Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชายขี้เล่า Story
•
ติดตาม
26 ส.ค. 2023 เวลา 07:19 • นิยาย เรื่องสั้น
เล่าเรื่องผี - เผชิญหน้าคนบาป
จัดทำโดย : ชายขี้เล่า Story
ชีวิตของผมช่วงอายุยี่สิบห้าปีได้พบเจอกับปัญหาต่างๆมากมาย ตั้งแต่โดนกลั่นแกล้งเรื่องงาน มีปัญหาทางการเงิน แม้แต่แฟนที่คบกันมานานก็ยังนอกใจไปคบอื่น ผมตัดสินใจออกจากที่ทำงานเก่าแล้วเริ่มมองหาสมัครงานที่ใหม่ แต่ว่าก็ยังไม่มีที่ไหนตอบรับเลยแม้แต่ที่เดียว ความรู้สึกในตอนนั้นมันทั้งเหนื่อยและท้อแท้เป็นอย่างมาก ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้ควรจะทำอย่างไรต่อดี ตกงานมานานเงินก็เริ่มเหลือน้อยลงไปทุกที
ผมใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายมาอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วพบเข้ากับกิจกรรมเชิญชวนให้ไปปฏิบัติธรรมในวัดแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ วัดที่ว่านั้นอยู่ไม่ไกลจากที่พักของผมมากนัก ผมคิดว่ายังไงช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้วลองไปปฏิบัติธรรมดูสักครั้งก็น่าจะดี บางทีการได้ปฏิบัติธรรมอาจจะทำให้จิตใจสงบขึ้นมาบ้าง
ผมลองโทรไปสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดในนั้นทำให้ทราบว่าการปฏิบัติธรรมทั้งหมดต้องใช้ระยะเวลาสามวันซึ่งทางผมเองก็ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด เมื่อมีข้อมูลทุกอย่างพร้อมแล้วพอถึงกำหนดการผมจึงออกเดินทางไปยังที่วัดทันที
วัดแห่งนี้เป็นวัดขนาดเล็กมีพระจำวัดอยู่เพียงไม่กี่รูปเท่านั้น มีเจ้าหน้าที่มารับตัวผมพาไปยังที่พักซึ่งทางวัดจัดเตรียมเอาไว้ให้อยู่ก่อนแล้ว ที่พักเป็นลานกว้างซึ่งต้องนอนรวมกันกับคนอื่นผมนำสิ่งของไปเก็บแล้วจัดการเตรียมที่พักให้เรียบร้อย กิจกรรมในวันแรกไม่มีอะไรมากสิ่งที่ต้องทำก็มีดังต่อไปนี้ การนั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์ ฟังเทศฟังธรรม ช่วงบ่ายมีกิจกรรมให้ทุกคนทำความสะอาดพื้นรอบๆวัด พอตกกลางคืนทุกคนก็พากันแยกย้ายไปพักผ่อน
เนื่องจากว่านอนต่างที่ทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ กลางดึกคืนนั้นผมเลยแอบเดินไปสูบบุหรี่ที่ข้างนอกอันที่จริงผมก็รู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่เหมาะสมแต่ว่าตอนนั้นมันอดไม่ได้จริงๆ ผมกลัวว่าคนแถวนั้นจะเหม็นควัณบุหรี่เลยเดินไปค่อนข้างไกลจากที่พักพอสมควร ที่ตรงนี้อยู่ใกล้ๆกับเจดีย์เก่าผมเห็นว่าแถวนี้ไม่มีใครอยู่เลยเอาบุหรี่ออกมาจุดสูบอย่างสบายใจ
ทีแรกก็เหมือนไม่ได้มีอะไรแต่อยู่ดีๆก็รู้สึกหนาวขึ้นมาทั้งที่ตอนนั้นก็ไม่ได้มีลมพัดผ่านมาเลย ผมไม่ได้สนใจอะไรยังคงยืนสูบบุหรี่ต่อไปอีกสักพัก แต่ว่าไม่นานนักผมเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งเดิมออกมาจากทางด้านหลังเจดีย์ ชายคนนั้นมีรูปร่างอ้วน ผิวกายดำคล้ำ หัวล้านมีเส้นผมอยู่นิดหน่อย ส่วนหน้าตาผมมองเห็นไม่ค่อยชัดเพราะมันค่อนข้างมืด เขาไม่ใส่เสื้อช่วงล่างใส่แค่เพียงผ้าขาวม้าเท่านั้น ผมเดาว่าสงสัยคงเป็นคนที่อาศัยในวัดเดินมาเตือนว่าห้ามสูบบุหรี่ตรงนี้
“เอ่อ ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้วครับ” ผมรีบพูดตัดบทไปก่อนและกำลังจะเดินหนีออกไปที่อื่น
“มีอะไรให้กินมั้ย หิว หิวมากเลย” ชายคนนั้นบอกว่ารู้สึกหิวมาก
“อ๋อ ผมมีขนมอยู่ในกระเป๋าครับ ตามผมมาเลยเดี๋ยวผมแบ่งให้” ผมถือว่าการแบ่งปัญเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
“ตามไปไม่ได้ เอามาให้กินตรงนี้หน่อย” ชายคนนั้นตอบผมกลับมา
“ถ้ากลับไปแล้วผมคงออกมาอีกไม่ได้นะครับ เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะว่าผมเอา” ผมพยายามอธิบายให้แกฟัง
ชายคนนั้นนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรกลับมาก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปอื่น ผมเดาว่าเขาอาจจะรู้สึกไม่พอใจที่ผมไม่ยอมนำขนมให้ แต่ผมก็ไม่อยากเสี่ยงออกมาหลายรอบเพราะใจหนึ่งก็เกรงใจคนอื่นในที่พักด้วยเช่นกัน บางทีเขาอาจจะเป็นคนจรจัดหรือไม่ก็คนสติไม่ดีที่อาศัยของกินภายในวัดประทังชีวิต ที่จริงผมเองก็รู้สึกสงสารเขาเหมือนกันเขาคงจะหิวมากเลยมาของกินกับผมแบบนั้น ผมเดินกลับไปที่พักแล้วก็นอนหลับไปตามปกติ
วันถัดมากิจกรรมในวัดยังคงดำเนินไปตามตามปกติ พอถึงตอนกลางวันผมนึกถึงเรื่องที่เจอเมื่อคืนเลยกะว่าจะนำขนมและน้ำไปให้ชายแปลกหน้าอีกครั้ง ผมจึงเดินไปหาหลวงพี่รูปหนึ่งเพื่อถามหาที่อยู่ของชายคนนั้น
“หลวงพี่ครับ พอทราบมั้ยครับว่าแถวมีผู้ชายที่ใสผ้าขาวม้าอยู่ในวัดบ้างรึเปล่าครับ” ผมเอ่ยถาม
“ทำไมรึ โยมมีธุระอะไร” หลวงพี่ถามกลับมา
“พอดีผมเจอเขาเมื่อคืนหนะครับ เห็นว่าน่าจะหิวมากวันนี้เลยจะนำของกินไปให้ครับ” ผมกล่าว
“อาตมาว่าโยมตั้งใจปฏิบัติธรรมดีกว่านะ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจหรอก” หลวงพี่ตอบกลับมาอย่างไม่สนใจ
ผมเห็นว่าพูดคุยต่อไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นเลยรีบแยกตัวออกมา ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมหลวงพี่ถึงมีจิตใจคับแคบไม่ยอมสนใจปากท้องคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็พระแท้ๆ ผมได้แต่เก็บความสงสัยตรงนั้นเอาไว้ในใจในเมื่อไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป
พอตกกลางคืนผมแอบออกไปสูบบุหรี่ในช่วงกลางดึกอีกครั้ง แต่ผมไม่ลืมที่จะนำขนมมาด้วยเผื่อว่าถ้าเจอชายคนเดิมอีกจะได้เอาให้แกกิน แล้วก็เป็นไปตามที่คิดชายคนนั้นปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกครั้ง เขาเดินออกมาจากทางด้านหลังเจดีย์แล้วมุ่งหน้าตรงมาหาผม
“เอามาให้กินหน่อย” ชายคนนั้นร้องขอของกินจากผมทันทีที่เจอหน้ากัน
“เอานี่ผมหยิบมาให้แล้ว กินให้อิ่มเลยนะ” ผมยื่นขนมที่อยู่ในมือส่งให้
แทนที่ผู้ชายคนนั้นจะหยิบของกินแต่เขากลับยืนนิ่ง ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่สติไม่ดีหรือไม่ก็คงกำลังกลัวผมรึเปล่า ผมเลยเอาขนมไปวางไว้ตรงแผ่นปูนใกล้ๆกับที่เขายืนอยู่แล้วก็เดินออกมาสูบบุหรี่ต่อ พอชายแปลกหน้าเห็นว่าผมถอยออกมาเขาจึงค่อยเดินเข้าไปใกล้ถุงขนม แต่ว่าแทนที่เขาจะหยิบขนมจากในถุงออกมากินเขากลับทำท่าทางประหลาดตัวงอชักกระตุกอย่างรุนแรง ตอนนี้ผมเริ่มไม่สบายใจแล้วไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่รึว่ากำลังเกิดอาการประสาทหลอนอยู่รึเปล่าก็ไม่แน่ใจ
ทันใดนั้นเองชายแปลกหน้าเริ่มมีร่างกายสูงใหญ่ขึ้น ส่วนสูงน่าจะพอๆกับเสาไฟฟ้า ผิวกายเปลี่ยนเป็นสีดำเข้ม ดวงตากลมโตเรืองแสงสีเหลือง มีปากยื่นยาวเหมือนท่อออกมาคล้ายกับปากของยุง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก ตอนนี้มันชัดเจนแล้วสิ่งที่ผมเห็นมันคือเปรต ผมตกใจจนทำบุหรี่หล่นคามือร่างกายเริ่มสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว เปรตตัวนั้นใช้มืออันใหญ่โตหยิบถุงขนมขึ้นมาแล้วบีบให้ละเอียดก่อนที่จะเทเศษขนมลงบนพื้น
ผมยังคงตกใจทำตัวไม่ถูกไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหนจึงได้แต่มองดูการกระทำของเปรตตัวนั้นเพียงอย่างเดียว มันค่อยๆก้มตัวลงใช้ปากที่เหมือนท่อยื่นไปใกล้ๆเศษขนมบนพื้น มีลิ้นยาวแลบออกมาจากส่วนที่เป็นท่ออีกทีซึ่งคอยทำหน้าที่ดูดกินอาหารเข้าสู่ปากคล้ายๆกับวิธีกินอาหารของสัตว์จำพวกตัวกินมด
ระหว่างที่เปรตกำลังก้มกินอาหารมันได้มีอาการชักกระตุกขึ้นมา หัวของมันค่อยๆปูดนูนขึ้น มีสิ่งที่ดูคล้ายแผ่นใบเลื่อยแบบกลมหรือไม่ก็คงเป็นกรงจักรหมุนปั้นขึ้นมาทะลุอยู่ที่กลางหัวของมัน ผีเปรตแสดงท่าทางเจ็บปวดเจ็บอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีกรงจักรหมุนอยู่กลางหัว มันก้มกินเศษขนมสลับกับร้องโหยหวนออกมาเป็นเสียงหวีดแหลม มือข้างหนึ่งโกยอาหารมาที่ปาก ส่วนมืออีกข้างคอยกดแผ่นกรงจักรให้ยุบกลับเข้าไปข้างในหัว มันเป็นภาพที่น่ากลัวมากขนาดผมคิดว่าตัวเองเป็นคนใจแข็งมากแล้วก็ยังทนมองสิ่งนี้ต่อไปไม่ไหว
พอเริ่มตั้งสติได้ผมรีบวิ่งออกจากตรงนั้นทันที มีเสียงหมาหอนและหวีดแหลมดังตามหลังมา ผมไม่สนใจก้มหน้าก้มตาวิ่งต่อไปจนถึงที่พัก พอไปถึงกลับพบว่าหลายคนเริ่มตื่นขึ้นมา ผมได้ยินคนในนั้นพูดกันถึงเสียงหมาหอนและเสียงหวีดแหลมที่กำลังดังระงมไปทั่ววัด หลายคนมองผมที่เพิ่งกลับเข้ามาเหมือนสงสัยว่าออกไปทำอะไรที่ข้างนอก ผมกลับมานอนด้วยอาการหวาดกลัวสุดขีดก่อนที่จะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ปฏิบัติธรรมภายในวัด ผมพยายามไม่นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอเมื่อคืนแต่มันก็ไม่สามารถเอาภาพผีเปรตออกไปจากหัวสมองได้เลย
“เมื่อคืนมีเสียงร้องดังมากเลยนะ โยมได้เสียงบ้างรึเปล่า” หลวงพี่รูปเดิมกล่าวทักทายผมขึ้นมา
“เสียงอะไรเหรอครับ” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องถึงสิ่งที่ท่านพูด
“เสียงเปรตไง นั่นแหละผู้ชายที่โยมถามหาเมื่อวันก่อน” หลวงพี่กล่าว
“หลวงพี่ทราบด้วยเหรอครับว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเปรต” ผมถามด้วยความตกใจ
“รู้สิ ทีแรกไม่อยากเล่าให้โยมฟังหรอกนะ กลัวว่าเดี๋ยวจะกลัวจนปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ” หลวงพี่กล่าว
หลวงพี่ท่านนี้ได้พูดต่ออีกว่าเปรตที่ผมเห็นแต่เดิมนั้นคือตาจิต แกเป็นคนจรจัดที่มาอาศัยหลับนอนอยู่ภายในวัด ช่วงแรกตาจิตก็ดูปกติดีทุกอย่างเวลามีงานต่างๆแกก็มักที่จะอาสามาคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ ทางเจ้าอาวาสก็เห็นว่าเป็นคนดีมีน้ำใจท่านก็คอยบอกให้พระลูกวัดเอาข้าวและน้ำมาให้แกกินอยู่เสมอ
ต่อมาตาจิตได้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปซึ่งเป็นผลมาจากการเสพยาเสพติด ทุกครั้งนี้ได้เงินแกมักจะนำไปซื้อยามาเสพ ยิ่งเสพบ่อยก็ยิ่งพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง พอพระในวัดไม่ให้เงินก็มักตะโกนด่าด้วยถ่อยคำที่หยาบคายบางครั้งถึงขั้นลงไม่ลงมือทำร้ายพระภายในวัดก็มีเช่นกัน
ทางวัดเคยแจ้งตำรวจให้มาจับตัวไปที่โรงพัก แต่ถูกจับได้ไม่นานก็ถูกปล่อยตัวออกมาสร้างความเดือนร้อนอีกเหมือนเดิม คราวนี้รุนแรงถึงขั้นนำเงินบริจาคในวัดไปซื้อยาเสพติด พอท่านเจ้าอาวาสจับได้ก็เลยช่วยกับจับนำตัวไปขังในห้องพักเพื่อหวังว่าจะให้เลิกยาได้โดยเด็ดขาด แต่ในวันถัดมากลับพบว่าตาจิตได้เสียชีวิตอยู่ที่ข้างนอกตรงเจดีย์เก่าโดนสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากผลข้างเคียงจากการเสพยามากเกินไป
พอผมได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดกลับยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม หลวงพี่ถามผมต่อว่าถ้ากลัวแล้วจะขอกลับก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ผมมองว่าปฏิบัติธรรมมาถึงขนาดนี้แล้วเหลืออีกแค่วันเดียวอดทนเอาให้จบเลยดีกว่า
ค่ำคืนสุดท้ายได้มาถึง คราวนี้ผมอดทนยอมที่จะไม่ออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกเพราะกลัวว่าจะต้องพบเจอผีเปรตอีก พอถึงช่วงประมาณตีหนึ่งได้มีเสียงหมาหอนดังขึ้นระงมไปทั่ววัด หลายคนในที่พักตื่นขึ้นมาเพราะตกใจกลัวเสียงที่ได้ยิน ว่ากันว่าเวลาคนมาทำบุญกันเยอะๆมักจะดึงดูดพวกสัมภเวสีให้มารวมตัวกันเพื่อขอส่วนบุญ
ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้บอกเลยว่าไม่ควรออกไปข้างนอกเป็นอย่างมาก แต่ว่าผมดันเกิดปวดปัสสาวะขึ้นมาอย่างหนักพยายามทนแล้วแต่ทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ ผมมองดูว่าเผื่อมีใครจะออกไปข้างนอกด้วยกันรึเปล่าแต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ห้องน้ำอยู่ค่อนข้างไกลจากที่พักพอสมควรแต่ผมปวดจนทนไม่ไหวจึงต้องจำใจเดินออกไป พอมาถึงที่ห้องน้ำผมมองไปรอบๆเพื่อความสบายใจ แถวนั้นมีแค่ต้นไม้กับคลองที่อยู่ด้านหลังเท่านั้น พอเห็นว่าทุกอย่างปกติดีผมจึงเข้าไปทำธุระในห้องน้ำตามปกติ
พอทำทุกอย่างเสร็จแล้วผมเดินออกมาข้างนอก ยังไงก็มาข้างนอกทั้งทีขอแวะสูบบุหรี่อีกสักมวนก่อนกลับแล้วกัน แต่ยังไม่ทันจะได้จุดบุหรี่พอผมมองไปที่คลองก็เห็นร่างสูงใหญ่กำลังก้มลงดูดของเหลวจากน้ำในคลอง เหมือนมันจะเห็นผมด้วย แต่คราวนี้ผมมีสติมากพอจึงรีบออกตัววิ่งหนีทันที เสียงหวีดแหลมที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลังอีกครั้ง ผมกลั่นใจอดทนวิ่งมาจนถึงที่พักด้วยความเหนื่อย คนที่อยู่ข้างในเห็นผมท่าทางเหนื่อยหอบกลับมาเลยมีคนเข้ามาพูดคุยถามว่าผมเป็นอะไรรึเปล่า
“หนูเป็นไรรึเปล่า ทำไมหน้าซีดแบบนั้นหละ” คุณป้าท่านหนึ่งถามผมด้วยความเป็นห่วง
“คือว่า ผมไปเจอเปรตมาครับ เจอมาสองคืนแล้วครับ” ผมตัดสินใจบอกความจริงให้คุณป้าทราบ
“จริงเหรอ เมื่อตอนหัวค่ำป้าเดินผ่านเจดีย์เก่าเห็นเงาร่างสูงๆเหมือนกัน” คุณป้าบอกว่าเพิ่งเจอกับเปรตเมื่อตอนหัวค่ำ
“ผมเจอใกล้ๆตรงนั้นเลยครับป้า ผีเปรตมีกรงจักรหมุนอยู่บนหัวด้วยนะครับ” ผมอธิบายลักษณะผีเปรตเพิ่มเติม
“น่ากลัวน่ะนั่น ฟังสิหมาหอนไม่หยุดเลย รีบนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ้งนี้ก็ได้กลับแล้ว” ป้ารีบตัดบทหนีไปนอนทันที
หลังสนทนากับคุณป้าเสร็จผมจึงแยกย้ายกลับไปนอนต่อกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปเกือบเช้าแล้ว ผมรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งในตอนเช้ามีกิจกรรมสวดมนต์นั่งสมาธิก่อนกลับ ผมแอบได้ยินมาว่ามีหลายคนจับกลุ่มพูดคุยถึงเรื่องผีเปรตที่อยู่ในวัดคงหมายความว่าไม่ได้มีแค่ผมกับป้าเท่านั้นที่เห็นมันแต่ยังมีอีกหลายคนที่ได้พบเห็นเปรตตนนี้
ก่อนกลับผมได้ซื้อปัจจัยจำนวนหนึ่งเพื่อนำไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตตนนั้น แม้จะรู้สึกกลัวแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกสงสารปนเวทนาด้วยเช่นกัน ถึงแม้ผมจะตกงานและมีชีวิตที่ลำบากในตอนนี้แต่ผมก็ยังรู้สึกโชคดีที่อย่างน้อยชาตินี้ยังได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะครบสามสิบสอง ไม่ต้องเกิดเป็นอสูรกายที่ต้องอยู่ทุกทรมาน หลังจากทำกิจกรรมในวัดช่วงเช้าเสร็จแล้วทุกคนจึงเดินทางออกจากวัดเพื่อกลับบ้านของตัวเอง
นับตั้งแต่ที่ผมได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนั้นผมกลายเป็นคนที่ไม่กล้าทำบาปแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ขนาดพูดโกหกผมก็ยังไม่กล้าทำ ผมกลัวมากๆว่าถ้าทำบาปจะต้องตกนรกกลายไปเป็นเปรต แค่เห็นก็รู้สึกทุกข์ทรมานมานแล้ว ปากเล็กเหมือนท่อกินอาหารก็ลำบาก แถมยังมีกงจักรคอยอยู่บนหัวเหมือนเป็นการลงโทษคนที่มีบาปหนา สิ่งที่ผมเจอช่วยย้ำเตือนใจให้ผมตั้งมั่นอยู่ในความดีใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนคนอื่นอยู่เสมอ...
สนใจสั่งซื้อ E-Books ได้ที่ meb -
https://shorturl.asia/QoODl
นิยาย
เรื่องเล่า
บันเทิง
1 บันทึก
1
1
1
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย