
💡 ผมชอบบทสรุปของหนังสือที่สรุปไว้ว่า ความสุขที่แท้จริงของคนเรานั้นไม่ได้เกิดจากคนอื่น สิ่งของ หรือสถานที่เลยครับ แต่มันเกิดมาจากภายในตัวเราเอง จงมองโลกในด้านที่ดี อยู่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น ยอมรับในตัวตนและความเป็นตัวเรา แล้วเราก็จะพบกับความสุขได้เองครับ...❤️
#BookReview #รีวิวหนังสือ #สิงห์นักอ่าน
ป.ล. ถ้าไม่อยากพลาดการติดตามการรีวิวหนังสือดี ๆ แบบละเอียดยิบ ฝากกด Like กดติดตามเพจ รวมถึงยังติดตามได้อีกหนึ่งช่องทางใน facebook : สิงห์นักอ่าน
โฆษณา