30 ส.ค. 2023 เวลา 12:55 • นิยาย เรื่องสั้น

ชีวิตบัดซบที่คิดว่าไม่มีจริง EP.4 : รักแรก

เมื่อวานมึงด่ากูว่าอะไร” เรางงมาก แล้วบอกไปว่า “ไม่ได้พูดอะไรเลย” เท่านั้นแหละเราโดนแม่ใหญ่และเมียพ่อรุมตบหน้าเราแล้วด่าเราว่า “มึงนี่มันเหี้ยเหมือนแม่มึงเลยนะ
แล้วเราก็จบ ป.6 พี่สาวก็คลอดลูกได้ลูกสาวพ่อเราดีใจมากที่ได้ลูกสาว เพราะพ่อบอกว่าอยากได้ลูกสาวอยู่แล้วก่อนหน้านี้ เราไม่เคยได้รับความสนใจอยู่แล้วยิ่งหนักกว่าเดิมไปอีกเราเหมือนอากาศที่ไม่มีตัวตนในบ้าน เราเลยตัดสินใจว่าจะไม่เรียนต่อ ม.1 เพราะเบื่อความเป็นอยู่ เบื่อครอบครัว ไม่อยากยุงหรือสุงสิงกับใคร และแล้วก็มีคนมาสะกิดต่อมให้ฮึดสู้อีกครั้ง นั่นก็คือพ่อของไอ้พีท
พีทคือเพื่อนเราที่อยู่ที่อยุธยาอยู่ห้องแถวแถวที่เราอยู่ เนื่องจากอายุเท่ากันเลยมีความสนิทสนมกันมาก แต่พีทกับเราเรียนกันคนละโรงเรียนแต่พอกลับจากโรงเรียนถึงบ้านก็เล่นกันตามประสาเด็กพอเล่นเสร็จก็นั่งทำการบ้านด้วยกัน พีทเป็นเด็กที่ฉลาดมากถ้าการบ้านยากๆเราถามพีทตอบได้ทุกข้อทุกวิชา ส่วนใหญ่เราจะไปเล่นที่บ้านพีทเพราะสบายใจที่ได้เล่นที่นั่น พีทมีของเล่นเยอะมากแต่เราไม่มีเลย พ่อของพีทเป็นคนใจดีดูแลเราเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งจนเราคิดว่า “ทำไมพ่อพีทไม่มาเป็นพ่อเรานะ”
พ่อของพีททำงานที่เดียวกับพ่อมานานและรู้จักแม่เราเลยเห็นความเป็นมาทุกอย่างในครอบครัวเราจนทำให้เขาสงสารเรา จนช่วงที่จบ ป.6 พ่อพีทก็ถามเราว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน ด้วยความคิดที่เป็นเด็กเราก็เลยบอกว่า ”ว่าจะไม่เรียนแล้วครับ เรียนไปก็เท่านั้นยังไงก็โดนตีโดนทรมานอยู่ดี เรียนไปทำไม” พ่อของพีทบอกว่า “อย่าคิดแบบนั้นนะลูก
ยิ่งเราเป็นแบบนี้ เป็นลูกเมียน้อยคนเค้าบอกว่ายังไงก็ไม่ได้ดีเราต้องทำให้คนที่ดูถูกเหยียดหยามเราเห็นว่า ลูกเมียน้อยอย่างเราก็มีอนาคตที่ดีได้ แม้ว่าจะถูกเลี้ยงมาแบบไม่ดีก็ตาม จำไว้นะลูก” ทำให้เราคิดได้ว่าจะต้องทำให้คนที่พูดเหยียดหยามเราไม่สามารถมาดูถูกได้อีก โดยเฉพาะพ่อและเมียของพ่อเรา
หลังจากนั้นพีทได้ชวนเราไปติวที่บ้านแทบทุกวันในช่วงปิดเทอมตอนเตรียมสอบเข้า ม.1เราก็ไปแต่ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะเราไม่ฉลาดเหมือนพีท แต่เราก็พยายามเต็มที่นะเท่าที่สมองเราทำได้ พีทชวนเราไปสมัครสอบเข้าที่โรงเรียนประจำจังหวัดเราก็ไป สุดท้ายแล้วพีทเป็นคนที่สอบติดแต่เราสอบไม่ติด แต่เราก็ไม่ท้อนะคิดว่าเรียนที่ไหนก็เป็นโรงเรียนเหมือนกันจบมาก็ได้ดีเหมือนกัน
เราเลยตัดสินใจไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอที่ใกล้บ้านที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืด ซึ่งเราไม่เสียใจเลยที่ได้เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ แต่ก็มีเหตุให้เราต้องตื่นเช้ามืดเหมือนเดิม เพราะพ่อเราไปซื้อบ้านในตัวจังหวัดและย้ายไปอยู่โดยมี แม่ใหญ่ เมียพ่อลูกสาวพ่อและก็เราส่วนพ่อนั้นไปไปมามา เราเดินทางไปโรงเรียนต้องโดยสารรถประจำทางในสมัยนั้นค่อนข้างช้ามาก สมัยนั้นเรียกว่ารถหวานเย็น กว่าจะถึงก็เป็นชั่วโมงๆ
ก่อนไปโรงเรียนเราทำงานบ้านเหมือนเคย เราต้องไปให้ทันรถประจำทางเที่ยวแรกเวลา 6 โมงเช้า หากช้ากว่านั้นก็สายซิครับเพราะรถประจำทางเที่ยวแรกจะไปถึงหน้าโรงเรียนเวลา 7 โมงพอดีมีเวลาเล่นกับเพื่อนๆ พอเราเปิดเทอมเราสมัครเข้าชมรมดนตรีเราได้รับเลือกเป็นนักดนตรีในวงดุริยางค์ของโรงเรียนด้วย พอถึงโรงเรียนเราก็ไปสิงอยู่ที่ห้องดนตรีเตรียมอุปกรณ์ดุริยางค์ไว้ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ พอเตรียมเสร็จเรากับเพื่อนก็บรรเลงเพลงกันในห้องเพราะในห้องดนตรีมีเครื่องดนตรีทุกชนิดอย่างสนุกสนาน
เพลงส่วนใหญ่จะเป็นเพลงสตริง เช่น เพลงนางแมว ของ หิน เหล็ก ไฟ หรือไม่ก็ เพลงเพียงกระซิบบอก ของ พี่ปูแบล็คเฮด สนุกมากเล่นกันแบบครูไม่มาไล่ไม่เลิก โดนครูด่าประจำให้ไปเตรียมเข้าแถวได้แล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งครูชวนเราไปเล่นดนตรีในงานบวชแห่งหนึ่งในต่างอำเภอเราพยายามขออนุญาตพ่อแล้วแต่พ่อไม่ให้ไปเราเลยต้องหนีไปเพราะใจมันรักการเล่นดนตรีก็ พอกลับมาก็พ่อไม่ฟังคำอธิบายเราโดนไป 2 โหล 24 ทีจนหลังลาย เลือดซิบไปแต่ก็ชินแล้วครับไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำก็โดนอยู่ดีไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้
2
ในฤดูร้อนระหว่างที่เรียนอยู่ชั้น ม.1 ก็มีเหตุให้เจ็บตัวแบบงงๆเรื่องมีอยู่ว่า เราได้กลับไปที่บ้านพักที่เป็นห้องแถวกับพ่อและแม่ใหญ่ ซึ่งได้พักค้างกันที่บ้านหลังนั้น 1 คืน ในช่วงเย็นพ่อกับแม่ใหญ่ออกไปซื้อกับข้าวเราอยู่บ้านคนเดียวเลยปิดหน้าบ้านและออกทางหลังบ้านไปหาพีทเพื่อไปเล่นเกมส์กัน พอเล่นได้ไม่นานนักประมาณ 15 – 30 นาทีเห็นจะได้ก็มีป้าข้างๆห้องเดินผ่านห้องมาแล้วพูดว่าพ่อเรากลับมาแล้ว เราเลยพูดลอยออกมาว่า “เชี้ยแล้ว...พ่อกลับมาแล้วนึกว่าจะได้เล่นนานกว่านี้”
แล้วเราก็ลุกขึ้นกลับบ้านทันที ในวันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่วันรุ่งขึ้นในช่วงบ่ายหลังจากเรากลับมาจากออกไปเล่นบ้านพีทเห็นเมียพ่อ (มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้อยู่ในบ้าน) เรานั่งลงบนเก้าอี้หน้าทีวีบรรยากาศภายในบ้านดูเงียบๆน่ากลัว และแล้วแม่ใหญ่กับเมียพ่อก็เดินเข้ามาหาเราพร้อมกันแล้วถามว่า “เมื่อวานมึงด่ากูว่าอะไร” เรางงมาก แล้วบอกไปว่า “ไม่ได้พูดอะไรเลย” เท่านั้นแหละเราโดนแม่ใหญ่และเมียพ่อรุมตบหน้าเราแล้วด่าเราว่า “มึงนี่มันเหี้ยเหมือนแม่มึงเลยนะ”
คำนี้ทำให้เราโมโหมากจนลุกเดินออกเข้าไปในครัวหลังบ้านเพื่อหนีพวกเค้าทั้งสองคน แต่พวกเค้ายังตามเราออกไปเราหยิบกระบอกน้ำที่ใส่ไว้ในตู้เย็นออกมากินแล้วปาใส่หน้าเมียพ่อแล้วพูดว่า “ผมไม่ดีก็ด่าแต่ผมคนเดียว แม่ผมตายไปแล้วจะขุดแม่ผมขึ้นมาด่าทำไม” พวกเค้าเห็นแบบนั้นถึงกับต้องถอยออกไป เรานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวหลังบ้านอยู่เป็นชั่วโมงด้วยความเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจรวมทั้งงง...? ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
พอวันรุ่งขึ้นถึงรู้สาเหตุเป็นเพราะป้าข้างบ้านพี่เอาคำที่เราอุทานออกมานั้นไปเล่าให้แม่ใหญ่กับเมียพ่อฟังหาว่าเราไปด่าพวกเค้าว่าเหี้ยเลยโดนทำร้ายแบบที่เราไม่รู้เรื่องและไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น สุดท้ายความจริงก็คือโดนผู้ใหญ่(มนุษย์ป้า)ทำร้ายอีกแล้ว
2
ช่วงเวลาที่เรียนที่โรงเรียนนี้มีความสุขมาก เพราะเพื่อนๆเราเป็นเพื่อนที่ดีกับแทบทุกคนเวลาเรียนเราจะชอบนั่งอยู่หลังห้องเพราะมองเห็นอะไรกว้างดีหรือที่เค้าเรียกว่า”เด็กหลังห้อง” แต่เกรดเฉลี่ยเราก็ไม่เคยตกแม้จะหลังห้องก็ตาม สมัยนั้นเรามีดีกรีเป็นนักเรียนที่มาจากโรงเรียนในเมืองเลยเนื้อหอมพอสมควรและหน้าตายังใช้ได้อีกด้วย(ในเวลานั้นนะครับ) เคยมีสาวรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อพี่อัง มาขอเป็นแฟนเราอยู่ ม.1 พี่เค้าอยู่ ม.3 เราก็ใจง่ายซะด้วยก็เลยบอกว่า”ได้ครับ”
ก็เลยตกลงเป็นแฟนกันพี่เค้าก็มีดรีกรีเป็นนักร้องประจำวงดนตรีสตริงแห่งหนึ่งในจังหวัด จะบอกว่าพี่เค้าน่ารักเลยแหละ พอคบกันได้ซักระยะหนึ่งก็มีปัญหา เพราะก่อนที่พี่เค้าจะมาขอคบเราเค้ามีแฟนอยู่แล้วแต่ไม่ได้บอกกับเรา เลยทำพี่ผู้ชายเค้ามาทวงแฟนเค้าคืนแต่พี่สาวเค้าบอกกับเราว่าเค้าเลิกกันแล้ว เราจึงนัดพี่ผู้ชายมาเคลียกันแต่ไม่ลงตัวเลยเกิดการใช้กำลังกัน สมัยนั้นวัยรุ่นเค้าเคลียกันตัวต่อตัวไม่ได้มาเป็นหมู่กันแบบสมัยนี้ แค่ผลัดกันไปคนละหมัดพอดีมีพวกพี่ที่เราช่วยงานอยู่เค้าเข้ามาห้ามพอดี
สุดท้ายพี่สาวกับแฟนเก่าเค้าเคลียกันลงตัวเลิกกันและมาคบกับเรา พอคบกันได้ราวๆ 1 ปี เราพาพี่มาเที่ยวที่บ้านเรา แต่สายตาของพ่อเราและแม่ใหญ่กับเมียพ่อดูเหยียดหยามมาก เพราะเราเคยเล่าให้แม่ใหญ่ฟังว่าพี่เค้าเป็นนักร้องในวงดนตรี ครอบครัวไม่ชอบพวกเต้นกินรำกินและแสดงอาการที่ไม่ชอบจนพี่อังรู้สึกได้และเก็บความไม่พอใจไว้ จากนั้นความสัมพันธ์ก็เริ่มแย่ลงและในที่สุดก็ห่างกันไป พอจบ ม.1 พี่เค้าไปเรียนต่อ ม.ปลายอีกโรงเรียหนึ่งทำให้ความสัมพันธ์นั่นจบลงอย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นรักแรกของเรา
พอขึ้น ม.2 ความเป็นอยู่ที่บ้านก็เป็นเหมือนเดิมๆ ต้องทำงานบ้านก่อนไปโรงเรียน ส่วนวันหยุด เสาร์ - อาทิตย์ จะรีบทำงานบ้านเป็นพิเศษจะได้ไปหาดูการ์ตูนที่บ้านพีทเพราะทีวีที่บ้านเราดูช่อง 9 ไม่ได้มันไม่ชัด สมัยนั้นถ้าดูการ์ตูนต้องดูช่อง 9 ดราก้อนบอลเราโคตรติดเลย พอเริ่มโตขึ้นเสื้อผ้าที่ใส่ก็ใส่ไม่ค่อยได้แล้วเสื้อผ้าใหม่ไม่ต้องฝันที่จะได้ เสื้อผ้าที่ได้ใส่ส่วนใหญ่เป็นของมือสองของพวกพี่ๆลูกแม่ใหญ่เค้าโล๊ะมาให้ เวลาไปเรียนก็เวลาเดิมแล้วความรักครั้งใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งตอนขึ้น ม.2
ในห้องเรียนมีเพื่อนๆอยู่ประมาณ 35 คนเห็นจะได้ แต่มีผู้หญิงอยู่หนึ่งคนซึ่งในช่วง ม.1 นั้นผมแถบไม่ได้สนใจเธอเลย แต่พอขึ้น ม.2 ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเธอคนนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กน่ารักใบหน้าเรียวสวยผิวพม่าในตาแขกเพราะเธอเป็นลูกครึ่งไทย - ญวนมีรักยิ้มที่แก้มข้างซ้าย เธอน่ารักมากเวลาที่เธอยิ้ม เรายังจำติดตาจนถึงทุกวันนี้ เธอมีชื่อว่า “เกศ” เรากับเกศได้คุยกันถูกคอเพราะพื้นฐานครอบครัวของเราและเกศคล้ายกัน
เกศเป็นลูกติดที่แม่ของเกศแต่งงานใหม่ไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเลี้ยงเท่าไหร่เลยทำให้เราสองคนมีความทุกข์คล้ายๆกัน เราจะผลัดปรึกษาปัญหาของกันเสมอทำให้เราสนิทกันมากและเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นแฟน แต่เราไม่เคยพาเกศไปบ้านเราเลยเพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมเหมือนพี่อัง และอีกอย่างที่ปลื้มในตัวของเกศมากคือเกศนั้นได้เป็นนางนพมาศงานลอยกระทงประจำปีของโรงเรียนในปีหนึ่งซึ่งทำให้เรายิ้มไม่หุบเลย
หลังจากเกศได้เป็นนางนพมาศเราทะเลาะกันบ่อยมาก เพราะมีแต่คนเข้ามาจีบเกศมากขึ้นทำให้เราไม่พอใจเราก็หึงและหวงเกศมากในที่สุดก็เลิกกัน แต่ไม่ก็ถึงกับถึงขั้นเลิกกันอย่างเด็ดขาดก็ยังคงคบและคุยปรึกษาปัญหาต่างๆกันอยู่ตลอดจนถึงช่วงที่เราต้องห่างกันไปเรียนต่อ (รายละเอียดอยู่ใน EP.5)
ในวันก่อนวันค้ลายวันเกิดอายุครบ 15 ปีของเรา ด้วยความที่เราชอบเล่นดนตรีเลยเอ่ยปากขอของขวัญวันเกิดกับพ่อเราโดยของขัวญนั้นคือ อิเล็กโทน ตัวใหญ่แบบที่เราเคยเรียนพ่อเราบอกว่าได้เดี๋ยวจะหาซื้อให้ เราดีใจมากที่จะได้ของขวัญอย่างที่ใจเราอยากได้บ้างเพราะเราไม่เคยได้ของขัวญจากพ่อเลย ในใจเราคิดว่าพ่อคงรักเราบ้างแล้ว... แล้ววันคล้ายวันเกิดของเราก็มาถึงเราตื่นเต้นสุดๆอยากจะเห็นของขัวญของเรา ช่วงเย็นเราไม่ไปไหนเลยเฝ้ารอว่าพ่อจะเอาของขวัญออกมาให้เมื่อไหร่แล้วก็ถึงเวลา เห็นพ่อถือกล่องออกมาจากห้องนอนพ่อ1 กล่อง
แต่ด้วยความสับสนว่าทำไม่กล่องอิเล็กโทนที่เราอยากได้นั้นมันเล็กจัง แต่พ่อก็ยืนยันว่ามันคือ อิเล็กโทน เราเลยแกะกล่องออกดูแต่มันกลายเป็นอิเล็กโทนแบบอันเล็กเท่าเมาท์ออกแกน เราถามว่า”พ่อทำไมมันเล็กอย่างนี้ล่ะพ่อ” พ่อเราตอบกลับมาว่า”อย่าเรื่องมากเอาแบบนี้ไปก่อนอันใหญ่มันแพงซื้อให้ก็บุญแล้ว” เราพูดอะไรไม่ออก ก็คงต้องรับมันไป
แต่ภายใน 9 เดือนต่อมาซึ่งเป็นวันค้ลายวันเกิดของน้องสาวเราที่เกิดจากเมียพ่อ พ่อกลับซื้ออิเล็กโทนในแบบที่เราอยากได้ให้น้องสาวทั้งๆที่เล่นไม่เป็นเลย แถมเราเข้าไปเล่นไม่ได้ถ้าเข้าไปเล่นจะโดนเมียพ่อด่าทันทีว่า “มึงอย่ามาเล่นเดี๋ยวพัง มึงมีปัญญาซื้อใช้ไหม?” เราได้แต่นั่งมองน้องเล่น นี่แหละคือความลำเอียงที่ชัดเจนที่สุดของพ่อที่มีให้เรากับน้องสาวเรา...แต่เราก็ได้แต่อดทนและตั้งใจเรียนต่อไป..
1
พอใกล้จะจบ ม.3 มีการแนะแนวการเรียนต่อของสถาบันต่างๆซึ่งในช่วงเวลานั้นสายอาชีพกำลังเป็นที่นิยมมากเพราะประเทศกำลังต้องการแรงงานสายอาชีพเลยทำให้สายอาชีพมาแรงมาก เพื่อนๆหลายคนเบนเข็มไปกันหมดเราสองจิตสองใจระหว่าง สายสามัญกับสายอาชีพ แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้คำว่าเพื่อนเพราะเพื่อนๆไปสายอาชีพกันเกือบหมดเหลือไม่กี่คนที่เรียนสายสามัญต่อทำให้เรานั้นสนใจที่จะไปสมัครที่วิทยาลัยเทคนิคซึ่งเป็นวิทยาลัยหลักของจังหวัดเลยทีเดียว...
2
จบ EP.4
ในสมัยนั้นใครเรียนสายอาชีพพวก เทคนิค เทคโน ความรู้สึกคือโคตรเท่ห์เลย แต่มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมากของเราทำให้เกือบต้องลงไปอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิตที่ไม่เคยลืมเลย...ใน EP.5
ขอบคุณถาพประกอบ : https://www.dek-d.com/starissue/45621/
โฆษณา