4 ก.ย. 2023 เวลา 18:52 • ประวัติศาสตร์

ตำนานแห่งอนูนาคี

อนูนาคีเป็นกลุ่มเทพ (group of deities) ที่พบในตำนานโบราณของเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุด และก้าวหน้าที่สุดในโลก สิ่งมีชีวิต (beings) เหล่านี้ถือเป็นบุคลากรศูนย์กลาง (central figures) ในระบบความเชื่อของชาวสุเมเรียน (Sumerians) อัคคาเดียน (Akkadians) บาบิโลเนียน (Babylonians) และอัสซีเรียน (Assyrians) อนูนาคีมีบทบาทสำคัญในการกำหนดจักรวาล ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า
บทนำ
(Introduction)
อนูนาคี (Anunaki) หมายถึง "บรรดาผู้ที่ลงมาจากสวรรค์" (those who came down from the heavens) เป็นกลุ่มเทพที่มีตำแหน่งสำคัญในตำนานเทพเจ้าโบราณแห่งเมโสโปเตเมีย ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ (divine beings) เหล่านี้มีบทบาทและปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อน นำเสนอมุมมองที่น่าหลงใหล (captivating glimpse) เกี่ยวกับความเชื่อทางจิตวิญญาณ และวัฒนธรรมของอารยธรรมยุคแรกๆ บางส่วนบนโลก
เมโสโปเตเมียตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส (Tigris and Euphrates rivers) ในอิรักในปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของวัฒนธรรมที่หลากหลาย รวมถึงชาวสุเมเรียน อัคคาเดียน บาบิโลเนียน และอัสซีเรียน อารยธรรมเหล่านี้เจริญรุ่งเรืองในดินแดนที่โดดเด่นด้วยที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ มีระบบชลประทานที่ซับซ้อน ซึ่งเอื้อต่อการเติบโตของสังคม ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ เกษตรกรรม (agriculture) การค้า (trade) และ การปกครอง (governance)
Map of Mesopotamia (ref.4)
อนูนาคี ถือเป็นตัวกลางระหว่าง มนุษย์กับพลังที่สูงกว่า (humans and higher powers) โดยทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารและผู้อำนวยความสะดวก (messengers and facilitators) ในพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งคุณลักษณ์ของมนุษย์และพระเจ้า โดยมีคุณสมบัติพิเศษ (embodied qualities) ต่างๆ เช่น สติปัญญา (wisdom) พลัง (power) และการควบคุมพลังธรรมชาติ (control over natural forces)
เรื่องเล่าของพวกเขาครอบคลุมตำนานการสร้างสรรพสิ่ง (creation myths) เรื่องเล่าของวีรชน (tales of heroism) และบทเรียนทางศีลธรรม (moral lessons) ซึ่งสะท้อนถึงคำถามพื้นฐานที่มนุษย์ครุ่นคิดมานานเกี่ยวกับต้นกำเนิดและเป้าหมายของพวกเขา (origins and purpose)
A carving depicting the Anunaki (ref.1)
ในระบบความเชื่อเมโสโปเตเมีย อนูนาคี มีบทบาทสำคัญในลำดับจักรวาล (cosmic order) พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาสมดุลระหว่างสวรรค์และโลก (balance between the heavens and Earth) โดยมีอิทธิพลต่อทุกสิ่ง ตั้งแต่สภาพอากาศไปจนถึงชะตากรรมของมนุษย์ การทำงานร่วมกันระหว่างเทพเหล่านี้ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อน ที่กำหนดการทำงานของจักรวาล (universe's functioning) ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงที่สังเกตได้(interconnectedness observed) ในโลกธรรมชาติ
กล่าวโดยสรุป อนูนาคียืนหยัดเป็นเครื่องพิสูจน์ (testament) ถึงความปรารถนาอันลึกซึ้งของมนุษย์ที่จะเข้าใจจักรวาลและพระเจ้า (cosmos and the divine) เมื่อเราเจาะลึกเรื่องราวและสัญลักษณ์เหล่านี้ เราไม่เพียงแต่ค้นพบความสมบูรณ์ของความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมียโบราณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเดินทางที่ไม่สิ้นสุด (unending journey) ของเรา เพื่อหยั่งรู้ (fathom) ความลึกลับที่ล้อมรอบเราด้วย
ต้นกำเนิดและบทบาทของอนูนาคีโบราณ
(Ancient Origins and Roles of the Anunaki)
อนูนาคีถือเป็นกลุ่มเทพที่ลงลึกไปในโครงสร้างของตำนานเมโสโปเตเมียโบราณ ซึ่งเป็นอารยธรรมยุคแรกสุดที่เจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคนี้ สิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มีบทบาทที่หลากหลายซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อที่ซับซ้อนและโครงสร้างทางสังคมของชนชาวในภูมิภาคนี้ เชื่อกันว่าอนูนาคี เป็นลูกหลาน (offspring) ของ อนู (Anu) ผู้เป็นเทพแห่งท้องฟ้า (sky god) และ คี (Ki) ผู้เป็นเป็นเทพีแห่งผืนดิน (earth goddess)
ลำดับวงศ์ตระกูล (genealogy) ของพวกเขาระบุว่า พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตบนสวรรค์ (celestial beings) ผู้เชื่อมโยงโดยตรงกับทั้งสวรรค์และโลก เป็นสัญลักษณ์ของบทบาทคู่ ในการรักษาท่วงทำนองของจักรวาล (maintaining cosmic harmony) และการดูแลอาณาจักรโลก (over.seeing the earthly realm)
A depiction of the ancient Sumerian god Enki (ref.1)
ท่ามกลางบทบาทที่หลากหลายของพวกเขา อนูนาคีได้รับการเคารพในฐานะผู้ควบคุมพลังธรรมชาติต่างๆ ที่หล่อหลอมโลก (shaped the world) ตัวอย่างเช่น เทพเอนลิล (Enlil) จะดูแลเกี่ยวกับอากาศ ลม และพายุ โดยครอบครองพลังเหนือพลังแห่งธรรมชาติ (wielding power over the forces of nature) ที่สามารถนำฝนที่ค้ำจุนชีวิต (life-sustaining rains) หรือพายุฝนฟ้าคะนองที่ทำลายล้าง (devastating tempests) ได้
ในทางกลับกัน เทพเอนกิ (Enki) จะเป็นใหญ่ในเรื่องของน้ำ ภูมิปัญญา และการสร้างสรรค์ ซึ่งรวบรวมพลังแห่งการก่อเกิด (generative forces) ที่ขับเคลื่อนชีวิตและนวัตกรรม (fueled life and innovation)
อนูนาคี ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดและรักษาระเบียบของจักรวาล (establishing and maintaining the cosmic order) ปฏิสัมพันธ์และลำดับชั้นของพวกเขาสะท้อนโครงสร้างทางสังคมของโลกมนุษย์ ซึ่งบ่งบอกถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์และสังคมมนุษย์ (divine realm and human society)
ความเชื่อมโยงระหว่างกันนี้สะท้อนให้เห็นในบทบาทของกษัตริย์ ซึ่งมักถูกมองว่า เป็นตัวกลางระหว่างอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์และอาณาจักรมนุษย์ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการธำรงรักษาความสงบเรียบร้อยและความยุติธรรม (upholding order and justice.)
ตำราโบราณหลายฉบับถือว่า การสร้างมนุษยชาติเกิดจากการกระทำของอนูนาคี ตัวอย่างที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือ มหากาพย์ อีนูมา อีลิช (Enuma Elish) ที่บรรยายถึงการกำเนิดของโลก การเกิดขึ้นของเทพเจ้าและมนุษย์ จากความสับสนวุ่นวายในยุคแรกเริ่ม ในตำนานนี้ อนูนาคีถือเป็นเครื่องมือในการสร้างมนุษย์จากดินเหนียว และแก่นแท้ของเทพเจ้า (divine essence) โดยเน้นย้ำถึงบทบาทในฐานะ ทั้งผู้สร้างและผู้อุปถัมภ์ (creators and patrons) มนุษยชาติ
อนูนาคี ยังถือเป็นสถาปนิกแห่งโชคชะตาของมนุษย์ พวกเขามีอิทธิพลต่อ ผลลัพธ์ของการต่อสู้ (outcomes of battles) ความรุ่งเรืองและการล่มสลายของอารยธรรม (rise and fall of civilizations) รวมไปถึงชะตากรรมของปัจเจกบุคคล (fates of individuals) แนวคิดนี้ได้ปรากฏอยู่ใน มหากาพย์แห่งกิลกาเมช (Epic of Gilgamesh)
ซึ่งการตัดสินใจของพระเจ้าในการส่งน้ำท่วม เป็นการสะท้อนถึงพลังของพวกเขา ในการกำหนดแนวทางประวัติศาสตร์ การแทรกแซง (intervention) ของอนูนาคี ได้ตอกย้ำความสามารถของพวกเขา ในการสร้างผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ในวงกว้าง (grand scale)
กล่าวโดยสรุป ต้นกำเนิดโบราณของอนูนาคี และบทบาทที่หลากหลาย ถือเป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างตำนาน (mythology) สังคม (society) และโลกธรรมชาติ (natural world) ในเมโสโปเตเมียโบราณ เรื่องราวของพวกเขาได้ให้ข้อมูลเชิงลึกว่า อารยธรรมเหล่านี้รับรู้ถึงสถานที่ของตนในจักรวาลได้อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ และภารกิจตลอดกาล (ever-present quest) เพื่อทำความเข้าใจความลึกลับของการดำรงอยู่ (mysteries of existence)
เรื่องเล่าในตำนานของอนูนาคี
(Mythological Narratives of the Anunnaki)
เรื่องเล่าในตำนานของอนูนาคี เป็นเรื่องราวที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเชื่อ (beliefs) ค่านิยม (values) และจักรวาลวิทยา (cosmology) ของอารยธรรมเมโสโปเตเมียโบราณ เรื่องเล่าเหล่านี้พบได้ในตำราเช่น อีนูมา อีลิช (Enuma Elish) และ มหากาพย์แห่งกิลกาเมช (Epic of Gilgamesh) ที่รวบรวมเรื่องราวของการสร้างสรรค์ ความกล้าหาญ และปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์
Enūma Eliš, Chaos Monster and Sun God (ref.3)
อีนูมา อีลิช ซึ่งมักเรียกกันว่าตำนานการสร้างชาวบาบิโลน (Babylonian creation myth) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลและการเกิดขึ้นของอนูนาคี ในฐานะบุคคลสำคัญในลำดับชั้นอันศักดิ์สิทธิ์ (divine hierarchy) มหากาพย์เริ่มต้นด้วยความสับสนวุ่นวายในยุคดึกดำบรรพ์ และการกำเนิดของ เทียมาท (Tiamat) เทพแห่งน้ำเค็ม และ แอพซู (Apsu) เทพแห่งน้ำจืด
ตามด้วยการต่อสู้ในเวลาต่อมาระหว่างเทียมาท และเหล่าเทพผู้เยาว์ ที่นำโดย มาร์ดัค (Marduk) จนส่งผลให้เกิดการสร้างโลก การสถาปนาบทบาทของอนูนาคี (establishment of the Anunnaki's roles) และการจัดระเบียบของจักรวาล (organization of the cosmos)
depiction of the slaying of Tiamat from Enūma Eliš (ref.3)
มหากาพย์แห่งกิลกาเมช เป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี โดยเล่าถึงการผจญภัยของกิลกาเมช กษัตริย์แห่งสุเมเรียน และ เอ็นคีดู (Enkidu) เพื่อนของเขา มหากาพย์นำเสนอธีมของความเป็นมรรตัย (mortality) มิตรภาพ (friendship) และการแสวงหาความเป็นอมตะ (quest for immortality)
ซึ่งมีอนูนาคี เป็นส่วนสำคัญของการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เกี่ยวข้องกับมหาอุทกภัย การตัดสินใจของพระเจ้าที่จะส่งภัยพิบัติน้ำท่วมโลก ที่คล้ายคลึงกับเรื่องราวในวัฒนธรรมอื่น เช่น เรื่องราวในพระคัมภีร์เรื่องเรือโนอาห์ (Noah's Ark)
Epic Of Gilgamesh (ref.2)
ตำนานการสืบเชื้อสายของอินันนา (Inanna) หรือ อิชตาร์ (Ishtar) เป็นหน้าต่างที่เผยให้เห็นอารมณ์ที่ซับซ้อนและคู่ธรรมชาติ (complex emotions and dual nature) ของอานูนาคี ในเรื่องเล่านี้ อินันนาได้ลงสู่ยมโลก (underworld) เพื่อเยี่ยม อีเรสคีเกล (Ereshkigal) น้องสาวของเธอ การเดินทางเน้นธีมของการตาย (death) การเกิดใหม่ (rebirth) และวัฏจักรธรรมชาติของชีวิต (the cyclical nature of life)
เรื่องราวยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ และพลังของเหล่าทวยเทพ ในขณะที่อินันนาต้องเผชิญกับการทดสอบ และในที่สุดก็กลับคืนสู่โลกแห่งการมีชีวิตพร้อมกับปัญญาที่ค้นพบใหม่ (newfound wisdom)
Ishtar on an Akkadian seal (ref.5)
มหากาพย์อทราฮาซีส (Atrahasis) ได้กล่าวถึงธีมของการสร้างสรรค์ ความไม่พอใจของเทพเจ้าต่อเสียงอึกทึกของมนุษยชาติ (dissatisfaction with humanity's noise) และการตัดสินใจที่จะส่งโรคระบาด (plagues) และน้ำท่วม (flood) เพื่อชะระล้างโลก เรื่องราวนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ บรรยายถึงช่วงเวลาแห่งการดูแลจากพระเจ้า (divine care ) และพระพิโรธของพระเจ้า (divine wrath)
The stories of Atrahasis' boat (ref.6)
กล่าวโดยสรุป เรื่องเล่าในตำนานของอนูนาคี ช่วยให้เข้าถึงจิตใจทางวัฒนธรรมของเมโสโปเตเมียโบราณ เรื่องราวของการสร้างสรรค์ วีรกรรม และปฏิสัมพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ซึ่งได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความซับซ้อนในการดำรงอยู่ของมนุษย์ (the complexities of human existence) ความปรารถนาที่จะเข้าใจจักรวาล (the desire to understand the cosmos)
การค้นหาความหมาย และความเชื่อมโยงกับพระเจ้า (the eternal search for meaning and connection with the divine) มรดกของการเล่าเรื่องเหล่านี้ยังคงอยู่ โดยยังคงสร้างแรงบันดาลใจ และดึงดูด ผู้ที่พยายามไขปริศนาของโลกยุคโบราณอย่างต่อเนื่อง
การตีความและการคาดเดาสมัยใหม่
(Modern Interpretations and Speculations)
ตำนานโบราณของอนูนาคี ไม่เพียงแต่ดึงดูดนักวิชาการเท่านั้น แต่ยังจุดประกายการตีความและการคาดเดาสมัยใหม่มากมายด้วย ตั้งแต่ทฤษฎีของนักบินอวกาศโบราณ ไปจนถึงการอภิปรายเกี่ยวกับอารยธรรมขั้นสูง การตีความเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง ความหลงใหลที่ยาวนาน (enduring fascination) เกี่ยวกับเทพเจ้าลึกลับแห่งเทพนิยายเมโสโปเตเมีย
ตามทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณ (Ancient Astronaut Theories) ได้มีการตีความไว้ว่า อนูนาคีไม่ได้เป็นเพียงบุคคลในตำนาน แต่เป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลก (extraterrestrial beings) ที่มาเยี่ยมเยียนโลกในสมัยโบราณ ตามทฤษฎีนี้ ความรู้ขั้นสูงที่อนูนาคีครอบครอง นำไปสู่การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอารยธรรมมนุษย์ รวมถึงการสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น ปิรามิด
ผู้โต้แย้ง (proponents argue) บางคนแย้งว่า อนูนาคีมีส่วนสำคัญในการก้าวกระโดด (jump-starting) ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษย์ และแม้กระทั่งอิทธิพลทางพันธุกรรมที่มีอิทธิพลต่อวิวัฒนาการของมนุษยชาติ
evidence of ancient aliens visiting the Earth (ref.1)
ตามสมมติฐานอารยธรรมที่สูญหาย (Lost Civilization Hypotheses) ได้คาดคะเนไว้ว่า อนูนาคีมักจะเป็นจุดตัด (intersects) ที่ถูกพูดถึงในการอภิปราย เกี่ยวกับอารยธรรมที่สูญหาย ซึ่งมีเทคโนโลยีขั้นสูง ทฤษฎีบางทฤษฎีแนะนำว่าเทพโบราณเหล่านี้ เป็นตัวแทนของสังคมที่ก้าวหน้าอย่างมากซึ่งครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองบนโลก โดยมีส่วนช่วยสร้างโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ และทิ้งหลักฐานความรู้ที่ซับซ้อนไว้เบื้องหลัง
ตามสัญลักษณ์และอุปมา (Symbolism and Metaphor) ถือเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ตีความเรื่องเล่าของอนูนาคี ว่าเป็นการนำเสนอเชิงเปรียบเทียบ ของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ (natural phenomena) พลวัตทางสังคม (social dynamics) และสภาวะทางจิตวิทยา (psychological states) ในมุมมองนี้ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์
เป็นสัญลักษณ์ของการทำงานร่วมกันระหว่างพลังต่างๆ ในโลก เช่น ระเบียบและความโกลาหล (order and chaos) การสร้างและการทำลายล้าง (creation and destruction) หรือ ภูมิปัญญาและความโง่เขลา (wisdom and folly) เรื่องเล่าเหล่านี้ถือได้ว่า เป็นอุปมาอุปไมยที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของชีวิต และการต่อสู้เพื่อความสมดุล (balance)
ตามต้นแบบทางวัฒนธรรมและจิตวิทยา (Cultural and Psychological Archetypes) การตีความทางจิตวิทยาได้เจาะลึกแนวคิดที่ว่า อนูนาคีและตำนานของพวกเขา ใช้ประโยชน์จากต้นแบบสากลที่มีอยู่ในจิตไร้สำนึกโดยรวม (collective unconscious) ของมนุษยชาติ ต้นแบบเหล่านี้เป็น สัญลักษณ์และรูปแบบ (symbols and motifs) ที่ใช้ร่วมกัน
ซึ่งได้ก้าวข้าม (transcend) วัฒนธรรมส่วนบุคคล (individual cultures) สะท้อนถึงประสบการณ์และความปรารถนาพื้นฐานของมนุษย์ เรื่องเล่าของอานูนาคีอาจถูกมองว่าเป็นการแสดงออกถึงต้นแบบเหล่านี้ เช่น การค้นหาความรู้ที่สูงกว่า หรือความตึงเครียด (tension) ระหว่างอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์และอาณาจักรมนุษย์
กล่าวโดยสรุป การตีความและการคาดเดาสมัยใหม่เกี่ยวกับอนูนาคี สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมแบบไดนามิกระหว่างตำนานโบราณและจินตนาการร่วมสมัย (ancient myth and contemporary imagination) แม้ว่าบางทฤษฎีอาจเปลี่ยนทิศทางไปสู่อาณาจักรแห่งวิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) หรือ ลัทธิเหนือความรู้สึก (sensationalism)
แต่ทฤษฎีเหล่านี้ล้วนเน้นย้ำถึง ความน่าดึงดูดใจที่ยั่งยืนของอนูนาคี และเรื่องราวของพวกเขาในฐานะพาหนะ (vehicles) ในการสำรวจความเชื่อมโยงของมนุษยชาติกับจักรวาล ความปรารถนา (yearning) เกี่ยวกับความรู้และความหมายของเรา และการสำรวจความลึกลับที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็ได้กระตุ้นความหลงใหล (captivated) มนุษย์มานับพันปี
บทสรุป
(Conclusion)
เรื่องราวของอนูนาคี เป็นการสรุป (encapsulates) ภารกิจไร้เวลาของมนุษย์ (timeless human quest) เพื่อทำความเข้าใจความลึกลับของการดำรงอยู่ (existence) ความศักดิ์สิทธิ์ (the divine) และสถานที่ของเราในจักรวาล (our place in the cosmos) ตั้งแต่ต้นกำเนิดในเมโสโปเตเมียโบราณ ไปจนถึงอิทธิพลที่มีต่อวัฒนธรรมร่วมสมัย อนูนาคีได้ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออก (indelible mark) ไว้ในจินตนาการโดยรวมของมนุษยชาติ
กล่าวโดยสรุป เรื่องราวของอนูนาคีนั้นเป็นเรื่องราวของมนุษยชาติเอง ทั้งแรงบันดาลใจ (aspirations) ความลึกลับ (mysteries) ความโหยหาความรู้ (yearning for knowledge) และความเชื่อมโยง (connection) ในขณะที่เรายังคงคลี่คลายชั้น (layers) แห่งเรื่องราว ที่เป็นตำนานของพวกเขา เราได้เริ่มต้น (embark) การเดินทางที่อยู่เหนือกาลเวลา (transcends time) ก้าวข้ามวัฒนธรรม (transcends cultures)
และเชื่อมโยง (connects) เรา เข้ากับรากเหง้าโบราณของจิตสำนึกรวม (collective consciousness) ของเรา ในท้ายที่สุด อนูนาคียังคงเป็นสัญญาณ (beacon) ที่นำทางให้เราสำรวจดินแดนที่ไม่เคยมีมาก่อน (uncharted territories) ของจิตวิญญาณมนุษย์ (human spirit)
(ไขขานโบราณกาล ep.1 ตำนานแห่งอนูนาคี)
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา