8 ก.ย. 2023 เวลา 06:57 • สุขภาพ

10 ประเทศที่มีคุณภาพน้ำประปา (ดื่มได้) ดีที่สุด

เมื่อเราต้องเดินทางไปท่องเที่ยว หรือทำธุระในต่างประเทศ ก็อาจจะเกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในประเทศนั้นๆ ว่ามีคุณภาพดี หรือมีความปลอดภัยเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคหรือไม่
แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และน่าเห็นอกเห็นใจ เพราะไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดที่ดื่มได้ คำถามคือเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าประเทศปลายทางที่เราจะเดินทางไปนั้นเป็นประเทศที่มีคุณภาพน้ำที่ดี
ข้อมูลวิจัยโดยใช้ตัวชี้วัดหลัก 2 ตัวจากรายงานดัชนีประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม (EPI) ปี 2022 ซึ่งจัดทำโดย Yale Center for Environmental Law & Policy ในหัวข้อ "Unsafe drinking water and unsafe sanitation" ได้ออกมาเป็นข้อมูล “10 ประเทศที่มีคุณภาพน้ำประปา (ดื่มได้) ดีที่สุด”
ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนเป็นประเทศที่มีมลภาวะด้านต่างๆ ในระดับต่ำ มีการใช้สารเคมีในชีวิตประจำวันน้อย และให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขอนามัยของประชาชน
ก็ไม่แปลกใจเลยที่สิ่งเหล่านี้จะสอดคล้องไปกับการที่ประเทศของพวกเขามีคุณภาพน้ำประปาที่ยอดเยี่ยม...ลองมาดูกันว่า 10 ประเทศนี้มีที่ไหนกันบ้าง?
A Lake in Finland
1. ฟินแลนด์ (Finland):
น้ำส่วนใหญ่ของฟินแลนด์มาจากทะเลสาบจำนวนมากถึง 168,000 แห่ง และส่วนที่เหลือมาจากแม่น้ำ และลำน้ำสาขาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทะเลสาบ Päïjänne (เปแยนนี) ซึ่งมีรายงานว่าน้ำที่นี่สะอาดมากซะจนสามารถดื่มได้เลย อีกทั้งยังเป็นแหล่งน้ำส่วนใหญ่ของประเทศอีกด้วย
น้ำประปาในฟินแลนด์ผ่านการกรอง และการบำบัดหลายวิธีเพื่อกำจัดสิ่งปนเปื้อนก่อนส่งจ่ายให้กับครัวเรือน โดยมีการนำเทคนิคการกรอง และการบำบัดที่หลากหลายมาใช้ทั้งการตกตะกอน การบำบัดด้วยโอโซน การบำบัดด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต การกรองด้วยถ่านกัมมันต์ และการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนและคลอรามีน
หลายๆ ประเทศส่วนใหญ่บนโลกที่มีของเสียจากภาคอุตสาหกรรมและการบำบัดน้ำเสียที่ไม่เหมาะสม ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังน้ำกินน้ำใช้ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เนื่องจากของเสียดังกล่าวมักจะลงสู่แหล่งน้ำผิวดินหรือใต้ดิน (บาดาล)
แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นในฟินแลนด์ เพราะประเทศนี้มีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับขยะ และของเสียซึ่งได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวด รวมถึงมีการบำบัดน้ำเสียอย่างทั่วถึงเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน
Majestic Skogafoss waterfall, Iceland
2. ไอซ์แลนด์ (Iceland):
หนึ่งในประเทศที่มีสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่งดงามที่สุด ได้แก่ ทะเลสาบ ลำธาร และธารน้ำแข็ง ซึ่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนหนึ่งก็มาจากทางน้ำเหล่านี้ โดยที่น้ำส่วนใหญ่นั้นจะมาจากชั้นหินอุ้มน้ำและน้ำพุธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลายๆ ประเทศทั่วโลกนำเข้าน้ำแร่บรรจุขวดจากไอซ์แลนด์
น้ำในไอซ์แลนด์จัดว่าบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ และเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการบำบัดน้ำอย่างเข้มงวด ส่งผลให้คุณภาพน้ำกินน้ำใช้จึงสูงมากด้วยเช่นกัน มีการศึกษาวิจัยในปี 2016 ทดสอบน้ำประปาของพวกเขาแล้วพบว่ามีการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพเกือบ 100% เลยทีเดียว
น้ำในไอซ์แลนด์จึงสะอาดมากจนคนในพื้นที่มักแนะนำให้ดื่มจากลำธารและแม่น้ำได้โดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้อาจจะปลอดภัยสำหรับการดื่ม แต่อาจต้องการหลีกเลี่ยงการทำเช่นนี้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับแหล่งการเกษตรหรือเส้นทางสัตว์ป่าซึ่งอาจมีน้ำไหลบ่ามาทำให้เกิดการปนเปื้อนได้
Aerial View of Watewater Treatment Plant in Netherlands
3. เนเธอร์แลนด์ (Netherlands):
เนเธอร์แลนด์มักได้รับการประเมินเรื่องน้ำว่ามีคุณภาพดีมาก ว่ากันว่าในบางพื้นที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ดูแลด้านน้ำประปาไม่จำเป็นต้องเติมคลอรีนในน้ำดื่มเพื่อฆ่าเชื้อโรคเลย เนื่องจากน้ำสะอาดเพียงพอสำหรับการบริโภคของมนุษย์อยู่แล้ว
ประเทศนี้ไม่ได้มีแหล่งน้ำมหัศจรรย์และไม่มีจุลินทรีย์ชีวภาพเป็นตัว่ชวยบำบัดน้ำ พวกเขายังคงต้องพึ่งพาน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ อย่างเช่น น้ำจากชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดินนำมาทำการบำบัดก่อน รวมถึงมีการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าแหล่งน้ำจะไม่มีการปนเปื้อนจากน้ำที่ไหลบ่ามา
นอกจากนี้ แหล่งน้ำในเนเธอร์แลนด์ยังถูกกรองด้วยวิธีการหลายขั้นตอน เช่น การตกตะกอน การกรอง การออกซิเดชันของโอโซน และการฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี ทำให้ท้ายที่สุดแล้วจะมีการใช้คลอรีนในกระบวนการกรองที่ค่อนข้างซ้ำซ้อน
ด้วยเหตุนี้ชาวดัตช์จึงมีการประเมินถึงการผสมผสานความเสี่ยงทางจุลชีววิทยาและกระบวนการกรองน้ำของพวกเขาว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด จนในปัจจุบัน...เรื่องความสามารถของประเทศในการจัดหาน้ำที่ดีต่อสุขภาพโดยปราศจากคลอรีนกลายเป็นหัวข้อการวิจัยที่ได้รับความนิยมสูงไปแล้ว
Credit: https://vosswater.com/about/
4. นอร์เวย์ (Norway): เช่นเดียวกับฟินแลนด์ นอร์เวย์เองก็มีกฎระเบียบที่เข้มงวด และมีกระบวนการบำบัดน้ำเสียอย่างละเอียดและทั่วถึง ซึ่งเป็นวิธีที่พวกเขาปกป้องแหล่งน้ำจากการปนเปื้อนจากสารเคมีที่พบในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผงซักฟอก ยา และสี ซึ่งกระบวนการบำบัดน้ำที่เข้มงวดนี้ยังเป็นวิธีที่นอร์เวย์นำไปใช้จัดหาน้ำประปาที่สะอาดที่สุดในโลกสำหรับพลเมืองของพวกเขาด้วย
วิธีสู่การมีน้ำกินน้ำใช้ที่มีคุณภาพของนอร์เวย์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การบำบัดน้ำเสียเท่านั้น ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับน้ำหลายประการ รวมถึงการซ่อมแซมท่อและบ่อน้ำ รวมถึงการเปลี่ยนท่อเก่าเพื่อกำจัดส่วนประกอบที่เป็นตะกั่วหรือทองแดงในระบบท่อออกไป
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลก นอร์เวย์ยังมีบ่อน้ำส่วนตัวบางแห่งที่ไม่ได้รับการควบคุมหรือยังไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารของนอร์เวย์กำหนดไว้ ดังนั้น แม้ว่าน้ำประปาจะมีคุณภาพสูงมากทั่วทั้งประเทศ แต่ก็ยังเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าในการหลีกเลี่ยงน้ำจากแหล่งน้ำที่ไม่ได้มาตรฐานพวกนั้น
นอกจากนี้ ด้วยต้นทุนด้านคุณภาพน้ำที่ดีนี้เอง นอร์เวย์ยังมีน้ำแร่ธรรมชาติ 100% ยอดนิยม อย่างเช่น ยี่ห้อ “VOSS” จากแหล่งแวตเนสโดรม ที่ส่งตรงจากประเทศนอร์เวย์ไปยังทั่วโลก ซึ่งพบเจอได้ตามห้างสรรพสินค้า และซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำของไทย
Spring Water Flowing From Mountain
5. สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland):
หลายปีที่ผ่านมาประเทศนี้ได้ยกระดับมาตรฐานน้ำประปาขึ้นอย่างมาก และตอนนี้ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นประเทศที่มีน้ำดื่มที่ดีที่สุดในโลก
น้ำของสวิตเซอร์แลนด์มาจากแหล่งน้ำใต้ดินและทะเลสาบที่แสนสะอาด ซึ่งคิดเป็นประมาณ 80% ของน้ำทั้งหมดในประเทศ ส่วนที่เหลือมาจากอ่างเก็บน้ำ
แม้ว่าประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำในสวิตเซอร์แลนด์จะอยู่ในพื้นที่คุ้มครองและไม่จำเป็นต้องบำบัดใดๆ ก่อนการบริโภค แต่น้ำ 2 ใน 3 ก็ยังคงต้องใช้กระบวนการบำบัดหลายขั้นตอน ได้แก่ เมมเบรน โอโซน การฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต และการกรองถ่านกัมมันต์
นอกเหนือจากการเป็นประเทศที่มีกระบวนการผลิตน้ำประปาที่ดีต่อสุขภาพซึ่งเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกแล้ว สวิตเซอร์แลนด์ยังมีนโยบายด้านน้ำที่พิถีพิถัน เพื่อให้แน่ใจว่าพลเมืองของพวกเขาจะไม่ต้องสัมผัสกับน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อนใดๆ
Sterling Environment Solutions
6. สหราชอาณาจักร (United Kingdom):
มีแหล่งน้ำใต้ดิน (บาดาล) คิดเป็น 30% ของน้ำประปาในอังกฤษและเวลส์ ที่เหลือเป็นแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเลสาบ แม่น้ำ
โดยไม่ว่าแหล่งน้ำจะมาจากแหล่งใด ผู้ให้บริการน้ำประปาในสหราชอาณาจักรจะนำน้ำผ่านกระบวนการกรองก่อนเสมอก่อนจำหน่ายให้กับลูกค้า กระบวนการกรองประกอบด้วยการตกตะกอน ตัวกรองแรงโน้มถ่วงอย่างรวดเร็ว ตัวกรองทรายช้า โอโซน การแลกเปลี่ยนไอออน และสุดท้ายคือการเติมคลอรีน
เช่นเดียวกับสวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักรมีกฎระเบียบ และกฎหมายคุ้มครองมากมายเพื่อให้แน่ใจว่าแหล่งน้ำจะมีความปลอดภัย และแม้ว่าจะมีการจ่ายน้ำประปาที่ดีต่อสุขภาพแก่ประชาชนแล้ว แต่ก็ยังคงสร้างความเชื่อมั่นด้วยการบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดต่อไป
สุดท้ายนี้ เช่นเดียวกับทุกประเทศที่ทำเพื่อให้ประชาชนได้ดื่มน้ำที่สะอาดที่สุด สหราชอาณาจักรมีโครงการบำบัดน้ำเสียสเตอร์ลิง โปรแกรมเหล่านี้ป้องกันตะกอน ขยะอินทรีย์ หรือสารเคมีทุกชนิดที่จะไม่ก่อให้เกิดมลพิษในแหล่งน้ำธรรมชาติ
Seawater, Malta
7. มอลตา (Malta):
มอลตามีแหล่งน้ำหลัก 2 แห่ง ได้แก่ แหล่งน้ำบาดาลและน้ำจากทะเล เรารู้อยู่แล้วว่าน้ำบาดาลหมายถึงอะไร แต่ที่น่าคิดคือพวกเขานำน้ำทะเลมาใช้ได้อย่างไร?
คำตอบคือ...พวกเขามีโรงงานแยกเกลือกับน้ำทะเลออกจากกัน จากนั้นก็จะส่งไปยังกระบวนการรีเวอร์สออสโมซิส (RO) ในระดับอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้ มอลตาจึงมีโรงงานแยกเกลือและโรงงาน RO ถึง 3 แห่งที่เมือง Cirkewwa, Pembroke และ Ghar Lapsi
จากเหตุผลดังกล่าว ชาวมอลตาจึงได้ดื่มน้ำที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในโลก รวมถึงรัฐบาลมอลตายังมีแพลตฟอร์มรายงานสถานการณ์สดแบบ Realtime ที่ประชาชนสามารถตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ของตนเองได้ตลอดเวลา
ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคุณภาพน้ำที่ดีที่สุดในโลก แต่ชาวมอลตาส่วนใหญ่ก็ยังคงนิยมชมชอบน้ำบรรจุขวดมากกว่าอยู่ดี เนื่องจากน้ำประปาของพวกเขาอุดมไปด้วยแร่ธาตุจำนวนมาก
ซึ่งหมายความว่าน้ำประปาอาจจะมีรสชาติที่แข็งกระด้าง ซึ่งหากคุณไม่ชอบรสชาติของน้ำกระด้างที่มีเอกลักษณ์และค่อนข้างขม น้ำบรรจุขวดก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ลื่นคอกว่า
Water Reservoir in Germany
8. เยอรมนี (Germany):
น้ำมากกว่า 2 ใน 3 ของเยอรมนีมาจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือธารน้ำแข็ง โดยส่วนที่เหลือมาจากอ่างเก็บน้ำที่รับน้ำจากทะเลสาบและลำธาร
รัฐบาลเยอรมันให้ความสำคัญและควบคุมเรื่องน้ำมากกว่าควบคุมทรัพยากรธรรมชาติประเภทอื่นๆ มาก ดังนั้นน้ำทั้งหมดที่ไหลเข้าสู่ก๊อกน้ำชาวเมืองเบียร์จึงเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายน้ำดื่มของเยอรมนี
นอกจากนี้ เยอรมันยังมีมาตรฐานด้านน้ำที่เข้มงวด โดยห้ามใช้สารเคมีในกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ ซึ่งการที่ไม่ใช้สารเคมีทำให้น้ำไม่มีรสชาติและกลิ่นเหมือนคลอรีน ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้น้ำในเยอรมนีเป็นน้ำที่ดีที่สุดในโลก
นอกจากนี้ นโยบาย Water Protection ของเยอรมนี ยังถือเป็นนโยบายที่ดีที่สุดในโลก โดยจัดให้มีการจัดหาน้ำอย่างเพียงพอสำหรับพลเมืองทุกคน รวมถึงรับประกันว่าจะมีน้ำเพียงพอในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ระบบท่อที่สร้างขึ้นก่อนทศวรรษ 1970 บางครั้งก็ก่อให้เกิดความกังวลอยู่บ้าง เนื่องจากระบบท่อเหล่านี้อาจมีการบัดกรีหรือเชื่อมที่เป็นตะกั่ว/ทองแดง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะเข้าดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขทันทีเมื่อมีการรายงานว่าพบโลหะหนักอยู่ในน้ำ
The Upper Sûre Lake / Source: Julia Volk, Pexels
9. ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg):
ลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ให้บริการน้ำแก่ประชาชนโดยตรงจากน้ำที่ผุดขึ้นมาตามธรรมชาติ น้ำเหล่านี้ถูกนำไปผลิตน้ำประปาของประเทศถึง 60% และส่วนที่เหลืออีก 40% มาจากทะเลสาบซูร์ตอนบน
แม้ว่าน้ำแร่ที่พบในลักเซมเบิร์กจะมีระดับไนเตรต (สารเคมีที่ใช้เป็นสารกันเสีย) อยู่ที่ 13 – 43 มก./ลิตร แต่ระดับเหล่านี้ก็ยังอยู่ภายในเกณฑ์ 50 มก./ลิตร ที่กำหนดโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรป แต่มันก็ยังเกินเกณฑ์ของอีกฟากฝั่งอย่างหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาที่กำหนดมาตรฐานไนเตรตสูงสุดไว้ที่เพียง 10 มก./ลิตร เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ลักเซมเบิร์กจึงมีน้ำที่อุดมด้วยแร่ธาตุและดีต่อสุขภาพ ยกเว้นระดับไนเตรตน้ำในทะเลสาบที่ต้องผ่านเทคนิคการกรองในหลายรูปแบบ เช่น การตกตะกอน การลดความเป็นกรด และการฆ่าเชื้อ เพื่อทำให้ปลอดภัยสำหรับการบริโภค
Aerial View of a Lake in Sweden
10. สวีเดน (Sweden):
สวีเดนเป็นอีกประเทศหนึ่งในยุโรปเหนือที่เป็นแหล่งน้ำดื่มที่สะอาดที่สุด น้ำส่วนใหญ่ของประเทศมาจากทะเลสาบและลำธาร และผ่านการกรองหลายชั้น รวมถึงตัวกรองทางเคมีและธรรมชาติ
เหตุผลหลักประการหนึ่งที่น้ำของสวีเดนสะอาดมากก็เนื่องมาจากการเป็นประเทศที่ไร้มลพิษ อากาศที่สะอาดช่วยป้องกันมลพิษลงสู่แหล่งน้ำ และนำไปสู่น้ำดื่มที่ปลอดภัยในก๊อกน้ำของประชาชน
และเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงน้ำสะอาดของสวีเดน ทาง International Organization for Standardization หรือ ISO ได้มอบใบรับรองคุณภาพให้กับสวีเดนในปี 2017 โดยระบุว่าน้ำในสตอกโฮล์ม (เมืองหลวงของสวีเดน) มี "คุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ"
นอกจากนี้ สวีเดนยังเป็นประเทศที่ปลูกฝังเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้กับเยาวชนตั้งแต่วัยเรียนด้วยการจัดการประกวดนวัตกรรมด้านการอนุรักษ์น้ำระดับโลกในงาน “Stockholm Junior Water Prize”
ซึ่งจัดโดยผู้จัดการประกวดระดับโลก Stockholm International Water Institute (SIWI) จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสวีเดนจึงเป็นประเทศที่มีคุณภาพน้ำที่ดีที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน
จากข้อมูลของ 10 ประเทศที่มีคุณภาพน้ำประปาดีที่สุดก็พอจะสรุปได้ว่า ประเทศเหล่านี้มีแหล่งน้ำซึ่งเป็นต้นทุนทางธรรมชาติที่ดี และล้วนมีกฎหมายที่บังคับใช้อย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับการควบคุมอย่างเคร่งครัดที่เกี่ยวข้องกับด้านน้ำภายในประเทศ
รวมไปถึงการบริการจัดการ และดูมลพิษด้านต่างๆ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแน่นอนก็ส่งผลกระทบด้านดีต่อคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยเช่นกัน
กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข
สำหรับประเทศไทยนั้น ข้อมูลจากกรมอนามัย, การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาคต่างให้ข้อมูลตรงกันว่าน้ำประปาของไทยก็สามารถดื่มได้ แต่ต้องสังเกตคุณภาพของน้ำว่าต้องใส ไม่มีตะกอน สี หรือกลิ่นที่ผิดปกติ
และในกรณีที่มีกลิ่นคลอรีนแรง ให้เปิดน้ำประปาใส่ภาชนะที่สะอาดทิ้งไว้เพื่อช่วยลดกลิ่น หรือกรองผ่านไส้กรองถ่านกัมมันต์ โดยที่หากต้องการความมั่นใจในการนำไปดื่มกิน ควรนำน้ำไปต้มจนเดือดก็จะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้
ส่วนบ้านที่ใช้เครื่องกรองน้ำ ควรหมั่นทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนไส้กรองน้ำตามระยะเวลาที่ระบุในผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการกรองที่ดี และไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค
## ติดตาม "ทีทีดับบลิว" ได้แล้ววันนี้ทาง ##
Website: www.ttwplc.com
Facebook: ttwplc
Instagram: ttwplc
Youtube: TTW Plc Channel
Linkedin: TTW Public Company Limited
Blockdit: TTW Public Company Limited
โฆษณา