Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เสียบสามเหลี่ยม
•
ติดตาม
20 ส.ค. 2023 เวลา 09:03 • กีฬา
คำถามที่ตามมามากมาย หลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พ่ายเป็นนัดแรกของซีซั่นใหม่
ฤดูกาล 2023-24 ผ่านไปได้แค่ 2 นัด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็พบกับความพ่ายแพ้เป็นนัดแรกของซีซั่นซะแล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรสำหรับพลพรรคปีศาจแดง ดูเหมือนว่าพวกเขาคือทีมที่เคยชินกับการ “เครื่องร้อนช้า” ไปแล้ว และนี่ก็คือฤดูกาลที่ 6 ติดต่อกันที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องสะดุดทำแต้มหลุดมืออย่างรวดเร็ว ไม่ว่ากุนซือจะเป็นใครก็ตาม
2018-19 (โชเซ่ มูรินโญ่ คุม) : สะดุดตั้งแต่นัดที่ 2 ด้วยการออกไปแพ้ไบรท์ตัน 3-2
2019-20 (โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ คุม) : สะดุดตั้งแต่นัดที่ 2 ด้วยการออกไปเสมอวูล์ฟแฮมป์ตัน 1-1 แล้วก็แพ้นัดแรกในเกมถัดมาทันที เมื่อโดน คริสตัล พาเลซ บุกอัดคาบ้าน 1-2
2020-21 (โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ คุม) : เปิดมานัดแรกก็แพ้ คริสตัล พาเลซ คาบ้าน 1-3 เลย
2021-22 (โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ คุม) : อุตส่าห์ออกสตาร์ทอย่างสวยหรูด้วยการถล่มลีดส์ 5-1 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่เกมต่อมาดันทำได้แค่บุกไปเสมอเซาธ์แฮมป์ตัน 1-1 ทำให้น้าลูกอมเจอความกดดันก่อนเวลาอันควร แล้วค่อยๆ สติแตก ฟอร์มของทีมแย่ต่อเนื่องทันทีตั้งแต่ 1 เดือนถัดมา ก่อนที่โซลชาร์จะรับความกดดันและแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ จึงต้องแยกทางกับสโมสรไปในที่สุด
2022-23 (เอริค เทน ฮาก คุม) : แพ้รวดตั้งแต่ 2 นัดแรก โดยพ่ายไบรท์ตันคาบ้าน 1-2 ตามด้วยออกไปโดนเบรนท์ฟอร์ดถล่ม 4-0 แล้วจึงปรับสไตล์การเล่นมาเน้นบอลไดเร็กต์ที่เข้ากับธรรมชาติของนักเตะในทีมมากขึ้น ผลการแข่งขันจึงค่อยๆ ดีขึ้นในเวลาต่อมา
ตลอดซีซั่นที่แล้ว ผลงานดีส่วนใหญ่คือเกมที่ได้เล่นในบ้าน แต่ฟอร์มนัดเยือนถือว่าย่ำแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการไปเยือนทีมใหญ่ๆ ที่เอาชนะใครไม่ได้เลย
การคว้าถ้วย คาราบาว คัพ ตามด้วยได้กลับสู่เวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง โดย เทน ฮาก ได้มีอำนาจตัดสินใจจัดการขุมกำลังเต็มๆ ในช่วงซัมเมอร์หลังคุมทีมครบ 1 ปีเต็ม ทำให้แฟนผีคาดหวังว่าฤดูกาลที่ 2 ของเขามันต้องดีกว่าเดิม
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากุนซือชาวดัตช์จะยิ่งโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจในหมู่แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโชว์ฟอร์มขี้เหร่มาตั้งแต่ปรีซีซั่น แม้นัดแรกจะชนะวูล์ฟแฮมป์ตันได้ 1-0 แต่ก็เล่นกันเหมือนทีมที่ไม่ได้ซ้อมกันมา ส่วนนัดล่าสุดก็แพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-0 จนแฟนบอลหัวร้อนกันเป็นแถว
1
ซึ่งไม่ใช่แค่ที่ไทยเท่านั้น แต่ที่ต่างประเทศก็เริ่มตั้งคำถามถึงการตัดสินใจหลายๆ อย่างที่ขัดใจบรรดา เร้ด อาร์มี่ กันแล้ว
ตั้งแต่ช่วงปลายซีซั่นก่อน แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกคนเห็นตรงกันว่าตำแหน่งที่สโมสรต้องลงทุนมากที่สุดในช่วงซัมเมอร์คือกองหน้าตัวเป้าระดับที่การันตีประตูไม่ต่ำกว่า 20 ลูกต่อฤดูกาล
การยิงได้แค่ 58 ประตูในพรีเมียร์ลีกซีซั่นที่แล้ว น้อยที่สุดในบรรดาทีมที่จบ 6 อันดับแรกของตาราง โดยน้อยกว่านิวคาสเซิ่ล 10 ลูก, น้อยกว่าไบรท์ตัน 14 ลูก, น้อยกว่าลิเวอร์พูล 17 ลูก, น้อยกว่าอาร์เซน่อล 30 ลูก และน้อยกว่าแชมเปี้ยนอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 36 ประตู แถมยังน้อยกว่าทีมที่จบแค่อันดับ 8 อย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ อยู่ 12 ลูก มันบ่งบอกชัดเจนว่าทีมขาดประสิทธิภาพส่วนไหนไป
แต่กลายเป็นว่าดีลแรกที่ เทน ฮาก ให้สโมสรเดินหน้าปิดให้ได้ก่อน กลับเป็นตำแหน่งกองกลางตัวเพรสซิ่งแดนบนอย่าง เมสัน เมาท์ ซึ่งตั้งแต่ซื้อจากเชลซีมาด้วยค่าตัวรวม add ons 60 ล้านปอนด์ เรายังไม่เห็นว่ามิดฟิลด์หน้าหล่อจะโชว์ฟอร์มอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
เมสัน เมาท์ ยังโชว์ฟอร์มไม่ออก นับตั้งแต่ย้ายมาจากเชลซีด้วยค่าตัวรวม 60 ล้านปอนด์
และในขณะที่แฟนบอลยังคงเรียกร้องหากองหน้า แต่สิ่งที่ เทน ฮาก ทำคือตัดสินใจชัดเจนว่าจะไม่ให้นายประตูขวัญใจเด็กผีอย่าง ดาบิด เด เคอา เป็นมือหนึ่งอีกต่อไป และทำให้สโมสรต้องใช้งบอีกไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์เซ็นสัญญากับ อองเดร โอนาน่า เข้ามาแทน
โอนาน่าคือนายประตูที่ดี และเข้ากับระบบการเล่นของ เทน ฮาก มากกว่า เด เคอา ชัดเจนก็จริง แต่สิ่งที่แฟนบอลสงสัยก็คือ ตำแหน่งผู้รักษาประตูนี่มันคือจุดอ่อนกว่ากองหน้าตัวเป้าจริงๆ หรือ?
ช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่ลงเล่นแบบไม่มีกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติทุกนัด และนั่นก็คือจุดที่แฟนบอลทุกคนเห็นตรงกันว่าเป็นปัญหาให้ทีมมีผลการแข่งขันช่วงปรีซีซั่นไม่น่าประทับใจ
โอเค เข้าใจว่าการจะซื้อดาวยิงในฝันอย่าง แฮร์รี่ เคน กับ วิคเตอร์ โอซิเมน เข้ามามันดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะค่าตัวของทั้งคู่มันสูงเกินเอื้อม แต่แฟนบอลหลายคนก็มองว่า ค่าตัวของ เมสัน เมาท์ + โอนาน่า รวมกัน มันน่าจะพอๆ กับจำนวนเงินที่ บาเยิร์น มิวนิค ใช้ในการปิดดีล แฮร์รี่ เคน จาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไม่ใช่หรือ?
สุดท้ายทีมไปซื้อตัว ราสมุส ฮอยลุนด์ เข้ามาได้ก็จริง แต่นั่นไม่ใช่ดาวยิงระดับที่แฟนบอลมั่นใจว่าจะมาจบปัญหาเรื่องการทำประตูได้แน่ๆ แถมยังพกอาการบาดเจ็บติดตัวมาด้วยอีกต่างหาก
จนป่านนี้ เทน ฮาก ยังไม่สามารถใช้งานหัวหอกดาวรุ่งทีมชาติเดนมาร์กลงซ้อมแบบเต็มรูปแบบจริงๆ ได้ด้วยซ้ำ และยังไม่รู้ด้วยว่าเกมแรกที่จะส่งลงเดบิวต์จะเป็นเกมเจอทีมไหนกันแน่
แฟนบอลคงไม่หัวร้อนขนาดนี้ ถ้าผลการแข่งขันที่ออกมาไม่พบกับความพ่ายแพ้ ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง เกมที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม นัดล่าสุด คือเกมที่ทีมปีศาจแดงเล่นได้ดูดีมีทรงกว่านัดที่เปิดบ้านเฉือน วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 1-0 ด้วยซ้ำ
...แต่นับเฉพาะ 45 นาทีแรกนะครับ
สกอร์คงไม่ออกมาเป็นแบบที่เห็น ถ้าหากโอกาสลุ้นจบสกอร์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำได้มากถึง 14 ครั้งในครึ่งแรกเปลี่ยนเป็นประตูได้บ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ ลุค ชอว์ หยอดให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส หลุดไปโขกจ่อๆ โล่งๆ แบบไม่ล้ำหน้าในนาทีที่ 36 มันควรต้องเป็นประตูสถานเดียว
ถ้าจังหวะแบบนั้นยังพลาด การจะอ้างว่าแพ้เพราะไม่ได้จุดโทษในครึ่งแรก (ซึ่ง คริสเตียน โรเมโร่ ก็ควรโดนจับแฮนด์บอล เพราะยกมือแบบผิดธรรมชาติ และทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นเพื่อขวางวิถีบอลจริงๆ) มันก็ดูจะเขินๆ หน่อย
จังหวะแฮนด์บอลของ คริสเตียน โรเมโร่ ในครึ่งแรกที่ยกมือแบบผิดธรรมชาติขวางลูกกึ่งยิงกึ่งเปิดของ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ในกรอบเขตโทษ แต่วีเออาร์กลับไม่ให้จุดโทษในจังหวะนี้
โอเค ในครึ่งแรกทางฝั่งสเปอร์สเองก็พลาดโอกาสทองเช่นกัน โดย อองเดร โอนาน่า ช่วยเซฟลูกยิงของ เดยัน คูลูเซฟสกี้ และ ป๊าป มาตาร์ ซาร์ ไว้ได้ดี ขณะที่จังหวะที่ควรเป็นประตูที่สุดของ เปโดร ปอร์โร่ ก็พุ่งไปชนคาน และมีช็อตที่ ป๊าป มาตาร์ ซาร์ เปิดแฉลบ ลุค ชอว์ ไปชนเสาแบบเกือบเปลี่ยนทางเข้า
แต่ตัวเลขค่าความน่าจะเป็นในการได้ประตู (Expected Goals หรือ xG) ถ้านับเฉพาะ 45 นาทีแรก ทางฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด มีสูงกว่า (1.42 ส่วน สเปอร์สแค่ 0.51) หรือสรุปง่ายๆ ก็คือทีมเยือนควรจะนำได้สัก 1 ประตูก่อนพักครึ่ง
คืออันที่จริง จังหวะยิงด้วยซ้ายข้างถนัดของอันโตนี่ตั้งแต่ต้นเกม รวมถึงช็อตที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้บอลแทงจากอันโตนี่หลุดไปซัดมุมแคบ หรือจังหวะที่เจ้าแรชได้หลุดไปโหม่งเหน่งๆ เหมือนกันในนาทีที่ 23 มันก็ควรต้องเป็นประตูสักครั้งเหมือนกัน ถ้ามีความเฉียบขาดมากพอ
อาการ “ใจฝ่อ” หรือ “สติแตก” ของนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังพลาดได้ประตูขึ้นนำจากโอกาสจะแจ้งในเกมนัดเยือน แล้วจู่ๆ ก็มาเสียประตูให้คู่แข่งก่อน กลายเป็นโรคประจำตัวของทีมชุดนี้ไปซะแล้วในช่วง 1-2 ปีหลัง
ตอนแรกก็เล่นดี ดูมีลุ้นอยู่หรอก แต่พอโดนนำก่อน จู่ๆ ก็เครียด กดดัน ลนลาน จนแสดงออกทางภาษากายออกมาชัดเจนในครึ่งหลัง แล้วปล่อยให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นฝ่ายได้ครองเกมเหนือกว่า
จากที่ครึ่งแรกนักเตะผีแดงไล่เพรสซิ่งแดนบนได้น่ากลัว บีบให้เจ้าถิ่นต่อบอลขึ้นมาได้ลำบาก กลายเป็นว่าสิ่งนั้นหายไปในครึ่งหลังอย่างหน้าตาเฉย และประตูที่ 2 ที่เสีย คือชัดเจนมากในการลดความเข้มข้นในการเข้าบีบ จนไก่เดือยทองค่อยๆ เซตบอลจากแดนหลังเข้าพื้นที่สุดท้าย แล้วจบด้วยการทำเข้าประตูตัวเองของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ
เกมนี้ปีก 2 ข้างสร้างอันตรายไม่ได้เลยในครึ่งหลัง ซึ่งคนที่น่าผิดหวังที่สุดคืออันโตนี่ที่มีสถิติทำบอลเสียในแดนคู่แข่ง 4 ครั้ง ขณะที่จังหวะที่ควรยิงลูกถนัดให้ทีมตีเสมอ ก็กลับซัดไปชนเสา
อเลฮานโดร การ์นาโช่ เกมนี้ดูดีกว่านัดที่แล้วขึ้นมานิดหน่อย ไม่ทำบอลเสียง่ายๆ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาดูจะเหมาะกับการลงเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง มากกว่าจะได้ลงเป็น 11 คนแรก
ถ้าให้ผมประเมิน มีนักเตะแค่ 2 คนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่สอบผ่านในเกมเมื่อคืน คือนายประตูอย่าง อองเดร โอนาน่า (ที่มีสถิติออกบอลแม่นยำกว่าบรูโน่และอันโตนี่เสียอีก) และ ลุค ชอว์ ที่สร้างโอกาสได้เยอะมาก และเล่นเกมรับได้ไม่ผิดพลาด
นอกนั้นบรรดานักเตะเอาต์ฟิลด์คนอื่นๆ เล่นในระดับที่ต้องตั้งคำถามจริงๆ ว่า “ซ้อมกันมายังไง”
สิ่งที่ไม่ได้มาตรฐานชัดเจนเลยคือ “ระดับความฟิต” และคนที่ถูกกังขาที่สุดก็คือ เอริค เทน ฮาก นั่นแหละ ที่วางแผนให้ทีมลงเล่นเกมอุ่นเครื่องแบบถี่ยิบในช่วงปรีซีซั่น แล้วกระจายจำนวนนาทีให้นักเตะหลายคนเกินความจำเป็น ทั้งที่ทีมชุดใหญ่ยังเข้าใจระบบกันได้ไม่ดีพอเลย
ระหว่างวันที่ 12 กรกฎาคม จนถึง 6 สิงหาคม แมนฯ ยูไนเต็ด ลงอุ่นเครื่องมากถึง 8 นัดในเวลาห่างกัน 24 วัน (เป็นเกมของทีมชุดหลัก 6 นัด) เฉลี่ยแล้วต้องลงสนามทุกๆ 3-4 วัน มีการแบ่งทีมออกเป็นหลายๆ ชุด นั่นทำให้การซ้อมร่วมกันให้เกิดความแม่นยำในจังหวะเล่นเป็นทีมจริงๆ มีไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น
ช่วงปรีซีซั่นคือโอกาสที่ดีที่สุดแล้วที่จะเป็นเวลาค่อยๆ ปรับระดับฟิตเนส และซ้อมรูปแบบการเข้าทำ, การเพรสซิ่ง รวมถึงความเข้าใจในการเล่นร่วมกันให้มากที่สุด แต่ เทน ฮาก กลับให้นักเตะในทีมต้องมาโฟกัสกับการลงอุ่นเครื่องมากเกินไป
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วางโปรแกรมอุ่นเครื่องแค่ 3 นัด โดยยังไม่รวมเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่ถือเป็นแมตช์ซ้อมใหญ่
ไบรท์ตันที่ตอนนี้เป็นจ่าฝูงแบบเรียลไทม์หลังเปิดซีซั่นใหม่ไป 2 นัดก็อุ่นเครื่องแค่ 4 เกมในช่วงซัมเมอร์ แถมหนึ่งในนั้นคือเกมสำหรับทีมชุดบี
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ของ แอนช์ พอสเตโคกลู ก็อุ่นเครื่องแค่ 4 นัดเท่านั้น โดยเกมที่ต้องเจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ราชมังคลากีฬาสถานถูกยกเลิกไป ทำให้สภาพร่างกายของพวกเขาไม่ได้เหนื่อยล้ากันมากเมื่อฤดูกาลเปิดฉาก
อาร์เซน่อล อาจจะวางโปรแกรมอุ่นเครื่องไว้มากถึง 6 นัด แต่ทั้ง 6 เกมคือ มิเกล อาร์เตต้า ได้คุมนักเตะซ้อมร่วมกันเต็มๆ จริงๆ และต้องไม่ลืมอีกว่าโปรแกรมซีซั่นก่อนของทีมปืนใหญ่ไม่ได้เตะถี่ยิบแบบ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ลงเล่นรวมกันมากกว่า 60 นัดรวมทุกถ้วย โดยที่มีการโรเตชั่นน้อยมาก
เห็นสภาพร่างกายของคาเซมิโร่ที่ปีนี้อายุ 31 ปี, สภาพของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ไม่ได้ปราดเปรียวเท่าเดิม แถมภาษากายก็ดูจะอึดอัดกับการต้องมารับบทกองหน้าตัวเป้าที่ไม่ได้ถนัดในช่วงนี้, พลังของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ดูดร็อปลงไปเยอะ เรื่องนี้ผมคิดว่ามันคือผลพวงสะสมจากการวางแผนใช้งานนักเตะหนักเกินไปของ เทน ฮาก ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
คาเซมิโร่ที่เป็นกำลังสำคัญในแดนกลางของ แมนฯ ยูไนเต็ด ฤดูกาลที่แล้ว ดูเชื่องช้าและขาดความฟิตไปเยอะ ในช่วงออกสตาร์ทซีซั่นนี้
แค่เปิดฤดูกาลใหม่มา 2 สัปดาห์ สภาพร่างกายของนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูเหมือนทีมที่เตะมาแล้ว 30 นัด แต่ความเข้าใจกันคือระดับทีมที่เล่นด้วยกันยังไม่ถึง 5 เกม
นี่ถ้าหากพ้นช่วงเบรกทีมชาติเดือนหน้า ที่จะมีโปรแกรม แชมเปี้ยนส์ ลีก เข้ามาด้วย ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นได้ไหม ดังนั้นช่วงนี้ที่ยังโฟกัสแค่ฟุตบอลลีกล้วนๆ จึงเป็นช่วงที่ เทน ฮาก ต้องรีบแก้ไข และปรับจูนทุกอย่างให้เข้าที่ให้เร็วที่สุดให้ได้
โชคดีคือโปรแกรมนัดต่อไปหลังเพิ่งพบเจอความพ่ายแพ้ดูไม่ใช่งานหนักมาก โดยจะเปิดบ้านพบ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
การเล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ยังเป็นจุดแข็งของทีมยุค เอริค เทน ฮาก ส่วนทีมเจ้าป่าก็ดูไม่ใช่คู่แข่งที่โหดหินอะไร พวกเขาคือทีมที่เสียประตูนอกบ้านมากที่สุดเมื่อซีซั่นก่อน และแพ้ให้ทีมปีศาจแดงแบบยิงไม่ได้สักลูกตลอดทั้ง 4 นัดที่เจอกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ถ้าไม่เล่นกันน่าเกลียดไปเอง เกมหน้าควรจะต้องชนะให้ได้ (สถานเดียว) และต้องชนะด้วยฟอร์มที่ดีด้วย แฟนบอลถึงจะลดความกังวลลงไปได้เร็วหน่อย ว่าฤดูกาลนี้จะยังพอคาดหวังอะไรดีๆ จากทีมรักได้อยู่
นอกจากนั้นแล้ว อีกเรื่องที่อาจจะพออนุโลมได้ ก็คือตอนนี้ตลาดซื้อขายยังไม่ปิด มันยังพอมีเวลาให้ทีมหาซื้อมิดฟิลด์ตัวรับเข้ามาใหม่เพื่อช่วยคาเซมิโร่โดยเฉพาะ และสิ่งที่ต้องรีบทำคือปล่อย สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ออกไปให้ได้ เพื่อนำเงินตรงนั้นไปเซ็นสัญญากับ โซฟียาน อัมราบัต
กองกลางทีมชาติสกอตแลนด์เป็นแค่ตัวสำรองที่ เทน ฮาก ไม่ตั้งใจจะใช้งานมา 2 นัดติดต่อกัน (ทั้งที่สรีระ และความเข้าใจกับเพื่อนร่วมทีม อาจมีประโยชน์กว่า เมสัน เมาท์ ในตอนนี้) นัดแรกถูกส่งลงมาช่วงท้ายเกม ส่วนนัดล่าสุดแค่นั่งดูเฉยๆ มันดูจะชัดเจนว่า เทน ฮาก ไม่ค่อยไว้ใจเขาอีกแล้ว ก็รีบๆ ขายเพื่อเอากลางรับตัวอื่นที่กุนซือชาวดัตช์ตั้งใจจะเอามาใช้จริงๆ ยังดีซะกว่า
และในอีกไม่ช้า คาดว่าตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ มาร์คัส แรชฟอร์ด เสียที เพราะ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ได้ลงเคาะสนิมไปแล้ว ส่วน ราสมุส ฮอยลุนด์ ก็น่าจะพร้อมภายใน 2 สัปดาห์ ถ้าหากมีหน้าเป้าแท้ๆ เป็นตัวพักบอล หรือรอจบในเขตโทษ โดยฉีกแรชฟอร์ดไปยืนทางซ้าย เกมรุกก็อาจจะดีขึ้นได้
ฤดูกาลมันยังเพิ่งเริ่ม แค่แพ้นัดแรกมันยังไม่ถึงกับน่าสิ้นหวัง มันยังพอ “ยกประโยชน์ให้จำเลย” ได้อยู่
แต่ทุกคนคงรู้ดีแล้วแหละ ว่ามาตรฐานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอนนี้ มันยังห่างไกลมากๆ ที่แฟนบอลจะรีบไปตั้งความหวังว่า “ปีนี้ลุ้นแชมป์”
#เสียบสามเหลี่ยม #เทนฮาก #เอริคเทนฮาก #คาเซมิโร่ #เมาท์ #เมสันเมาท์ #อันโตนี่ #แรชฟอร์ด #มาร์คัสแรชฟอร์ด #ผีแดง #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #พอสเตโคกลู #แอนช์พอสเตโคกลู #สเปอร์ส #ท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์ #พรีเมียร์ลีก
บันทึก
9
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย