Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เมืองไทยไดอารี่ by Supawan
•
ติดตาม
8 ก.ย. 2023 เวลา 00:54 • ท่องเที่ยว
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร (3) .. พระวิหาร
พระวิหารของ วัดปทุมวนาราม เป็นส่วนที่สำคัญของวัด มีพระพุทธรูปที่คนไทยและคนลาวเคารพ ศรัทธา รวมถึงมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่น่าสนใจ
ก่อนจะเข้าไปในพระวิหาร .. จะมองเห็นมีอนุสาวรีย์เล็กๆ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกและบรรจุอัฐิของคุณหญิงมโนปกรณ์นิติธาดา ภริยานายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ซึ่งประสบอุบัติเหตุระหว่างการตามเสด็จในเมืองกำปงจาม
คุณหญิงเป็นคนที่มี่ความสามารถสูง พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปนได้ .. อนุสาวรีย์เป็นแท่งหินสีเทา มีหน้าสตรีทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านแสดงความสำรวมตา หู ปาก ใจ เพื่อเตือนใจผู้คน
หน้าบันส่วนมุข เป็นรูปปั้นพระมหพิชัยามงกุฎ ประดิษฐานบนพาน ขนาบด้วยฉัตร 5 ชั้น อันเป็นสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ 4 ประกอบด้วยลายเทพพนม และลายเปลว ..
ถัดมาเป็นฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุ้มปิดกระจก รายล้อมด้วยปูนปั้น เป็นภาพเทพชุมนุม ประกอบลายเปลวอย่างประณีต งดงาม
พระวิหารแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐาน พระเสริม และ พระแสน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่แบบศิลปะล้านช้างเวียงจันทน์ ส่วนพระอุโบสถประดิษฐาน พระไส หรือ พระสายน์ เป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัยจากเวียงจันทน์ ประเทศลาว พระพุทธรูปทั้งสองต่างล้วนนำมาประดิษฐานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระวิหารวัดปทุมวนารามเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญที่อันเชิญมาจากกรุงเวียงจันทร์ คือ พระเสริมและพระแสน นับว่าสอดคล้องกับจิตรกรรมฝาผนังเรื่องศรีธนญชัย หรือ เชียงเมี่ยง ซึ่งเป็นนิทานตลกขบขันแบบทวีปัญญาที่แพร่หลายในหมู่ชาวไทยและชาวลาว
จิตรกรรมฝาผนังในพระวิหารเป็นตัวอย่างภาพเขียนฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่แสดงการรับอิทธิพลฝรั่งอย่างชัดเจนอีกแห่งหนึ่ง ภาพที่น่าสนใจได้แก่ ภาพสะพานเหล็กซึ่งมีลูกล้อสำหรับชักลากเพื่อเปิดเรือผ่านไปมาได้และเป็นสะพานแบบที่ถูกรื้อไปหมดแล้ว
เสาในพระวิหาร .. ตกแต่งด้วยดอกบัว สีของเสาภายในพระวิหารแต่ละแถวจะไม่เหมือนกัน เสาที่อยู่ด้านในใกล้กับพระประธานจะมีสีสว่าง เช่น สีขาว แต่ยิ่งห่างออกมามากเท่าไหร่ สีจะยิ่งเข้มขึ้น เริ่มกลายเป็นสีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน และสีดำในที่สุด
.. สิ่งนี้เป็นปริศนาธรรม ที่พบได้ในหลายวัดที่สร้างโดยรัชกาลที่ 4 .. ความหมายคือ สีสว่างเปรียบได้กับใจที่บริสุทธิ์ ใกล้กับพระศากยมุนี
ภาพพุทธบริษัท 4
อุบาสิกาผู้เป็นเอตทัคคะ คือ นางสุปปวาสา ผู้ถวายรสอันประณีต และนางวิสาขา ผู้เป็นทายิกา .. จิตรกรรมบนเสาวิหาร วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร
เอตทัคคะ คือตำแหน่งที่พระพุทธเจ้ายกย่องพุทธสาวกว่า เป็นผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่ง เป็นผู้ประเสริฐสุด .. ตำแหน่ง เอตะทัคคะนี้ ย่อมได้ด้วยสาเหตุ 4 ประการคือ
1. โดยเหตุเกิดเรื่อง (อัตถุปปัตติ) คือได้แสดงความสามารถออกมาให้ปรากฏ โดยสอดคล้องในเหตุการณ์ หรือสถานการณ์นั้นๆ
2. โดยการมาก่อน (อาคมนะ) คือ ได้สร้างสะสมบุญในด้านนั้นมาตั้งแต่อดีตชาติ พร้อมทั้งได้ตั้งจิตปรารถนา เพื่อตำแหน่ง เอตะทัคคะนี้ด้วย
3. โดยเป็นผู้ช่ำชองชำนาญ (จิณณะวสี) คือ เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องนั้นๆ เป็นพิเศษ
4. โดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ (คุณาดิเรก) คือ มีความสามารถในเรื่องที่ทำ ให้ได้รับตำแหน่งเอตะทัคคะเหนือกว่าผู้อื่นที่มีความสามารถอย่างเดียวกัน
ผู้ที่เป็นเอตะทัคคะ ..
ฝ่ายภิกษุที่ 41 ท่าน เป็นพระอสีมหาสาวกทั้งหมด
เอตะทัคคะ ฝ่ายภิกษุณี มี 13 ท่าน
เอตะทัคคะ ฝ่ายอุบาสก มี 10 ท่าน
เอตะทัคคะ ฝ่ายอุบาสิกา มี 10 ท่าน
ดังนั้น นางสุปปวาวสา และนางวิสาขา อยู่ใน Top 10 เอตะทัคคะ ฝ่ายอุบาสิกา
จิตรกรรมฝาผนัง
ด้านบน .. เป็นภาพการเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ถวายผ้าพระกฐิน
ด้านหลังพระประธาน .. ท่าราชวรดิษฐ์
ลวดลายบนบานประตูพระวิหาร .. เป็นรูปบึงบัว ในทุ่งปทุมวัน
ภาพบนเพดานพระวิหาร .. รูปดอกบัว
บานประตูข้างในพระวิหาร .. เขียนรูปพญานาคในร่างมนุษย์ โผล่ขึ้นมาเหนือสระอันมีดอกบัวหลวงชูช่อสลอน
** ด้านหลังพระประธาน .. ภาพจิตรกรรมบริเวณนี้เป็นภาพพระพุทธเจ้าเรียงแถวกัน 5 องค์ เหนือแถวพระพุทธรูปมีรูปอุณาโลมขนาดใหญ่อยู่ ใต้แถวพระพระพุทธรูปมีบุคคลแต่งกายคล้ายเทวดาอยู่ 5 องค์และมีรูปสัตว์ 5 ชนิดอยู่ใต้เท้า หลายคนเห็นภาพนี้ก็ต้องบอกว่า “นี่คือภาพของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 ในกัลป์นี้แน่นอน ด้านล่างเป็นพระโพธิสัตว์ ส่วนสัตว์ด้านล่างเป็นสัญลักษณ์ประจำพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์”
ถ้าลองสังเกตดีๆ .. จะเห็นว่าใต้ภาพพระพุทธเจ้าและคนแต่งกายคล้ายเทวดามีตัวอักษรขอมกำกับไว้อยู่ อักษรขอมเหล่านี้บอกชื่อของแต่ละพระองค์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ภาพเหล่านี้จริงๆ แล้วเป็นภาพพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ตามความเชื่อของพระพุทธศาสนาแบบมหายาน
พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ .. คือพระธยานิพุทธเจ้า พระพุทธรูปเจ้าที่ประทับอยู่บนพุทธเกษตร ซึ่งพระธยานิพุทธเจ้าเหล่านี้จะบันดาลให้เกิดพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ในแต่ละกัลป์
ดังนั้น บุคคลแต่งกายคล้ายเทวดาทั้งหลายก็คือพระโพธิสัตว์ในแต่ละกัลป์ (พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิมก็อยู่ในกลุ่มนี้) ส่วนรูปสัตว์ด้านล่างน่าจะหมายถึงพระพุทธเจ้าที่พระธยานิพุทธเจ้าสร้างขึ้นมาอีกที
** Ref : The Cloud :
https://readthecloud.co/wat-pathumwanaram/
วัดปทุมวนาราม เป็นพุทธสถานที่เปรียบเสมือนบันทึกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งส่องสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างชาวไทยกับชาวลาว ที่ล้วนอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหาร .. ถ่ายทอดเรื่องราวนิทานพื้นบ้าน เรื่อง ศรีธนญไชย ที่ได้รับความนิยมทั้งชาวลาวและชาวไทย
การผูกใจชาวลาวที่เข้ามาอยู่อาศัยในทุ่งปทุมวัน นอกเหนือจากการนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ชาวลาวมาจำพรรษา เป็นเจ้าอาวาส และการอัญเชิญพระพุทธปฏิมา ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวลาว มาประดิษฐานที่วัดปทุมวนารามแล้ว .. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ยังทรงนำนิทานเรื่อง “ศรีธนญไชย” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวลาว และรวมถึงชาวไทย มาเขียนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอาราม ซึ่งวัดโดยทั่วไปจะเขียนเป็นพุทธประวัติ หรือชาดก
นิทานเรื่อง ศรีธนญไชย .. มีเนื่อหาเกี่ยวกับการใช้ปฏิภาณไหวพริบในการแก้ไข ตัดสินปัญหา ที่สอกแทรกความสนุกสนาน และสามารถสื่อสารให้ราษฎรเข้าใจได้ง่าย แตกจ่างจากการใช้ปัญญา การบำเพ็ญภาวนาลารมี ตลอดจนการตัดสินปัญหาของพระโพธิสัตว์ ดังที่ปรากฏในวรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่ถ่ายทอดผ่านจิตรกรรมฝาผนังในพระอารามโดยทั่วไป ที่เป็นพุทธประวัติ หรือทศชาติชาดก
นอกจากนี้ นิทานศรีธนญไชย ยังเป็นนิทานที่ตัวเอกได้แสดงลักษณะพิเศษของคนที่มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยม และสามารถเอาชนะปัญหา และผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้อย่างไม่มีใครคาดคิด ซึ่งล้วยทำให้เกิดความขบขัน และความสนุกสนานเพลิดเพลิน แก่ผู้ฟังผู้อ่านอย่างมิรู้เบื่อ .. ศรีธนญไชย จึงเป็นนิทานที่แพร่หลาย และได้รับความนิยม
**ศรีธนญไชย เมื่อได้เงินจากยายเอียดมาเป็นจำนวนมาก ก็นำเงินไปซื้อวัวตัวหนึ่งในราคตา 10 บาท ที่เหลือก็กรอกใส่ปากวัวจนหมด แล้วจูงวัวไปหน้าบ้านเศรษฐีผู้หนึ่ง .. ศรีธนญไชย เสนอขายวัววิเศษของตนให้แก่เศรษฐี แต่เศรษฐีไม่เชื่อ จึงกล่าวว่า
.. วัวของเจ้าวิเศษอย่างไรล่ะ พ่อหนุ่ม
.. วัวของฉันถ่ายออกมาเป็นเป็นเงิน โดยจะถ่ายเพียงวันละครั้งเท่านั้น
เศรษฐีฉงนใจ จึงถามว่า .. อ้าว ก็ในเมื่อวัวของเจ้าเป็นวัววิเศษถ่ายออกมาเป็นเงินได้ แล้วเจ้าจะมาขายทำไม เจ้ารอให้วัวถ่ายออกมา แล้วเก็บเอาขี้วัวไปใช้จ่าย เห็นทีจะรวยเป็นเศรษฐีแน่ๆ
เศรษฐีหัวเราะเยาะอย่างชอบใจ .. แต่ศรีธนญไชยยังกล่าวด้วยท่าทีขึงขังว่า
.. ทีท่านเศรษฐีพูดอย่างนั้น ก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้ฉันเล่นการพนันติดเงินเจ้าหนี้เป็นอันมาก หากไม่มีเงินไปให้เจ้าหนี้ภายในวันนี้ เห็นทีจะถูกเขาฆ่าแกงเป็นอันแน่ แล้วอีกประการหนึ่ง วัวของฉันถ่ายออกมาเป็นเงินครั้งละ 40 บาทเท่านั้น แต่ฉันติดเงินเขา 70 บาท หากรอให้พรุ่งนี้วัวถ่ายออกมาอีกครั้ง ก็ไม่ทันกาลเป็นแน่
สิ้นคำศรีธนญไชย วัวก็บังเอญถ่ายพรวดออกมา เศรษฐีถึงกับตะลึงงันเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นวัวของศรีธนญไชยถายออกมาเป็นเงินจริง และมีจำนวน 40 บาทครบถ้วน ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่น้อย
เงิน 40 บาทเป็นเงินจำนวนมากนัก เมื่อวัวถ่ายออกมาทุกวันเศรษฐีคงร่ำรวยมั่งคั่งอย่างรวดเน็วเป็นแน่ จึงรีบระล่พระลักถาม ศรัธนญไชยโดยเร็วด้วยความโลภว่า ..
.. แล้วพ่อหนุ่มจะขายงัวให้ข้าในราคาเท่าไหร่ล่ะ
.. ฉันขายในราคา 100 บาทเท่านั้นแหละ
เศรษฐีรีบนำเงิน 100 บาทมาให้แก่ ศระณญชัย แล้วนำวัวไปผูกใต้เรือนชาน .. ศระนญชัยรีบเก็บเงินใส่กระเป๋า แล้วลากลับทันที
เสาะหาช้างเผือกมรเวลา 3 วัน
ศรีธนญชัยได้ใช้อุบายเอาชนะผู้คนมามากมาย บางคนก็สรรเสริญว่าเฉลียวฉลาด แต่บางคนก็ไม่ชอบ หาว่าศรีธนญชัยใช้เล่ห้เพทุบาย .. ความรู้ไปถึงพระกรรณของกษัตริย์ เจษฎาบดินทร์ จึงทรงคิดจะแก้เผ็ดศรีธนญชัย ที่เที่ยวได้ใช้อุบายล่อลวงชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว
.. ครั้งคิดอุบายได้แล้วจึงออกเสด็จขุนนางและตรัสกับ ศรีธนญชัยว่า ..
.. ไอ้พระศรี ตัวเอ็งก็เป็นคนดี มีสติปัญญา แคล่วคล่องว่องไวดีนัก ตอนนี้ข้ามีความประสงค์อยากจะได่ ช้างเผือกงาดำ มาไว้ประดับบารมีสักตัว เอ็งจงเร่งไปจัดหามาให้ได้ภายใน 3 วัน หากแม้นมิได้ไซร้ เอ็งจะต้องได้รับโทษถึงประหารชีวิต
ศรีธนญชัยเมื่อได้ฟังพระบัญชา ก็นั่งก้มหน้า คิดหาหนทางเอาตัวรอด ครั้นพอเห็นช่องทางแล้วจึงกราบทูลว่า
.. ขอเดชะฯ หฟากครั้งนี้พระองค์ไม่ทรงเมตตา ตัวข้าพระองค์ก็คงจะถึงฆาต แน่ๆ อันช้างเผือกงาดำนั้น แม้จะไปหาทั่วหล้าฟ้าดินก็ยากจะหาได้ดังพระทันถวิล .. แต่เมื่อพระองค์ทรงมีพระประสงค์ ข้าพระองค์ก็จะขอปฏิบัติตามพระบัญชา เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณเท่าแต่บุญและกรรมที่ทำไว้ในชาติปางก่อนจะย้อนมาอุดหนุนหรือซ้ำเติม หากมิได้ตามพระบัญชา ข้าพระองค์ก็จะน้อมเกล้าถวายชีวิต ไม่คิดหนี พระเจ้าข้า
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ศรีธนญชัย ก็สั่งบ่าวไฟร่ให้ไปตัดไม้ไผ่ออกมาผ่าครั้งแล้วเหลาให้เกลี้ยงเกลา จากนั้นก็จัดการสานขึ้นรูปเป็นตัวช้าง
.. แม่ศรีนวลจ๋า ในครัวยังมีเผือกเหลืออยู่อีกมากมั๊ย
ศรีธนญชัยร้องหาเผือก แม่ศรีนวลจึงนำเผือกมาฝานเป็นชิ้นๆ .. แลฃ้วศรีธนญชัยจึงจัดการตกแต่งช้างไม้ไผ่ที่สานไว้แล้วนั้นด้วยเผือกที่ฝานบางๆ
ศรีธนญชัย สั่งให้บ่าวไพร่ที่มีฝีมือกลึงไม้ให้โค้งงอนเป็นงาช้าง แล้วเอาแป้งเปียกทาให้ทั่วงาทั้งคู่ จากนั้นโรยด้วยงาดำจนเต็มพื้นที่ ไม่มีพื้นที่ว่างแม้แต่น้อย
ช้างไม้ไผ่ถูกยกใส่ล้อเลื่อนในวันที่ 3 ลากเข้าไปในวัง ถวายต่อเบื่องพระพักตร์
.. นี่อย่างไรเล่า ช้างเผือกงาดำ ข้าพระพุทธเจ้านำมาถวายให้พระองค์แล้ว ภายในเวลา วีนพอดิบพอดี มิได้ขาดเกิน พระเจ้าข้า
กษัตริย์เห็นเช่นนั้น ก็รู้ว่า เห็นทีจะพ่ายแพ้ต่อ ศรัธนญชัยอีกแล้ว จึงแสร้งทำเป็นกริ้ว ตรัสว่า ..
.. ข้าให้เอ็งไปคล้องช้างเผือกงาดำในป่า แต่เอ็งหุ่นช้างปั้นอะไรมาให้ข้า
ศรีธนญชัย จึงรีบกราบทูลว่า
.. ขอเดชะ ขอให้พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูให้ดีเสียก่อน พระเจ้าข้า
.. นี่อย่างไรเล่า ช้างเผือกงาดำ .. ก็ช้างตัวนี้มีตัวเป็นเผือกและงานั้นก็มีงาดำ ตามรับสั่งทุกประการ แต่แรกพระองค์มิได้สั่งให้ข้าพระพุทธเจ้าไปคล้องช้างในป่า แต่สั่งให้ข้าพระพุทธเจ้าไปหาช้างเผือกงาดำมาเท่านั้นนี่นา พระเจ้าข้า
กษัตริย์ถึงกับอึ้ง หัวเราะไม่ออก เพราะศรีธนญชัยแจงเหตุผลมาทุกประการ ครั้งนี้ต้องเสีทีแก่ปัญญาของศรีธนญชัยอีกครั้งหนึ่ง
ภาพวัดปทุมวนาราม ถูกใส่ลงไปในฉากที่ศรีธนญชัย แซวช้างเผือกของพระราชา
.. เราจะเห็นพระอุโบสถทางด้านซ้าย พระเจดีย์อยู่ตรงกลาง และพระวิหารอยู่ทางขวา ซึ่งภาพที่ปรากฏแทบไม่แตกต่างจากสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเลย
เกร็ดเก่า นำมาเล่าใหม่
พระเสริมและพระแสนนั้นประดิษฐานอยู่ด้วยกันในพระวิหาร "พระเสริม" นั้นเป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับพระสุก และพระใส ซึ่งพระราชธิดาของกษัตริย์ล้านช้างทั้ง 3 พระองค์ เป็นผู้สร้างขึ้นและถวายนามของพระองค์เองให้เป็นชื่อของพระพุทธรูปด้วย
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 กองทัพสยามเดินทางไปตีเมืองเวียงจันทน์เพื่อปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อกองทัพจะเดินทางกลับบ้านเมือง ก็ได้อัญเชิญพระพุทธรูปมาจากเมืองเวียงจันทน์มาด้วยหลายองค์ด้วยกัน รวมทั้งพระสุก พระใส และพระเสริมด้วย
แต่ในขณะที่เคลื่อนย้ายพระพุทธรูปมาทางลำน้ำงึมออกแม่น้ำโขงก็ได้เกิดพายุฝนตกหนัก จนทำให้พระสุกหล่นจากแท่นประดิษฐานจมลงใต้แม่น้ำ บริเวณนั้นต่อมาจึงเรียกกันว่าเวินพระสุก หรือเวินสุก
ส่วนพระเสริมและพระใสก็ได้อัญเชิญข้ามมายังฝั่งไทยได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อจะอัญเชิญต่อมายังกรุงเทพฯ ก็ปรากฏว่าเกวียนที่ประดิษฐานพระใสนั้นเกิดหักลงอยู่ตรงหน้าวัดโพธิ์ชัย เมืองหนองคาย ทำอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้ จึงต้องอัญเชิญพระใสให้ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัย เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองหนองคายมาแต่บัดนั้น ส่วนพระเสริมนั้นอัญเชิญต่อมาได้จนถึงกรุงเทพฯ และมาประดิษฐานไว้ที่วัดปทุมวนารามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วน "พระแสน" พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารเดียวกันกับพระเสริมนั้น เดิมประดิษฐานอยู่ในถ้ำที่เมืองมหาไชย แขวงล้านช้าง แต่ได้อัญเชิญมายังกรุงเทพฯ เมื่อรัชกาลที่ 4 มีพระราชประสงค์จะอัญเชิญพระพุทธรูปโบราณจากล้านช้างมาประดิษฐานไว้ในพระอารามที่ทรงสร้างขึ้นใหม่หลายแห่ง
ส่วนด้านหลังเจดีย์ ตรงข้ามกับพระวิหารนั้นก็มีมณฑปของรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นมา
พระสถูปเจดีย์แห่งราชสกุลมหิดล
“พระสถูปเจดีย์แห่งราชสกุลมหิดล” .. ตั้งอยู่บริเวณหน้ามุขด้านทิศตะวันออกของโรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระอัฐิ (กระดูก) และพระราชสรีรางคาร (เถ้ากระดูก) ของพระบรมวงศานุวงศ์หรือพระประยูรญาติผู้ที่สืบสายตรงแห่งราชสกุลมหิดล
ซึ่งภายในเจดีย์นั้นเป็นที่บรรจุพระสรีรางคารพครบทุกพระองค์ที่ล่วงลับไปแล้วแห่งราชสกุลมหิดล ซึ่งสืบสายตรงจากสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ด้วยพระองค์ท่านทรงมีความผูกพันกับวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เป็นอย่างมาก โดยพระองค์ทรงสร้างพระสถูปเจดีย์แห่งนี้มีลักษณะเป็นพระสถูปเจดีย์ครึ่งองค์
** พระสถูปเจดีย์ ซึ่งประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระราชสรีรังคาร และพระอัฐิของพระราชวงศ์ในราชสกุลมหิดลหลายพระองค์ ได้แก่
พระบรมราชสรีรังคารของสมเด็ตพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
พระทนต์ (ฟัน)ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
พระทนต์ของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
พระบรมราชสรีรังคารส่วนหนึ่งและพระตโจ (หนัง) ส่วนพระเศียรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหดิล รัชกาลที่ 8
พระอัฐิส่วนหนึ่งของพระโสณี (สะโพก) ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระทนต์และพระเกศาของสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชครินทร์
**Ref:
https://readthecloud.co/wat-pathumwanaram/
บันทึก
5
1
4
5
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย