29 ส.ค. 2023 เวลา 05:45 • ธุรกิจ

“ESSO” สิ้นสุดตำนาน 129 ปี เปลี่ยนสู่ “บางจาก” บิ๊กดีลพลังงานไทย 2.26 หมื่นลบ.

ดีลใหญ่แห่งวงการพลังงานของไทยปี 2566 เมื่อ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เข้าเทคโอเวอร์ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO และแล้วดีลควบรวมขนาดใหญ่นี้สำเร็จเสร็จสิ้น ที่มาพร้อมกับการแปรเปลี่ยนแบรนด์ปั๊มน้ำมัน ESSO ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 129 ปี สู่แบรนด์บางจากอย่างเต็มตัวในวันที่ 1 กันยายน 2566
ข่าวใหญ่ครั้งใหญ่นี้เริ่มขึ้นเมื่อปลายปี 2565 เมื่อสื่อต่างประเทศรายงานถึง BCP ชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวเตรียมเข้าซื้อกิจการของ ESSO ว่า คณะกรรมการบริษัทมีการพิจารณาการลงทุนอยู่เสมอ ในขณะนั้นยังไม่มีข้อสรุป รวมถึงรายละเอียดและเงื่อนไขการลงทุนใดๆ ด้าน ESSO ออกมาชี้แจงเช่นเดียวกันว่าบริษัทไม่ออกความเห็นเรื่องข่าวลือหรือการคาดเดาใด ๆ
เป็นเวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือน BCG แจ้งต่อ ตลท.ว่าที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ ESSO จาก ExxonMobil โดยเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% พร้อมประกาศทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) ทั้งหมด ซึ่งมีการทำสัญญาซื้อขายหุ้นในวันที่ 11 มกราคม 2566
ขณะที่ ESSO แจ้ง ตลท.ว่า กรรมการซื้อขายหุ้นนี้ขึ้นอยู่กับผลสำเร็จของเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งรวมถึงการได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง (หากมี) เช่น กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า
พร้อมระบุว่าเนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงการควบคุม เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น จะส่งหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้า (Trademark License Agreement) มายัง ESSO โดยให้การเลิกสัญญามีผลในวันที่เป็นผลสำเร็จตามสัญญาซื้อขายหุ้น และจะทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าแบบไม่เป็นผู้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันที่เป็นผลสำเร็จ
เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2566 ESSO ได้รับหนังสือบอกกล่าวการเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าจาก EMC โดยให้การเลิกสัญญามีผลเมื่อธุรกรรมการซื้อขายหุ้นแล้วเสร็จอันจะเป็นผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูปและกิจกรรมเกี่ยวกับธุรกิจการตลาดเคมีภัณฑ์ภายใต้ตรา ExxonMobil ได้อีกต่อไป
และเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 BCP เคาะราคาซื้อขายหุ้น ESSO ที่ 9.8986 บาท/หุ้น หลังจบดีลควบรวม มูลค่าเสนอซื้อทั้งสิ้น 1.16 หมื่นล้านบาท เตรียมทำเทนเดอร์ 34% คาดชำระราคาค่าหุ้นสามัญ 2.2 พันล้านหุ้นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2566
โดยบริษัทคาดว่าจะดำเนินการซื้อหุ้นสามัญของ ESSO จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็น 65.99% จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte.Ltd (ผู้ขาย) ในมูลค่า 22,605,926,000 บาท หรือคิดเป็นราคา 9.8986 บาท/หุ้น และจะชำระราคาค่าหุ้นสามัญให้กับผู้ขายในวันที่ 31 สิงหาคม 2566
อนึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้องได้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 125 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2437 (จนถึงปี 2566 มีอายุ 129 ปี)
เป็นหนึ่งในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจการกลั่นและค้าน้ำมัน รวมถึงเคมีภัณฑ์แบบครบวงจร ซึ่งฐานธุรกิจหลักประกอบไปด้วย โรงกลั่นน้ำมันและโรงงานอะโรเมติกส์ที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เครือข่ายคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ รวมถึงธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ภายใต้ชื่อการค้า เอสโซ่ และ โมบิล
ธุรกิจของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วย
  • โรงกลั่นน้ำมันระดับมาตรฐานโลก ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และมีกำลังการผลิตสูงสุด 174,000 บาร์เรลต่อวัน หน่วยผลิตสารทำละลาย ซึ่งมีกำลังการผลิต 50,000 ตันต่อปี
  • เครือข่ายสถานีบริการเอสโซ่มีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน 731 แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564)
  • ช่องทางพาณิชยกรรม ครอบคลุมการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม ผู้ค้าส่ง ตลอดจนลูกค้าในอุตสาหกรรมการบินและการเดินเรือ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขายให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมและผู้ค้าส่ง ประกอบด้วยก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ยางมะตอย และน้ำมันหล่อลื่น
  • จำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ภายใต้ชื่อการค้า โมบิล และสนับสนุนเครือข่ายศูนย์บริการรถยนต์โมบิลทั้ง 232 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยศูนย์โมบิล 1 เซ็นเตอร์ 190 แห่ง และ โมบิลเอ็กซ์เพรส 42 แห่ง (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564)
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2551 ราคาไอพีโอ 10 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 4.9338 บาท จำนวนหุ้นจดทะเบียน ณ วันที่ 11 มกราคม 2566 จำนวน 3,460.86 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป ) 38,415.52 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 17 มีนาคม 2565 จำนวน 20,310 ราย คิดเป็นสัดส่วน 34.01%
อ่านบทความเพิ่มเติมที่ : https://moneyandbanking.co.th/2023/58035/
โฆษณา