31 ส.ค. 2023 เวลา 13:55 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จัดกลุ่มกองทุนหุ้นยุโรป มีเยอะแค่ไหนก็ไม่งง

+ รู้จักดัชนี STOXX50 และ STOXX600
วันนี้ #เด็กการเงิน ขอพามาจัดกลุ่มกองทุนหุ้นยุโรป
ซึ่งกองทุนหุ้นยุโรปนี้สามารถเป็น core port ให้เราได้อย่างสบาย
โดยภูมิภาคยุโรปส่วนใหญ่จัดเป็น Developed Country ระดับการพัฒนาของประชากรมีคุณภาพ
มีการเงินและการศึกษาที่ดี ก้าวไปสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อในสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ
เราจึงมีภาพจำว่าธุรกิจส่วนใหญ่ในยุโรปเต็มไปด้วยหุ้น Old Economy แต่เราอาจจะต้องมองยุโรปใหม่
โดยกลุ่มอุตสาหกรรม Health Care ที่มีโอกาสเติบโตสูง ควบคู่กับ Information Technology ที่สามารถเข้าสู่ผู้ใช้ทั่วยุโรปได้ทันที ยุโรป ณ ปัจจุบันจึงผสมผสานทั้งยุคใหม่เข้าด้วยกัน
วิธีคัด
1. เราแบ่งกองทุน ออกเป็น 2 ประเภทคือ กองทุน Passive และ Active
โดยกองทุน Passive ลงทุนใน ETF ที่เป็น EURO STOXX 50 (ไม่มี UK) และ EURO STOXX 600 ซึ่งเลข 50 และ 600 นั้นคือจำนวนหุ้นเรียงตามมูลค่าของกิจการหรือ Market Cap ดังนั้น 50 ตัว จึงดูกระจุกตัวกว่า 600 แต่สัดส่วน 30 ตัวแรก จะมีความเข้มข้นใกล้เคียงกัน
2. กองทุนแบบ Active สามารถแบ่งได้ตามขนาดของหุ้นตาม Market Cap เป็น Large-Mid Cap (ขนาดใหญ่-กลาง) และ Mid-Small Cap (ขนาดกลาง-เล็ก)
กองทุนหุ้นยุโรปที่เน้นหุ้นขนาดเล็กจะดีช่วงรอบเศรษฐกิจเปิด และจะย่ำแย่ช่วงตลาดขาลง เนื่องจากขนาดของกิจการมีขนาดเล็ก รายได้ของกิจการจึงมีผลต่อราคาหุ้นมาก ซึ่งแน่นอน รายได้ที่มาจากเศรษฐกิจที่ดี ทำให้หุ้นขนาดเล็กสามารถไปได้ไกลทีเดียว ส่วนหุ้นตัวใหญ่ มักจะมีภูมิต้านทานการขึ้นลงของเศรษฐกิจได้ดีกว่า (โดยเฉลี่ย) ซึ่งบางบริษัทมีสินค้าที่ติดตลาดและเป็นที่นิยมแล้ว สินค้าสามารถทำรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง มั่นคงกว่าหุ้นขนาดเล็กนั่นเอง
3. สไตล์ของหุ้น Growth / Blend / Value
หากหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในช่วงการเจริญเติบโตสูง จะอยู่กลุ่ม Growth
มีสตอรี่และแนวโน้มการเติบโตสูง กระแสเงินสดที่ทำได้มักจะนำไปลงทุนเพื่อเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ราคามักจะผันผวนจากความคาดหวัง
ในทางตรงกันข้าม หุ้นกลุ่มคุณค่า หรือ value เป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตคงที่ กระแสเงินสดดี เป็นต้น
ส่วน Blend คือการผสมระหว่าง 2 สไตล์
รู้จักดัชนีหุ้นยุโรป STOXX50 & STOXX600 ต่างกันอย่างไร?? 🤔
ช่วงนี้คนที่ลงทุนในหุ้นยุโรปคงจะหนาวๆร้อนๆกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้รู้จักหุ้นยุโรปบ้าง ถ้าหากมีความชัดเจนมากขึ้นอาจจะเลือกหุ้นยุโรปเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตได้ ซึ่งผลตอบแทนของตลาดหุ้นยุโรปดัชนี STOXX50 & 600 10 ปี ย้อนหลังอยู่ที่ประมาณ 7-8 %ต่อปี ถือว่าน่าสนใจทีเดียว อย่างไรก็ตามผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นตัวยืนยันผลตอบแทนในอนาคตนะ 😄
ข้อดีของหุ้นยุโรปอาจจะไม่ใช่การเจริญเติบโตที่หวือหวา แต่หากเป็นคุณภาพของประชากรที่มีความพร้อม มีกำลังซื้อ มีคุณภาพชีวิตที่ดี รูปแบบของสินค้าและบริการจะถูกพัฒนาสูงสุด ไม่ใช่เพิ่มขึ้นในเชิงของปริมาณ ยุโรปยังเป็นเจ้าของแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี สินค้าจากยุโรปส่งออกไปยังทั่วโลก เช่น ของแบรนด์เนม รถยนต์ เครื่องผลิตชิป พลังงาน เป็นต้น
ข้อเสียของยุโรปเห็นจะไม่พ้นการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ แต่ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปเป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งระบบสาธารณสุขของเค้าจัดว่ามีมาตรฐานสูง
รู้จัก STOXX
>STOXX คือบริษัทลูกของ Deutsche-Borse Group ผู้ให้บริการด้านข้อมูล market indexes ที่เป็นตัวแทนหุ้นยุโรป ใช้อ้างอิงทั่วโลก
>STOXX50 คือดัชนีหุ้นยุโรป blue chip หรือหุ้นที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงดี
>STOXX600 คือดัชนีหุ้น เรียงตาม market cap จากหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดเรียงจนครบ 600 ตัว (ที่เห็น 602 ตัว เกิดจากหุ้นบางตัวมีมากกว่า 1 share class)
>Stoxx600 มีหุ้นที่จดทะเบียนใน UK ถึง 25% หรือเป็น 1 ใน 4 ของพอร์ตเลยทีเดียว ในมุมหนึ่งคือการกระจายความเสี่ยงออกจากฝั่ง Eurozone (75%) ได้ มีหุ้นขนาดกลางและเล็กรวมอยู่ด้วย
>ทั้งสองดัชนีมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน แต่ Stoxx50 มีความผันผวนกว่าเล็กน้อยเนื่องจากมีจำนวนหุ้นน้อยกว่า
(!!) ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นตัวยืนยันผลตอบแทนในอนาคต
> ถ้ารับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง เรามองว่าในพอร์ตควรจะมีหุ้นยุโรปประมาณ 10-15% ของ core port
LINETODAY 👉https://today.line.me/th/v2/publisher/102405
โฆษณา